เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1873 เก็บไว้สูบพลังต่อในภายหลัง
ตอนที่ 1,873 เก็บไว้สูบพลังต่อในภายหลัง
โคตรโรคจิต!
เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินคำพูดของกู่โจว เขาก็ลงความเห็นได้โดยทันที
กู่โจวเป็นคนโรคจิตเสียสติที่กระทำเรื่องราวทุกอย่างได้โดยไม่ต้องใช้เหตุผลอีกแล้ว
“ตาเฒ่า เจ้าพอรู้วิธีทำลายร่างของผู้คงกระพันระดับจอมเทพจักราบ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินหันหน้ากลับมาถามหวังจงด้วยความคาดหวัง “หรือเจ้าพอจะรู้ไหมว่าเราจะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นก้อนโลหิตพิสุทธิ์ได้อย่างไร?”
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินมีความต้องการใช้งานก็โลหิตพิสุทธิ์เป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะได้เลื่อนขั้นวิชาเคลื่อนย้ายกระแสปราณไปอีกระดับ
หวังจงส่ายศีรษะ พลางตอบว่า “เป็นเรื่องยากมากขอรับ การสร้างก้อนโลหิตพิสุทธิ์นั้น ต้องใช้เลือดของยอดฝีมือที่ตายแล้ว และต้องใช้เวลาบ่มเพาะอีกหลายร้อยปี มันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถสร้างขึ้นมาได้ในเวลาเพียงวันสองวันขอรับ และการสังหารผู้คงกระพันระดับจอมเทพจักรานั้นก็ยากเย็นมากพอ ๆ กัน”
ในจำนวนผู้ใช้สายเลือดทั้งยี่สิบสี่สายเลือดนั้น ผู้ใช้สายเลือดคงกระพันกับสายเลือดปีศาจจะมีความแข็งแกร่งทางร่างกายและฆ่าได้ยากที่สุด
คงมีเพียงขอบเขตจอมเทพอนันต์เท่านั้นถึงจะสามารถสังหารพวกเขาได้
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น
จังหวะนั้น หวังจงก็กล่าวขึ้นเงียบ ๆ ว่า “ในเมื่อวิธีนั้นใช้ไม่ได้ผล นายน้อยก็น่าจะลองวิธีอื่นดูนะขอรับ… บ่าวว่านายน้อยเก็บเขาไว้สูบพลังทีละนิดทีละนิดก็ไม่เสียหายนา”
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก
ดวงตาของเขาเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาในทันใด
จริงด้วยสินะ
เขาเกือบลืมไปเลยว่าตนเองมีความสามารถกักเก็บพลังของผู้อื่นไว้ที่แขนซ้ายได้
และถ้าเขาดูดกลืนพลังปราณของกู่โจวเข้าสู่ร่างกายทีละนิด แม้ว่าจะไม่ได้มีประสิทธิภาพเท่ากับการหลอมรวมพลังจากโลหิตพิสุทธิ์ แต่มันก็คงช่วยเพิ่มพลังให้เขาได้ไม่น้อยเช่นกัน
“นี่ นี่…”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาส่งยิ้มให้แก่กู่โจว “เจ้าบอกว่ามนุษย์เรามีค่าเป็นเพียงอาหารให้แก่พวกเจ้าใช่หรือไม่? ถูกแล้ว ข้าอยากจะแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะฉะนั้น เจ้าจะต้องเป็นอาหารของข้า ข้าจะดูดกลืนพลังปราณ รวมถึงพลังชีวิตของเจ้ามาทั้งหมดทีละเล็กทีละน้อย และเมื่อข้าแข็งแกร่งมากกว่านี้ ข้านี่แหละที่จะเป็นคนทำลายเผ่ามนุษย์ทะเลทรายของพวกเจ้าเอง เป็นเช่นนี้ดีหรือไม่?”
กู่โจวระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความตลกขบขัน “เจ้าเนี่ยนะจะทำลายเผ่ามนุษย์ทะเลทราย? ฮ่า ๆๆ เจ้าไม่รู้หรอกว่าตนเองกำลังพูดถึงอะไรอยู่ ช่างโง่เขลาและยโสโอหังเกินไปแล้ว”
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ตอบรับคำใด แต่นำกระบี่เล่นแร่แปรธาตุระดับสูงออกมาเล่มหนึ่งและแทงเข้าใส่ร่างกายของกู่โจวอย่างบ้าคลั่ง
เมื่ออีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ เด็กหนุ่มก็วางมือซ้ายลงไปบนบาดแผลนั้นและเริ่มต้นการ ‘ดูดกลืนพลัง’ อย่างไม่รอช้า
คลื่นพลังสีทองพลันไหลเวียนขึ้นมาจากบาดแผลของกู่โจวและคลื่นพลังเหล่านั้นก็ถูกดูดซับเข้าสู่ฝ่ามือของหลินเป่ยเฉินหมดสิ้น
“เจ้า…”
กู่โจวตกตะลึงสุดขีด
นี่มันความสามารถของผู้ใช้สายเลือดผู้กลืนกิน?!
ผู้ที่มีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์จะมีความสามารถของผู้ใช้สายเลือดผู้กลืนกินได้อย่างไร?
กู่โจวสัมผัสได้ว่าพลังปราณและพลังชีวิตของตนเองลดน้อยลงเหมือนกับถังน้ำที่มีรูรั่ว และคลื่นพลังเหล่านั้นก็ไหลรินเข้าไปในมือซ้ายของหลินเป่ยเฉินอย่างควบคุมไม่ได้
มือและแขนของหลินเป่ยเฉินขยายใหญ่ขึ้นในพริบตา
ผิวหนังบริเวณแขนของเขากลายเป็นสีทอง
ทั่วแขนปรากฏแสงสีทองเรืองรองอร่าม
ในเวลาเดียวกันนี้ ผมบนศีรษะของหลินเป่ยเฉินก็เปลี่ยนไปเป็นสีทอง เมื่อรวมเข้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาแล้ว นี่จึงกลายเป็นเสน่ห์ที่ร้ายกาจอีกชนิดหนึ่ง
“โอ๊ะ ยอดเยี่ยม”
หลินเป่ยเฉินปล่อยมือออกจากบาดแผลของกู่โจวและมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความเหยียดหยาม “ไม่ต้องห่วง เจ้ายังไม่ตายง่าย ๆ หรอก เพราะข้าจะเก็บเจ้าไว้สูบพลังต่อในภายหลัง”
กู่โจวได้ยินดังนั้นก็ถึงกับสั่นเทาไปทั้งตัว
หากตนเองต้องถูกสูบพลังไปจนตาย นั่นก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวมากแล้ว
แต่ช่างโชคร้ายที่กู่โจวไม่มีทางเลือก
หากหลินเป่ยเฉินสามารถหลอมรวมพลังที่เก็บเอาไว้ในมือซ้ายได้สำเร็จเมื่อไหร่ เด็กหนุ่มก็สามารถกลับมาสูบพลังออกจากตัวกู่โจวได้ทุกเมื่อตามใจชอบ
กู่โจวก็จะต้องถูกสูบพลังไปจนตาย
“คิดจะเป็นศัตรูกับเผ่ามนุษย์ทะเลทราย เจ้าจะต้องเสียใจในภายหลัง”
กู่โจวหัวเราะเยาะ
หลินเป่ยเฉินทำสีหน้าเหลือเชื่อ “ว่าไงนะ? นี่เจ้ายังคิดข่มขวัญข้าอยู่อีกหรือ? เจ้าคิดว่าข้าจะเปิดโอกาสให้พวกเจ้าได้ลุกขึ้นสู้หรือไง? ไม่มีทางเสียหรอก กว่าเผ่ามนุษย์ทะเลทรายจะรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร ถึงตอนนั้นมันก็คงสายเกินไปแล้ว…”
ดวงตาของกู่โจวเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้นและเกลียดชัง “วันนี้เจ้าเป็นผู้ชนะ เจ้าจะพูดอะไรก็ได้ แต่เจ้าไม่รู้หรอกว่าคนที่เจ้ารักนั้นถูกคุมขังอยู่ในคุกของพวกเราแล้ว คนผู้นั้นเป็นเด็กสาวที่มีนามว่าหลิงเฉิน…”
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนไปในพริบตา เขาถลาเข้าไปกระชากคอเสื้อกู่โจวและถามว่า “เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงคิดโจมตีองค์หญิงไข่มุกขาวแห่งอาณาจักรเกิงจิน?”
“ฮ่า ๆๆ เป็นองค์หญิงแล้วอย่างไร?”
กู่โจวแสยะยิ้มด้วยความชอบใจ “อะไรกัน? นี่เจ้ากำลังเป็นห่วงนางอยู่หรือ? หรือว่าเจ้ากำลังหวาดกลัว? หญิงคนรักของเจ้าถูกพี่สามของข้าดักโจมตีระหว่างทาง ป่านนี้นางคงอยู่ในการควบคุมตัวของพี่สามของข้าแล้ว และคณะผู้ติดตามของนางก็คงถูกส่งลงนรกไปหมดสิ้น”
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยจิตสังหาร เขากำลังจะลงมือด้วยความโกรธแค้น แต่แล้วก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
เขาโยนตัวกู่โจวทิ้งไปด้านข้าง ก่อนจะนำโทรศัพท์มือถือออกมาวิดีโอคอลล์ไปหาหลิงเฉินผ่านทางแอปวีแชต
ปลายทางกดรับสายอย่างรวดเร็ว
และผู้ที่ปรากฏบนหน้าจอก็คือหลิงเฉิน
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกลับมาเต้นเป็นปกติอีกครั้ง
เมื่อถามไถ่ข้อมูลของกันและกัน เด็กหนุ่มก็ได้รับทราบว่าหลิงเฉินถูกลอบโจมตีระหว่างทางจริง ๆ แต่คนของเผ่ามนุษย์ทะเลทรายผู้นั้นก็ถูกจัดการไปเรียบร้อยแล้ว บัดนี้ พวกนางกำลังมุ่งหน้ากลับไปสู่อาณาจักรเกิงจินตามแผนการเดิมต่อไป
ก่อนหน้านี้ หลิงเฉินพยายามติดต่อหลินเป่ยเฉินมาแล้วหลายครั้ง แต่การติดต่อก็ล้มเหลวมาโดยตลอด
หลินเป่ยเฉินเดาว่าตอนนั้นคงเป็นเพราะเขาหลบหนีกลับไปอยู่ที่แผ่นดินตงเต้ากระมัง?
นี่หมายความว่าเขาจะไม่สามารถติดต่อกับผู้อื่นได้เลยหากตนเองกลับไปอยู่ในแผ่นดินตงเต้าสินะ?
เมื่อต่างฝ่ายต่างติดต่อกันได้ในที่สุด พวกเขาก็กดวางสายด้วยความโล่งใจ
แน่นอนว่าการสนทนาเหล่านี้ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็น…เพราะผู้คนจะมองไม่เห็นโทรศัพท์ แม้แต่เสียงของหลิงเฉินที่ดังผ่านลำโพงโทรศัพท์ก็จะไม่มีผู้ใดได้ยิน
ในสายตาของทุกคน พวกเขาจะเห็นเพียงหลินเป่ยเฉินกำลังพูดพึมพำกระซิบกระซาบกับตนเอง ไม่ต่างจากคนวิกลจริตที่อาการกำลังกำเริบ
แต่หลายคนก็คุ้นเคยกับพฤติกรรมแปลกประหลาดของหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างดี นี่จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจอันใด
“ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องตกใจ นายท่านของข้าก็เป็นเช่นนี้เอง… นายท่านมีอาการทางสมองน่ะ อาการของนายท่านมักจะกำเริบทุกครั้งที่ถูกกระตุ้น”
หวังจงอธิบายให้พวกของเฟิงซิงอวิ๋นรับฟังด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ก่อนที่พ่อบ้านร่างอ้วนจะถูกตบท้ายทอยจนตัวลอยกระเด็นออกไป
เฟิงซิงอวิ๋นและพรรคพวกได้แต่ยืนนิ่งอึ้งตะลึงอยู่ตรงนั้นเอง