เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1875 พวกเราโชคดี
ตอนที่ 1,875 พวกเราโชคดี
หวังเฟิงหลิวย่อมเลือกติดตามมารับใช้หลินเป่ยเฉินในทุกหนทุกแห่งที่เขาไป
ภูเขาเหวินเต้าเป็นภูเขาขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ถึงห้าพันลี้ ยอดเขาต่าง ๆ เต็มไปด้วยความสวยงามตระการตาและตามยอดเขาเหล่านั้นก็สามารถมองเห็นอาคารบ้านเรือนซึ่งก่อสร้างด้วยอิฐเขียวกระจายตัวอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ตามสันเขาและยอดเขามีการสร้างถนนสำหรับให้ผู้คนสัญจรผ่านไปทั่วตลอดภูเขาเหวินเต้า
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บริเวณเชิงเขา สูดหายใจลึก รู้สึกเหมือนจะได้กลิ่นความรู้ลอยอยู่ในอากาศ
แว่วเสียงผู้คนท่องตำราดังออกมาจากยอดเขาสูงเหล่านั้น
ที่นี่ให้บรรยากาศของการเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างแท้จริง
หลินเป่ยเฉินอดรู้สึกเคารพนับถือในการฝักใฝ่ความรู้ของบรรดานักศึกษาเหล่านี้ขึ้นมาไม่ได้
สายเลือดผู้เยียวยาในบรรดายี่สิบสี่สายเลือดหลักนั้น มีความแตกต่างไปจากสายเลือดชนิดอื่น ว่ากันว่าหากศึกษาได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว ผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยาก็จะสามารถควบคุมชีวิตความเป็นตายของผู้อื่นได้เลยทีเดียว ดังนั้น เขาจะประมาทผู้ที่ใช้สายเลือดผู้เยียวยาไม่ได้เป็นอันขาด
“พวกเราเดินขึ้นไปสำรวจดูกันเถอะ”
หลินเป่ยเฉินมุ่งหน้าขึ้นไปบนภูเขา
เมื่อก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดหิน
ก็มีผู้คนกำลังเดินขึ้นไปเป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
เมื่อลองสอบถามดูแล้วก็ปรากฏว่าสำนักศึกษาฉิวจื่อกำลังจะประกาศผลสอบในวันพรุ่งนี้
“นายท่าน พวกเราโชคดีแล้วขอรับ พวกเรามาทันการประกาศผลสอบพอดี”
หวังเฟิงหลิวร้องอุทานออกมาอย่างมีความสุข
หลินเป่ยเฉินและพรรคพวกจึงว่าจ้างรถม้าโดยสารไปตามถนนที่ทอดผ่านสันเขา
ทิวทัศน์นอกหน้าต่างเคลื่อนผ่านไป
พวกเขาสามารถมองเห็นม่านน้ำตกได้ทุกหนทุกแห่ง
นกน้อยสายพันธุ์หายากและสัตว์ป่าจำนวนมากก็ปรากฏขึ้นตามป่าเขาสองข้างทางเช่นกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏขึ้นนอกหน้าต่างรถม้านั้นเป็นภาพที่อยู่ในหนังสือทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ตลอดเส้นทางก็ยังพบเห็นรูปปั้นของบรรพบุรุษแห่งผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยาตั้งอยู่ทุกหนทุกแห่ง และสองข้างทางยังมีหลักศิลาจารึกที่บอกถึงพัฒนาการของสายเลือดผู้เยียวยาอีกด้วย
“ดูสิขอรับ นั่นคือรูปปั้นของขุนพลกงซานซิน บรรพบุรุษแห่งผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยา”
หวังเฟิงหลิวรับหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ ชี้มือไปยังรูปปั้นหินตัวหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลและพูดออกมาเสียงดัง
หลินเป่ยเฉินมองตามนิ้วมือของหวังเฟิงหลิว
และเขาก็พบกับรูปปั้นขนาดใหญ่ยักษ์ยืนตระหง่านอยู่ข้างทาง
แต่สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงเลยก็คือรูปปั้นนี้เป็นรูปปั้นของเด็กหญิงผู้หนึ่ง นางมีอายุเพียงสิบเอ็ดหรือสิบสองขวบเท่านั้น เด็กหญิงผู้นี้ไว้ผมหน้าม้า ผูกผมเปียสองแกละ ตามเส้นผมประดับด้วยเครื่องประดับรูปทรงผีเสื้อหลายชิ้น และบนศีรษะก็ยังมีปิ่นปักผมหางกระต่ายอีกหนึ่งชิ้น ข้างเอวของนางห้อยกระเป๋าใส่สัมภาระใบหนึ่ง
เด็กหญิงผู้นี้สวมใส่กระโปรงสั้น อวดช่วงขาเรียวยาวขาวผ่อง สวมใส่รองเท้าหนังหุ้มข้อเท้า ตำราโบราณที่มีขนาดใหญ่มากกว่าตัวนางเองเปิดออกกว้าง ตำราเล่มนั้นกำลังโบยบินอยู่ข้างกายของนางไม่ต่างจากนกยักษ์ตัวหนึ่ง…
หลินเป่ยเฉินจ้องมองรูปปั้นนั้นด้วยความพิศวง
นี่หรือคือบรรพบุรุษแห่งผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยา?
หน้าตาเหมือนเด็กผู้หญิงโง่ ๆ ธรรมดาคนหนึ่ง
ภาพลักษณ์นี้มัน…
เป็นสิ่งที่คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ
“บรรพบุรุษแห่งผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยานามว่ากงซานซินนั้น ว่ากันว่านางเป็นถึงบุตรสาวบุญธรรมขององค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์เจ้าค่ะ นางเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการเรียนรู้ ครึ่งชีวิตแรกของนางอุทิศเวลาให้กับการอ่านตำราและศึกษาความรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้”
“และเมื่อนางเติบโตขึ้นมา นางก็ใช้เวลาในครึ่งชีวิตหลังหมดไปกับการทดสอบสิ่งที่ได้ศึกษามาจากตำรา นางออกเดินทางท่องโลกกว้างไปทั่วเส้นทางดาราจักรและไม่มีผู้ใดที่จะมีความรอบรู้ไปมากกว่านางอีกแล้ว ในภายหลัง องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์จึงแนะนำให้บุตรสาวบุญธรรมของตนเองก่อตั้งสายเลือดเฉพาะตัวขึ้นมา”
“และนั่นก็นำมาสู่การบุกเบิกสายเลือดผู้เยียวยา เมื่อเทียบกับผู้ใช้สายเลือดอื่น ๆ แล้ว สายเลือดผู้เยียวยาจะมีความพิเศษมากที่สุด กล่าวคือ ผู้สืบทอดสายเลือดนี้ไม่จำเป็นต้องมีร่างกายแข็งแกร่งหรือมีวิทยายุทธ์สูงส่งเหมือนสายเลือดอื่น ๆ ขอแค่มีความฉลาดรอบรู้และมีนิสัยรักการอ่านใฝ่หาความรู้ให้แก่ตนเอง รวมถึงมีความอดทนที่จะเรียนรู้เป็นเลิศ นี่ก็เป็นคุณสมบัติที่เหมาะสมแล้วเจ้าค่ะ…”
เยว่หงเซียงอธิบายข้อมูลทั้งหมดด้วยความคล่องแคล่ว
หลินเป่ยเฉินหันไปมองหน้าเด็กสาวด้วยความตกตะลึง
เยว่หงเซียงยิ้มออกมาเล็กน้อย พลางกล่าวว่า “พอรู้ว่าจะต้องมาที่สำนักศึกษาฉิวจื่อ ข้าก็เลยขอตำราประวัติศาสตร์สำนักศึกษาแห่งนี้จากองครักษ์หวังมาอ่านไว้ล่วงหน้าแล้วน่ะ”
เยว่หงเซียงเป็นผู้แสวงหาความรู้อยู่เสมอ
นางรู้ดีว่าคนเสเพลอย่างหลินเป่ยเฉินย่อมไม่สนใจอ่านหนังสือ ดังนั้น นอกจากนางจะอ่านเพื่อเพิ่มความรู้ให้แก่ตนเองแล้ว ในเวลาเดียวกันนี้ เยว่หงเซียงก็ยังสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้มาอธิบายให้หลินเป่ยเฉินรับฟังได้อีกด้วย
อย่างน้อย นี่ก็เป็นหนึ่งในเรื่องเล็ก ๆ ที่เยว่หงเซียงสามารถช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินได้
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม เขาจับมือของเยว่หงเซียงและถามว่า “เจ้าเองก็อยากจะเข้าสำนักศึกษาฉิวจื่อใช่หรือไม่?”
เยว่หงเซียงพยักหน้า แต่แล้วก็ส่ายศีรษะ พลางกล่าวว่า “ข้าสนใจเกี่ยวกับความรู้ของพวกเขา และอยากจะดูว่าพวกเขามีตำราที่เกี่ยวกับการสร้างค่ายอาคมรูปแบบใดบ้าง แต่ข้าไม่ใช่ผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยา วิธีการศึกษาของพวกเราต่างกัน สรุปก็คือ ข้าอยากเข้าไปอ่านตำราเกี่ยวกับค่ายอาคมของพวกเขา แต่ข้าไม่อยากศึกษาวิชาการแพทย์ของพวกเขาเจ้าค่ะ”
นี่คือคำตอบของเยว่หงเซียง
แม้ว่าเด็กสาวอยากจะศึกษาหาความรู้ทุกอย่างให้ได้มากที่สุด แต่ถึงอย่างไร พลังของมนุษย์ก็ยังมีขีดจำกัด เยว่หงเซียงรู้ตัวดีว่าตนเองไม่สามารถฝึกฝนวิชาตามสายเลือดผู้เยียวยาและสายเลือดผู้ใช้ค่ายอาคมได้พร้อมกันเด็ดขาด ดังนั้น นางจึงต้องเลือกเพียงสายเลือดเดียว
และเยว่หงเซียงก็เลือกสายเลือดผู้ใช้ค่ายอาคม
เพราะนี่คือสิ่งที่นางเริ่มต้นศึกษาตั้งแต่สมัยอยู่ในจักรวรรดิเป่ยไห่
นอกจากนี้ เยว่หงเซียงยังได้ทราบมาอีกด้วยว่านักพรตหญิงชินได้เลือกสายเลือดผู้เยียวยาไปแล้ว
เยว่หงเซียงจึงไม่อยากจะทำสิ่งใดซ้ำกับหญิงสาวคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวหลินเป่ยเฉิน
นางอยากจะมีความโดดเด่นไม่เหมือนผู้ใด
“ประเสริฐ คนเรายิ่งอ่านตำรามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีความรู้มากเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินตบต้นขาฉาดใหญ่และกล่าวว่า “การขอยืมตำราพวกเขาคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถึงจะเป็นเรื่องยาก… ก็ไม่มีอะไรที่เงินแก้ไขไม่ได้ หากพวกเขาไม่ให้เจ้ายืมตำรา ข้าจะใช้เงินฟาดหัวกว้านซื้อตำราพวกนั้นให้หมดห้องสมุดเอง”
หวังเฟิงหลิวเฝ้ามองคุณชายหลินจับมือเยว่หงเซียงพูดคุยกันอย่างกะหนุงกะหนิง ก็ให้รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมาทันที
ทำไมเขาต้องมาอยู่ในห้องโดยสารของรถม้าที่นายน้อยกำลังเกี้ยวพาราสีสตรีด้วยนะ?
หวังเฟิงหลิวคิดว่าที่ของเขาไม่ควรอยู่ในรถม้าเลย แต่ควรจะอยู่ใต้รถม้าต่างหาก
หนึ่งก้านธูปผ่านไป
รถม้าก็เคลื่อนตัวมาจอดหน้าประตูสำนักศึกษาฉิวจื่อ
“นายท่านขอรับ รถม้ามาส่งได้เพียงเท่านี้ เส้นทางข้างหน้าพวกเราต้องเดินเท้าเอาเท่านั้น”
หวังเฟิงหลิวกล่าว “และพวกเราต้องปฏิบัติตามกฎของสำนักศึกษาอย่างเคร่งครัด ห้ามใช้วัตถุแปลกปลอมโดยไม่ได้รับอนุญาตภายในเขตสำนักศึกษาเด็ดขาด”
สำนักศึกษาฉิวจื่อไม่อนุญาตให้รถม้าเข้าไป ไม่อนุญาตให้ผู้คนใช้วิชาตัวเบา ไม่อนุญาตให้ผู้คนเหาะเหินเดินอากาศ ไม่อนุญาตให้ผู้คนดำดิน
สิ่งเหล่านี้คือกฎเหล็กของสำนักศึกษาฉิวจื่อ
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองหลักศิลาจารึกที่ตั้งอยู่หน้าประตูทางเข้า
ตัวอักษรคำว่า ‘ค้นหาความรู้’ โดดเด่นสะดุดตา คลื่นพลังหนาแน่นแผ่ออกมาจากหลักศิลานี้ นั่นหมายความว่าผู้ที่เขียนตัวอักษรน่าจะเป็นอาจารย์ใหญ่ของพวกเขากระมัง?
หลินเป่ยเฉินไม่รังเกียจที่ต้องเดินเท้าเข้าไป
ด้วยความงดงามของทิวทัศน์สองข้างทาง การเดินเท้าชมทัศนียภาพทั้งหมดก็นับเป็นความสุขของชีวิตชนิดหนึ่ง
เมื่อลงจากรถม้า หลินเป่ยเฉินก็พบเข้ากับผู้คนจำนวนมาก