เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 1883 เสียงแห่งความโกรธแค้น
ตอนที่ 1,883 เสียงแห่งความโกรธแค้น
นักพรตหญิงชินขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ถึงกับกล้าเข้ามาแทรกแซงเรื่องราวของผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยาเชียวหรือ? ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!”
“สามหาวก้าวร้าวไร้เหตุผล…”
เด็กชายและเด็กหญิงตะโกนสวนกลับไปด้วยความไม่พอใจ
นักพรตหญิงชินมีสีหน้าเคร่งเครียดมากขึ้น
หลี่กวงซูหัวเราะเยาะอย่างผู้ชนะ “นายหญิงของพวกเจ้ากล้าเรียกตนเองว่าเป็นผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยาด้วยหรือ? นางเป็นได้เพียงตัวประหลาดจากต่างภพเท่านั้น… ฮ่า ๆๆ พี่หยวน ครั้งนี้ข้าคงต้องขอรบกวนท่านแล้ว”
หลี่กวงซูผงกศีรษะให้แก่นักพรตหญิงชินและกล่าวต่อไป “ข้าจะให้เวลาเจ้าสิบลมหายใจ หากเจ้ายังไม่รีบหนีไปอีก ข้าจะสั่งให้พี่หยวนหักขาเจ้าและลากตัวเจ้าออกไปจากที่นี่เอง”
เด็กชายและเด็กหญิงทำท่าจะพูดอะไรบางอย่างออกมาอีก แต่หยวนสวีหลิวก็ส่งเสียงคำรามในลำคอ จิตสังหารแผ่ออกมาหนาแน่น ใบหน้าของเด็กชายและเด็กหญิงซีดขาว พวกเขาได้แต่ผงะถอยหลัง ไม่กล้ากล่าวคำใดออกมาอีก
“สิบ... เก้า… แปด… เจ็ด…”
หยวนสวีหลิวเริ่มต้นนับถอยหลัง
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาในทันใด
กลุ่มบัณฑิตที่ยืนรวมตัวรับชมเหตุการณ์ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาไม่น้อย
พวกเขาตื่นเต้นที่จะได้เห็นหญิงสาวผู้งดงามนางนั้นถูกจับหักขาและลากตัวออกไปจากวัดร้างแห่งนี้
หลี่กวงซูแสยะยิ้มด้วยความชั่วร้าย
ที่เขากระทำเรื่องราวนี้ย่อมต้องมีที่มาที่ไป
นี่เป็นการแก้แค้นของหลี่กวงซู
เพราะว่าก่อนหน้านี้ เขามาสารภาพรักกับชินเหลียนเซินมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่นางก็คอยปฏิเสธเขาอย่างไร้เยื่อใย
และผู้ที่ปฏิเสธเขา ก็จะต้องพบจุดจบเช่นนี้เอง
หลี่กวงซูเฝ้ามองด้วยความคาดหวัง
“ห้า… สี่… สาม… สอง… หนึ่ง”
การนับถอยหลังจบลงอย่างรวดเร็ว
“น่าเสียดายที่เจ้าตัดสินใจผิดพลาด”
หยวนสวีหลิวก้าวเท้าเดินออกมาข้างหน้า ร่างกายปลดปล่อยพลังกดดันคุกคามผู้คน “ข้าจะหักขาของเจ้าเดี๋ยวนี้…”
นักพรตหญิงชินถอนหายใจ กำลังจะลงมือโจมตี
แต่ทันใดนั้นเอง…
“เจ้าว่าจะหักขาผู้ใดนะ?”
เสียงแห่งความโกรธแค้นดังขึ้นจากด้านหลังของหยวนสวีหลิว
ทันใดนั้น หยวนสวีหลิวก็เนื้อตัวสั่นเทาขึ้นมาทันที
สัญชาตญาณแจ้งเตือนว่ามีอันตรายเข้ามาถึงตัวแล้ว
เขาสัมผัสได้ถึงการจ้องมองจากนักล่าผู้อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร
เหงื่อเย็นเฉียบไหลหยดลงมาจากหน้าผากของหยวนสวีหลิว
เขาไม่กล้าหันหน้ากลับไปมอง
เพราะสัญชาตญาณกำลังแจ้งเตือนหยวนสวีหลิวว่า ถ้าเขาหันกลับไปเมื่อไหร่ อีกฝ่ายก็จะลงมือโจมตีทันที
ในเวลาเดียวกันนี้
หัวคิ้วที่กำลังขมวดมุ่นของนักพรตหญิงชินก็คลายตัวลง
ดวงตาของนางเป็นประกายสดใส
ใบหน้าของนางปรากฏความประหลาดใจอย่างที่ไม่อาจซ่อนเร้นได้อีก
ภายในวัดร้างที่เย็นเยียบและมืดครึ้ม บัดนี้ กลับให้ความรู้สึกที่อบอุ่นและสว่างไสวขึ้นมาในพริบตา
ทุกคนมองตามสายตาของนักพรตหญิงชิน
และพวกเขาก็พบเข้ากับเด็กหนุ่มในชุดบัณฑิตสีขาวผู้หนึ่ง เขาผูกผ้าโพกศีรษะอยู่บนหน้าผาก ไม่ทราบเลยว่ามาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังหยวนสวีหลิวตั้งแต่เมื่อไหร่
เด็กหนุ่มผู้นี้มีหน้าตาที่หล่อเหลายิ่งนัก แต่บัดนี้ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขากำลังแสดงออกถึงความเย็นชาอำมหิต ร่างกายปลดปล่อยจิตสังหารแรงกล้า ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่เลือกเป้าหมายในการสังหารเอาไว้เรียบร้อยแล้ว บรรยากาศภายในวัดร้างขณะนี้จึงปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแห่งความตาย
เด็กหนุ่มผู้นี้หากไม่ใช่หลินเป่ยเฉินแล้วยังจะเป็นผู้ใดได้อีก?
หลี่กวงซูเลิกคิ้วขึ้นสูง
เขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ สัญชาตญาณร้องเตือนว่าความน่ากลัวได้อุบัติขึ้นแล้ว
บัดนี้ หลี่กวงซูหวาดกลัวจนพูดคำใดไม่ออก
จังหวะนั้น นักพรตหญิงชินทำท่ากวักมือเรียก
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวอย่างรวดเร็ว
ลมหายใจต่อมา เขาก็ไปยืนอยู่ข้างกายนางเรียบร้อยแล้ว
“ท่านไม่เป็นไรนะขอรับ?”
แววตาของหลินเป่ยเฉินสะท้อนความเจ็บปวดใจขึ้นมาในทันที “ข้าเป็นห่วงเสียแทบแย่ ท่านดูผอมลงนะขอรับ”
นักพรตหญิงชินหัวเราะในลำคอ
รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางนั้นไม่ต่างไปจากสายลมในฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศในวัดร้างแจ่มใสขึ้นมาในพริบตา รอยยิ้มของนางงดงามอย่างที่ไม่สามารถสรรหาถ้อยคำมาอธิบายได้อีก
กลุ่มบัณฑิตที่ยืนรวมตัวกันอยู่หน้าทางเข้าวัดร้างก็ตกตะลึงแล้วเช่นกัน
บางคนถึงกับอดคิดไม่ได้ว่า ‘สตรีที่มีความงดงามถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงต้องถูกขับไล่จากสำนักศึกษาต่าง ๆ ด้วยนะ?’
“ไม่พบเจอกันเพียงครึ่งปี ข้าจะผอมลงได้อย่างไร”
นักพรตหญิงชินยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ส่วนเด็กชายและเด็กหญิงผู้เป็นเด็กรับใช้ประจำตัวนางนั้นก็กำลังสำรวจมองหลินเป่ยเฉินด้วยความสงสัย
หล่อเหลา
หล่อเหลามากเหลือเกิน
นั่นคือความคิดแรกที่ปรากฏขึ้นในห้วงภวังค์ของเด็กชายและเด็กหญิง
พวกเขาเป็นเด็กกำพร้าที่ติดตามนักพรตหญิงชินมาได้หลายเดือนแล้ว สำหรับเด็กทั้งสองคนนี้ นักพรตหญิงชินเป็นทั้งพี่สาวและมารดาของพวกเขา
ทั้งสองคนติดตามนักพรตหญิงชินมาอย่างยาวนานหลายเดือน และได้พบเจอผู้คนมามากมายหลายประเภท
แต่พวกเขาไม่เคยพบเจอผู้ใดที่ทำให้นักพรตหญิงชินยิ้มออกมาได้ทันทีที่เห็นหน้าอย่างหลินเป่ยเฉินมาก่อน
หรือหากอธิบายให้ถูกต้อง ก่อนหน้านี้ เด็กทั้งสองไม่เคยเห็นนักพรตหญิงชินยิ้มเลยสักครั้ง
แต่บัดนี้ นอกจากนักพรตหญิงชินจะยิ้มแล้ว และนางยังหัวเราะอีกด้วย
ราวกับเป็นคู่รักที่ได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้ง
เด็กชายและเด็กหญิงหันมองหน้ากัน ต่างคนต่างก็หรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด
“แต่ท่านผอมลงจริง ๆ นะขอรับ”
หลินเป่ยเฉินกล่าวพร้อมกับทำท่าโบกมือไล่แมลงวัน “รอให้ข้าเก็บกวาดมดแมลงที่น่ารำคาญเหล่านี้เสียก่อน แล้วข้าจะพาท่านไปหาสถานที่ชิมของอร่อย ๆ เอง”
นักพรตหญิงชินมีสีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย ก่อนจะหัวเราะในลำคออีกครั้ง
เจ้าเด็กคนนี้คิดสร้างปัญหาอีกแล้วสินะ
ทันใดนั้น…
“ไม่ทราบว่าคุณชาย… เป็นผู้ใดหรือขอรับ?”
หลี่กวงซูรวบรวมความกล้ากล่าวออกมา “นี่เป็นเรื่องราวของสำนักตงหลินกับชินเหลียนเซิน หาได้มีอันใดเกี่ยวข้องกับคุณชายไม่ โปรดอย่ามาแทรกแซง”
เขาตัดสินใจนำชื่อสำนักของตนเองออกมาอวดอ้าง
สำนักตงหลินมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วอาณาจักรเล่ยฉื่อ ในด้านความยิ่งใหญ่ของผู้ใช้สายเลือดผู้เยียวยานั้น สำนักของพวกเขาเป็นรองก็แต่เพียงสำนักศึกษาฉิวจื่อเท่านั้น
แต่ถึงจะห่างกันเพียงตำแหน่งเดียว ทว่ามันก็เป็นความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่มากเกินไป
เพราะสุดท้าย สำนักตงหลินก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงกับสำนักศึกษาฉิวจื่อได้อยู่ดี
แต่ชื่อเสียงของพวกเขาก็เพียงพอแล้วที่จะขู่ขวัญผู้คนได้ไม่ยาก
ทว่าหลินเป่ยเฉินกลับไม่สนใจเลยสักนิด
เขามองหน้าหยวนสวีหลิวด้วยแววตาคมกริบเหมือนกระบี่ ก่อนจะสืบเท้าก้าวเดินเข้าไปหาอย่างแช่มช้า “เจ้าบอกว่าจะหักขาผู้ใดนะ?”
หยวนสวีหลิวสูดหายใจลึกและกล่าวว่า “ข้าน้อยได้รับคำสั่ง…”
พูดยังไม่ทันจบประโยค
หยวนสวีหลิวก็เห็นแสงสว่างวูบวาบ
หลินเป่ยเฉินมาปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าเขาแล้ว
มือขวาของเด็กหนุ่มตะปบลงบนแขนซ้ายของหยวนสวีหลิวก่อนกระชากอย่างแรง
“อ๊าก...”
หยวนสวีหลิวส่งเสียงร้องโหยหวน
แขนซ้ายถูกกระชากหลุดออกจากหัวไหล่
โลหิตสาดกระจาย!