เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 201 ลูกศรมัจจุราช
เกิดอะไรขึ้น?
หลินเป่ยเฉินตกตะลึงไม่น้อยเมื่อมองเห็นเงาร่างของบุคคลปริศนากลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในสนามหญ้าหน้าบ้านพัก และคมกระบี่ที่เป็นประกายกลางความมืด ย่อมส่อเจตนาว่าผู้มาเยือนไม่ได้มาดี
โอ๊ะ พวกเราโดนยาพิษ
มีกับดักวางเอาไว้ พวกเราระวังตัว…อะเฮื้อก
นี่เป็นกับดักชนิดไหนกัน?
เกิดเสียงกระซิบด้วยความตื่นตกใจ
หวังจงวิ่งมาอยู่ที่หน้าประตูบ้านพักพลางสวมใส่เสื้อคลุมและตะโกนว่า นายน้อยตื่นได้แล้วขอรับ มีนักฆ่าบุกมาแล้ว มีนักฆ่าบุกมาแล้ว…
หญิงรับใช้ทั้งสองนางที่นอนอยู่ในห้องด้านข้างก็ตื่นแล้วเช่นกัน พวกนางวิ่งมารวมตัวกันอยู่ในห้องโถงของตำหนักไม้ไผ่ ตัวสั่นงันงกด้วยความหวาดกลัว
หลินเป่ยเฉินตะโกนตอบกลับไปว่า หวังจง ดูแลตำหนักไม้ไผ่ให้ดี
แล้วเด็กหนุ่มก็ใช้วิชาตัวเบาวิหคดั้นเมฆลอยตัวออกทางหน้าต่าง ทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนหลังคาของตำหนักไม้ไผ่
ท่าทางของเขาสง่างามเป็นอย่างยิ่ง
ขณะนี้ มีชายฉกรรจ์ชุดดำประมาณ 6 คนยืนอยู่ในสนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่
สองในหกร่างกายปกคลุมด้วยหมอกควันสีเขียว ยืนโงนเงนเหมือนคนเมาสุรา
ในขณะที่อีกสี่คนยังบุกตะลุยเข้ามาพร้อมกับถือกระบี่อยู่ในมือ
วูบ!
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นยิงอาวุธลับออกไป
ติ๊ง! ติ๊ง!
ผู้บุกรุกสามารถยกกระบี่ขึ้นปัดป้องลูกดอกเหล็กของเขาได้อย่างง่ายดาย
นั่นหมายความว่าอีกฝ่ายน่าจะมีพลังไม่ต่ำกว่าขั้นปรมาจารย์
เรื่องนี้ทำให้หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ
แล้วในทันใดนั้น…
ตู้ม ตู้ม ตูม!
เกิดเสียงระเบิดที่แปลกประหลาดดังขึ้นติดๆ กันอีกสามครั้ง
ผู้บุกรุกทั้ง 4 คนที่บุกตะลุยเข้ามา คนที่นำอยู่หน้าสุดไม่รู้เลยว่าเหยียบลงไปบนอะไร ถึงได้มีหมอกควันสีเขียวปกคลุมเต็มร่างกายอย่างนั้น
แย่แล้ว…
กลุ่มมือสังหารอุทานออกมาพร้อมกับยกมือปิดปากปิดจมูก ผู้ที่นำอยู่หน้าสุดเผลอสูดดมหมอกควันสีเขียวเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ทำให้ในขณะนี้ฝีเท้าเริ่มซวนเซบ้างแล้ว
หมอกควันพวกนี้มัน…Aileen-novel
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย
เขารู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด
เด็กหนุ่มใช้พลังจิตสำรวจพื้นที่โดยรอบ
แล้วเขาก็เห็นเจ้าอากวงกำลังซ่อนตัวอยู่ในป่าไผ่ด้านข้าง มันยกขาหน้าขึ้นมากุมท้องของตนเอง และกำลังถ่ายอุจจาระออกมาไม่หยุด
บัดนี้ ราชันย์หนูอสูรอยู่ในสภาวะล่องหนอีกครั้ง
ดูเหมือนว่าผู้บุกรุกเหล่านี้จะเหยียบลงไปบนกองอึของราชันย์อสูรเข้าเสียแล้ว และกองอึของมันก็ระเบิดตัวปล่อยพิษเล่นงานกลุ่มมือสังหาร
นี่คือกับดักที่อากวงวางเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ
จังหวะนั้นเอง หลินเป่ยเฉินถึงได้สังเกตเห็นความแตกต่างอะไรบางอย่าง
ให้ตายเถอะ!
นักฆ่ากลุ่มนี้มองไม่เห็นกองอึของอากวง
นี่คือกับดักล่องหนโดยแท้จริง
ผู้บุกรุกที่นำอยู่หน้าสุดสูดดมหมอกควันเข้าไป ต่อให้รีบรับประทานยาแก้พิษ แต่บัดนี้ก็ตกอยู่ในสภาพน้ำลายฟูมปาก ร่างกายซวนเซยืนไม่อยู่กับที่
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี นักฆ่าคนที่เหลือจึงพลิ้วกายขึ้นมาหาหลินเป่ยเฉินที่ยืนอยู่บนหลังคา
ดาวน์โหลดดาบศีลธรรม
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกไปข้างหน้า แล้วดาบขนาดใหญ่ก็ถูกดาวน์โหลดออกมาอยู่ในมือของเขา
เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงไปจากหลังคาพร้อมกับตวัดดาบ
เขาใช้ออกมาด้วยกระบวนท่า ‘ชวนโฉมงามชมบุปผา’ จากวิชากระบี่รักนิรันดร์
คมดาบที่ตวัดวูบทำให้มวลอากาศเกิดความปั่นป่วน
นี่คือวิชาเดียวกับที่หลินเป่ยเฉินเคยใช้ต่อสู้กับชายชราผมเทาผู้เป็นหัวหน้าใหญ่ของสมาคมนักล่าอสูรในหุบเขาชายแดนเหนือ แต่ด้วยความที่บัดนี้เขาเลื่อนระดับพลังขึ้นมาได้อีกหนึ่งขั้น การโจมตีด้วยกระบวนท่าเดิมกลับเพิ่มเติมด้วยความหนักแน่นหนักหน่วง เช่นเดียวกับร่างกายของเขาที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้นจากการบรรลุขั้นกระบี่กระดูกเหล็ก
คมดาบเป็นประกายเหมือนแสงจันทร์ ดูสวยงามปราศจากความน่ากลัว
ฟู่! ฟู่!
เลือดสาดกระจายในอากาศ
เงาคนหล่นลงไป
หลินเป่ยเฉินและผู้บุกรุกทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนสนามหญ้าพร้อมกัน
ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ
ราวกับมีใครสักคนกดปุ่มปิดเสียง
ติ๋ง! ติ๋ง!
พลัน มีเสียงเลือดไหลหยดลงพื้นดิน
สายลมพัดผ่าน ป่าไผ่ส่งเสียงดังแกรกกรากมาจากด้านข้าง
แล้วนักฆ่าทั้ง 3 คนที่ยืนโงนเงนเหมือนพร้อมที่จะถูกสายลมพัดล้มลงไปได้ทุกเมื่อ ก็มีเลือดฉีดพุ่งออกมาจากช่วงเอวเหมือนหัวฉีดน้ำพุ ก่อนที่ตัวของพวกเขาจะขาดเป็นสองท่อน หล่นลงกระทบพื้นดินเสียงดังตุบ
หลินเป่ยเฉินเดินลากดาบตรงไปที่ศพของผู้บุกรุก
ภายใต้แสงจันทร์สาดส่อง เลือดสีแดงเป็นประกายระยิบระยับ
นักฆ่าทั้ง 3 คนนี้สวมใส่ชุดดำ มีหน้ากากสีดำปิดบังใบหน้า สามารถอำพรางตัวในความมืดได้อย่างแนบเนียน
หลินเป่ยเฉินใช้ปลายดาบเขี่ยหน้ากากออกไป
เพียงกวาดตามองหนังหัวของเขาก็ชายิบ
ปรากฏว่าใบหน้าของนักฆ่าเหล่านี้สุดแสนจะอัปลักษณ์ ไม่ต่างไปจากใบหน้าของคนที่โดนสาดน้ำกรดอย่างไรอย่างนั้น ต่อให้มารดาของพวกเขามาดูศพ ก็ไม่แน่ว่าพวกนางจะจดจำลูกชายของตนเองได้
ให้ตายเถอะ ใจเด็ดเหลือเกิน
นี่มันนักฆ่ามืออาชีพเลยนี่หว่า
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยความตื่นกลัว
หลังจากนั้น เขาก็หันกลับไปมองนักฆ่าชุดดำอีกสามคนที่โดนพิษสลบไสล
เมื่อใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย เด็กหนุ่มก็ตัดสินใจเดินเข้าไปใช้ดาบตัดหัวผู้บุกรุกทั้ง 6 คนทิ้งหมดสิ้น
ป้องกันเอาไว้ก่อนดีกว่า
ว่าแต่ว่าใครเป็นคนจ้างมือสังหารเหล่านี้มาเล่นงานเขากันนะ?
พวกมันสามารถบุกรุกเข้ามาในสถานศึกษากระบี่ที่สามได้โดยไม่มีใครพบเห็น
แสดงว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
ยิ่งคิดเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งขนลุกขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ความรู้สึกหวาดกลัวเริ่มคุกคามจิตใจเขามากขึ้นเรื่อยๆ
พั่บพั่บพั่บ!
ได้ยินเสียงนกโผบินขึ้นจากป่าไผ่
พริบตาต่อมา
วูบ!
ลูกศรสีดำสนิทก็ถูกยิงออกมาจากป่าไผ่ ตรงเข้าใส่หลินเป่ยเฉินอย่างได้ทันให้ตั้งตัว
ลูกศรดอกนี้เจตนายิงใส่กลางแผ่นหลังของเขา
แต่โชคดีที่หลินเป่ยเฉินมีประสาทสัมผัสฉับไว เขาเบี่ยงกายหลบเล็กน้อย ลูกศรที่ควรจะปักเข้ากลางหลังของเขา จึงปักที่หัวไหล่ซ้ายแทน
ลูกศรดอกนี้มีพลังทำลายล้างน่าหวาดกลัว เมื่อมันปักเข้าใส่หัวไหล่ซ้ายของหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มก็ถึงกับเซถอยหลังหลายก้าว มาหยุดยืนอยู่กับที่ได้ก็ต่อเมื่อแผ่นหลังชนเข้ากับผนังด้านนอกของตำหนักไม้ไผ่แล้วนั่นเอง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจากหัวไหล่ซ้าย
หลังจากนั้น แขนขาก็เริ่มรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ร่างกายเริ่มรู้สึกชาไปทุกสัดส่วน
เลือดไหลทะลักออกมาจากบาดแผล
แต่ในจังหวะความเป็นความตายเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินกลับรู้สึกสมองปลอดโปร่งขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
เขาร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด กระแทกข้อศอกขวาเข้ากับผนังบ้านพัก ใช้มันเป็นแรงส่งดีดตัวมาข้างหน้าด้วยความเร็วดั่งลูกเกาทัณฑ์หลุดออกจากแหล่ง
ในเวลาเดียวกันนี้ มีลูกศรอีกดอกหนึ่งถูกยิงออกมา
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวหลบได้อย่างเฉียดฉิว ลูกศรดอกนั้นจึงพุ่งปักใส่กำแพงตรงตำแหน่งที่หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ปลายส่วนท้ายของลูกศรยังสั่นไหวอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเด็กหนุ่มตอบสนองช้ากว่านี้เพียงนิดเดียว เขาก็คงถูกลูกศรปักคอตายไปแล้ว!
เจ้าเป็นใคร!
หลินเป่ยเฉินคำรามออกมาเหมือนสัตว์ร้าย ม้วนตัวกลิ้งไปบนพื้นดินและกระโดดเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในความมืดมิดของป่าไผ่
ฟ้าว!
เขายิงลูกดอกเหล็กสวนกลับไปยังทิศทางที่ลูกศรพุ่งเข้ามา
แต่ลูกดอกของเด็กหนุ่มที่ยิงออกไป กลับพบเจอเพียงความว่างเปล่า
ปรากฏว่ามือธนูไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่เคยอยู่เมื่อสักครู่นี้อีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินยังคงมีลูกศรปักอยู่ที่หัวไหล่ซ้าย เลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกเหนื่อยหอบเวลาเคลื่อนไหวร่างกาย แต่เขาก็รู้ดีว่าจำเป็นต้องเปลี่ยนตำแหน่งท่าร่างอยู่ตลอดเวลา มิฉะนั้น เขาจะกลายเป็นเป้านิ่งให้อีกฝ่ายเล่นงานได้โดยง่าย
หลินเป่ยเฉินไม่กล้าเสียเวลาที่จะสร้างวงแหวนวารีขึ้นมารักษาอาการบาดเจ็บของตัวเองด้วยซ้ำ
นั่นเป็นเพราะหลินเป่ยเฉินรู้ดีว่า การเสียเวลาเพียงเล็กน้อย ลูกศรดอกที่สามก็สามารถปลิดชีวิตเขาได้ทันที
ความรู้สึกถึงอันตรายชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
มือธนูหลบซ่อนอยู่ในความมืด
อีกฝ่ายเป็นเหมือนสัตว์นักล่าผู้มีความชำนาญในการล่ายามราตรี ส่วนหลินเป่ยเฉินเป็นเหมือนเหยื่อที่ได้รับบาดเจ็บ ได้แต่รอคอยการมาถึงของลูกศรมัจจุราชอย่างหมดหวัง
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินกำลังนึกภาพมือธนูผู้หนึ่งกำลังน้าวคันธนูเตรียมยิงลูกศร
อยู่ที่ไหนกันนะ?
มือธนูซ่อนตัวอยู่ที่ไหน?
เด็กหนุ่มปล่อยกระแสจิตออกไปสำรวจพื้นที่รอบกายในรัศมีสามสิบวา
แต่ร่างกายของเขาอ่อนล้ามากเกินไป
มิหนำซ้ำ หลินเป่ยเฉินยังเสียเลือดมากและต้องเปลี่ยนตำแหน่งท่าร่างอยู่ตลอดเวลา
ขณะนี้ สองเท้าของเขาเริ่มซวนเซแล้ว
พลันจังหวะนั้น…
ฟ้าว!
ลูกศรมัจจุราชพุ่งผ่านความมืดออกมาแล้ว
หลินเป่ยเฉินถือดาบในมือขวายกขึ้นตวัดตัดในแนวขวาง
เคล้ง!
ลูกศรถูกตัดขาดกระเด็นเป็นสองท่อน
แต่ในจังหวะเดียวกันนั้น ลูกศรดอกที่สี่ก็ถูกยิงตามมาโดยไม่เปิดโอกาสให้หลินเป่ยเฉินได้มีเวลาตั้งตัว
เขาไม่สามารถยกดาบขึ้นมาปัดป้องได้อีกแล้ว
และมันก็ช้าเกินไปที่จะกระโดดหลบหนี
หลินเป่ยเฉินคงถึงแก่ความตายเป็นแน่แท้
เด็กหนุ่มคิดอะไรไม่ออก พลัน เขาก็อ้าปากกว้างเหมือนกำลังจะพ่นไฟ