เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 398 หาทางเอาตัวรอด
อ้าว ที่แท้ก็เป็นท่านอาหยิงนี่เอง
หลินเป่ยเฉินเดินตรวจสอบรอบๆ กองขี้เถ้าอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีทรัพย์สมบัติใดหลงเหลืออยู่ หลังจากนั้น เขาถึงค่อยหันมาประสานมือคำนับหยิงอู๋จีด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง ไม่เจอกันนาน หลานคิดถึงท่านอามาก ไม่ทราบว่าท่านอารับประทานข้าวแล้วหรือยัง?
หยิงอู๋จีพูดอะไรไม่ออก
เจอกันครั้งที่แล้ว ไม่เห็นแสดงท่าทีเป็นมิตรอย่างนี้เลย
มือปราบหนุ่มพยักหน้า ข้าได้รับการแจ้งเตือนจากสำนักมือปราบว่ามีการต่อสู้กันในโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่ง…
หลินเป่ยเฉินผงกศีรษะและกล่าวตอบ ถูกต้องแล้วขอรับ ความจริงมันเป็นยิ่งกว่าการต่อสู้กันอีก แม้แต่มือกระบี่ระดับยอดปรมาจารย์ก็ปรากฏตัวออกมา แสงจันทร์ถึงกับมัวหมอง เลือดเป็นสายไหลนองดั่งแม่น้ำ มีคนตายนับสิบศพ… แต่น่าเสียดายที่ท่านอามาช้าเกินไป มือกระบี่ระดับยอดปรมาจารย์ทั้งสองท่านนั้นหลบหนีไปแล้ว…
เด็กหนุ่มรายงานด้วยสีหน้าจริงจังต่อหน้าเจ้าหน้าที่มือปราบจำนวนมาก
จากนั้น เขาจึงขี้มือไปยังทิศทางที่ติงซานฉือกับผู้อาวุโสสวีหายลับไป พวกเขาหนีไปทางนี้แหละขอรับ ท่านอาหยิงได้โปรดส่งคนติดตามไปด้วย หากไม่ทันการณ์ อาจตามจับพวกเขาไม่ทัน… ไม่ต้องขอบคุณข้าน้อยหรอกนะขอรับ ข้าน้อยเป็นพลเมืองดีที่พร้อมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่พิทักษ์ความยุติธรรมอยู่แล้ว
ฉุยหมิงโหลวถึงกับเบิกตาโต
ในโลกนี้จะมีใครไร้ยางอายมากเท่ากับหลินเป่ยเฉินอีกหรือ?
หยิงอู๋จีขมวดคิ้วหน้ายุ่ง
แต่ในทันใดนั้นเอง…
ใต้เท้าขอรับ!
เจ้าหน้าที่มือปราบคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจากด้านนอกพร้อมด้วยศิลาบันทึกภาพก้อนหนึ่ง ศิลาก้อนนี้บันทึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องอาหารห้องนี้ตั้งแต่ต้นจนจบเลยขอรับ และนี่คือสิ่งที่จะทำให้ใต้เท้ารู้ว่าฆาตกรตัวจริงคือใครกันแน่
เจ้าหน้าที่มือปราบคนนั้นพูดเสียงดังด้วยความกระตือรือร้น
เฮ้อ
ให้มันได้แบบนี้สิ
สรุปว่าโดนแอบถ่ายใช่ไหมเนี่ย
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง
หยิงอู๋จีเปิดดูภาพเหตุการณ์ที่ถูกบันทึกอยู่ในก้อนศิลา ก่อนจะเดินตรวจสอบที่เกิดเหตุหนึ่งรอบ และถอนหายใจออกมายาวแรง หลานเป่ยเฉิน ครั้งนี้เจ้าทำรุนแรงเกินไปจริงๆ วันนี้ต่อให้อาเป็นเพื่อนเก่ากับบิดาเจ้า ก็ไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้อีกแล้ว จงรับสารภาพ แล้วยอมรับการจับกุมติดตามอาไปที่สำนักมือปราบเสียดีๆ อารับปากว่าถ้าเจ้ายอมร่วมมือ อาจะหาทางช่วยเหลือเจ้าเท่าที่สามารถทำได้
หา?
หลินเป่ยเฉินถามกลับไปด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ทำไมข้าน้อยต้องไปสำนักมือปราบกับท่านด้วยล่ะ?
หยิงอู๋จีตอบว่า ก็เพราะเจ้าเป็นคนฆ่าสวีหวั่นหลัว หนี่ฟู่กวง แล้วก็ผู้ติดตามคนอื่นๆ…
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงแข็ง แต่ข้าทำไปเพื่อป้องกันตนเอง
หยิงอู๋จีทวนคำว่า เพื่อป้องกันตนเองอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินพยายามอธิบาย ที่ข้าต้องฆ่าพวกมัน ก็เพราะพวกมันต้องการจะฆ่าข้าก่อน
หยิงอู๋จีพูดเสียงเรียบ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องไปให้ปากคำ
หลินเป่ยเฉินกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงใสซื่อ แต่ข้าว่าไม่จำเป็น
หยิงอู๋จีพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว แต่ก็พยายามอดทนอดกลั้นเต็มที่ จำเป็นสิ นี่คือการดำเนินงานตามขั้นตอนของกฎหมาย หลานเป่ยเฉิน ในเมื่อเจ้าบอกว่าตนเองบริสุทธิ์ ก็ไม่มีอะไรที่เจ้าต้องกลัว…
หลินเป่ยเฉินขัดขึ้นโดยทันทีว่า แต่พวกมันเป็นสาวกปีศาจนะขอรับ
ฉุยหมิงโหลวเบิกตาโตมากยิ่งกว่าเดิมจนดวงตาแทบหลุดออกจากเบ้า
นี่มันอะไรกันเนี่ย
หลินเป่ยเฉินกล้าพูดจาไร้สาระเช่นนี้ได้อย่างไร
ถึงกับกล่าวหาว่าพวกของท่านอ๋องน้อยเป็นสาวกปีศาจเชียวหรือ?
ฉุยหมิงโหลวทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว
ทันใดนั้น เขากลับเกิดความรู้สึกสงสารสวีหวั่นหลัว หนี่ฟู่กวง และบรรดาผู้ติดตามขึ้นมาจับใจ ถึงพวกเขาจะเป็นตัวชั่วร้าย แต่ก็ไม่มีทางเป็นสาวกปีศาจ และถ้าหากถูกระบุว่าเป็นสาวกปีศาจขึ้นมาเมื่อไหร่ ครอบครัวของพวกเขาเหล่านั้นก็ต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย แม้แต่ท่านอ๋องผู้ปกครองแคว้นไห่อันหรือผู้ว่าการแคว้นซินจิน ก็อย่าหวังเลยว่าจะรอดจากบทลงโทษไปได้
หลินเป่ยเฉินจำเป็นต้องทำแบบนี้ด้วยหรือ?
ฉุยหมิงโหลวรู้สึกเหมือนตนเองได้เปิดประตูก้าวเข้าสู่โลกใหม่อย่างไรอย่างนั้น
แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
ต่อให้หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือก แต่ผู้ที่ถูกเลือกก็ไม่ใช่เทพีกระบี่หรือเทพเจ้าตัวจริง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเที่ยวกล่าวหาใครต่อใครว่าเป็นสาวกปีศาจโดยไม่มีหลักฐาน
หยิงอู๋จีก็คิดเช่นนี้
เขารู้สึกว่ากำลังถูกหลินเป่ยเฉินดูถูกสติปัญญา
หลานเป่ยเฉิน เจ้าทำพลาดแล้ว เจ้าฆ่าคนยังไม่พอ กลับยังใส่ร้ายพวกเขาอีก นี่มันมากเกินไปแล้วจริงๆ …อาเปิดดูเหตุการณ์ที่อยู่ในศิลาบันทึกภาพ ไม่มีสิ่งใดเป็นหลักฐานที่บอกว่าท่านอ๋องน้อยกับใต้เท้าหนี่เป็นสาวกปีศาจ มีแต่หลักฐานที่บอกว่าเจ้าฆ่าคนอย่างกระหายเลือด และเจ้าไม่สามารถหลีกหนีความผิดได้อีกแล้ว!
หยิงอู๋จีพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หลินเป่ยเฉินเลิกคิ้วสูงด้วยความประหลาดใจ แต่คำพูดของข้านี่ไงคือหลักฐาน
หยิงอู๋จีหัวใจร้อนรนด้วยความบันดาลโทสะ อดพูดออกไปไม่ได้ว่า หลานเป่ยเฉิน อาไม่ได้พูดเล่นกับเจ้านะ เจ้าจะมาทำตัวแกล้งโง่เสียสติไม่ได้ โปรดให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่แต่โดยดีเถิด
หลินเป่ยเฉินตีสีหน้าเบื่อหน่าย เฮ้อ ทำไมท่านอาหยิงถึงไม่เชื่อข้านะ? หรือยังโกรธที่ตอนไปบ้านข้าครั้งที่แล้ว ข้าไล่พวกท่านกลับไปเหมือนหมูเหมือนหมาตัวหนึ่ง?
ฉุยหมิงโหลวใบหน้ากระตุกยิก
ฟังที่พูดเข้าสิ นี่เรียกว่าภาษาคนหรืออย่างไร?
เป็นภาษาที่เด็กควรพูดกับผู้ใหญ่หรือ?
หยิงอู๋จีแทบจะทนไม่ไหวอีกแล้ว
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินยกมือเกาหัวแกรก ก่อนที่เขาจะตบหน้าผากตัวเองและพูดว่า อ้อ จริงด้วยสิ ข้าลืมบอกท่านอาไปหนึ่งอย่าง…
แล้วเด็กหนุ่มก็ล้วงสร้อยทองคำที่ห้อยอยู่กับคอออกมาจากด้านในปกเสื้อ มันเป็นสร้อยที่ห้อยไว้ด้วยป้ายสัญลักษณ์รูปทรงกระบี่หนึ่งแผ่น
ป้ายสีทองเป็นประกาย ให้ความรู้สึกศักดิ์สิทธิ์และสูงส่ง
สุดท้ายก็ต้องเอาออกมาให้ดูจนได้
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงท้อแท้ใจ ว่าจะไม่ให้ใครรู้แล้วเชียว…
เขาชูป้ายกระบี่ทองคำให้ทุกคนได้เห็น ข้าจะบอกความลับสำคัญให้ทุกคนได้รู้ ความจริงแล้วข้าไม่ได้เป็นเพียงผู้ที่ถูกเลือก แต่ข้ายังเป็นตัวแทนของเทพีกระบี่ในระยะยาว ปัจจุบันมีสถานะเป็นหัวหน้านักบวชประจำวิหารเมืองหยุนเมิ่งและได้รับการรับรองโดยท่านนักพรตใหญ่อย่างถูกต้อง ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้ ก็เพื่อทำภารกิจกำจัดสาวกปีศาจนั่นเอง
ภายในห้องรับประทานอาหารพลันตกอยู่ในความเงียบ
ฉุยหมิงโหลวกระพริบตาปริบๆ
หยิงอู๋จี… ไม่สามารถพูดคำใดออกมาได้อีก
ดวงตาทุกคู่จ้องมองไปยังป้ายกระบี่ทองคำที่ห้อยอยู่กับคอของหลินเป่ยเฉิน
ด้านหน้าของป้ายนั้นแกะสลักเป็นรูปกระบี่
ส่วนด้านหลังแกะสลักคำว่า ‘ผู้สูงส่ง’ ด้วยลักษณะที่น่าเกรงขาม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือป้ายประจำตัวของผู้มีสถานะหัวหน้านักบวชอย่างแท้จริง
นี่คือสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถปลอมแปลงได้เด็ดขาด
ไม่มีใครกล้าปลอมแปลง
ดังนั้น…
หมายความว่าหลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นถึงหัวหน้านักบวชด้วยอย่างนั้นหรือ?
สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
ในจักรวรรดิเป่ยไห่ มีกฎเหล็กที่รู้จักกันดีอยู่หนึ่งข้อ
สำหรับผู้ที่มีตำแหน่งเป็นขุนนางหรือเจ้าหน้าที่มือปราบ แม้แต่นายทหารระดับสูง หากจะกล่าวหาใครว่าเป็นสาวกปีศาจ ก็ต้องรวบรวมหลักฐานออกมาแสดงให้แน่นหนา
มิเช่นนั้นแล้ว ก็จะเป็นฝ่ายที่ถูกลงโทษเสียเอง ด้วยข้อหาพยายามใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น
และโทษของการใส่ร้ายผู้อื่นว่าเป็นสาวกปีศาจ ก็คือการประหารชีวิตเช่นกัน
แต่สำหรับกับบุคคลที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้านักบวชวิหารเทพกระบี่ประจำเมืองนั้น ทุกอย่างแตกต่างออกไป
ยามที่สงสัยว่าใครเป็นสาวกปีศาจ พวกเขาก็สามารถจัดการสังหารได้ทันที โดยไม่ต้องมีหลักฐานใดๆ มายืนยัน
ไม่ต้องหวาดกลัวว่าจะถูกสอบสวนในภายหลัง
ไม่มีใครกล้าพูดออกมาได้ว่าผู้มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้านักบวชจะใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่นโดยไม่เป็นธรรม
หรือต่อให้มีการสืบสวนขึ้นมาและความจริงเปิดเผยว่าผู้ที่ถูกสังหารไม่ได้เป็นสาวกปีศาจ หัวหน้านักบวชผู้ลงมือก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไรมากมาย
เพราะถือว่าเขาแค่ทำตามหน้าที่ของตนเองที่ควรปฏิบัติ
ยิ่งไปกว่านั้น หัวหน้านักบวชยังเป็นผู้ที่เทพีกระบี่เลือกสรรมาด้วยตนเอง ผ่านการคัดเลือกมาจากผู้คนนับพัน การันตีได้ว่าเป็นคนดี มีจิตใจบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงมั่นใจได้ว่าหัวหน้านักบวชไม่มีทางนำอำนาจที่สูงส่งของตนเองมาเที่ยวใส่ความใครต่อใครว่าเป็นสาวกปีศาจเด็ดขาด
อย่างเช่น การบอกว่าสวีหวั่นหลัวเป็นสาวกปีศาจ
ประโยคเดียวกันนี้ ถ้าคนพูดเป็นขุนนางหรือนายทหารระดับสูง ก็ยังถือว่าไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ถ้าไม่มีหลักฐานรัดกุม แต่เมื่อพูดออกมาจากปากของผู้มีฐานะเป็นหัวหน้านักบวชประจำเมือง คำพูดของเขาก็ถือว่าเป็นหลักฐานที่แน่นหนาอยู่ในตัวแล้ว