เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 419 เลื่อนระดับพลังกันทุกคน
หลินเป่ยเฉินหันหน้ามามองด้วยความประหลาดใจ อาจารย์…เลื่อนระดับพลังได้แล้วหรือขอรับ? ทำไมถึงเลื่อนได้เร็วจริง?
ทุกสายตาหันไปจ้องมองติงซานฉือ
อาจารย์ติงยกหัวเข่าซ้ายค้างไว้ในอากาศขณะตอบว่า ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ตกลงว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่กันแน่? นี่คือวิชาที่ถ่ายทอดมาจากเทพีกระบี่ไม่ใช่หรือ อย่ามัวเสียเวลากันอยู่เลย รีบฝึกฝนกันต่อดีกว่า
ดังนั้น ทุกคนจึงตื่นขึ้นจากภวังค์
และกลับมาออกกำลังกายต่อจากเดิม
พวกเขาขยับแขนขาไปตามจังหวะดนตรีอย่างมีความสุข
ทุกคนยกหัวเข่าขึ้นมาตบมือลงไปด้วยความมั่นใจ
โดยเฉพาะเซียวปิงที่สลับหัวเข่ายกขึ้นมาฟาดมือลงไปด้วยความเมามัน
มีประโยชน์จริงๆ ด้วยแฮะ
ไป๋ชินหยุนอุทานออกมาด้วยความไม่อยากเชื่อ
ฉู่เหินและคณะอาจารย์จากสถานศึกษากระบี่ที่สามเองก็รู้สึกถึงมวลพลังที่เพิ่มขึ้นในร่างกายเช่นกัน
ใบหน้าของพวกเขายิ้มแย้มอย่างมีความสุข
พวกเขาตบฝ่ามือลงไปบนหัวเข่าของตนเองอย่างแรงและเป็นจังหวะจะโคน
กร๊อบ!
ได้ยินเหมือนเสียงกระดูกแตกหักดังออกมาจากหัวเข่าของฉู่เหิน
นั่นเป็นผลมาจากการที่เมื่อสักครู่นี้ ฉู่เหินตื่นเต้นมากเกินไป จึงตบมือลงไปที่หัวเข่าโดยไม่ได้ผ่อนกำลัง และแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือของเขาก็ทำให้กระดูกหัวเข่าต้องแตกร้าวแล้ว
แต่ฉู่เหินเพียงหยุดเล็กน้อย กัดฟันข่มความเจ็บปวด ยกหัวเข่าขึ้นมาออกกำลังกายต่อไป
หัวเข่าแตกก็ช่างปะไร
สิ่งสำคัญในตอนนี้คือการได้ฝึกฝนวิชาจากเทพีกระบี่ต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้น ฉู่เหินยังรู้สึกได้ว่าระดับพลังในร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จุดที่เคยอุดตันมานานพลันคลี่คลายให้พลังไหลเวียนได้สะดวก
อาจารย์รู้สึกเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปกระซิบถามติงซานฉือ
ข้าเคยมีพลังขึ้นไปอยู่ถึงขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 6 แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างในหลายปีที่ผ่านมา ระดับพลังของข้าก็ลดลงมาหลายขั้น มันทำให้ข้ามีพลังอยู่เพียงยอดปรมาจารย์ระดับที่ 3 เท่านั้น แต่เช้าวันนี้ ด้วยการฝึกวิชาตามที่เจ้าแนะนำ และการได้รับฟังบทเพลงที่เจ้าเปิด มันก็ทำให้ระดับพลังในร่างกายของข้ากลับมาอยู่ที่ขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 5 อีกครั้ง และร่างกายของข้าก็กลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมานานแล้ว!
ติงซานฉือพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
สำหรับกับคนอย่างเขาที่ได้รับบาดเจ็บหนักสะสมจากการต่อสู้มานานปี การฟื้นฟูระดับพลังให้กลับไปอยู่ในขั้นเดิม ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก
แต่เพียงมาร่วมฝึกฝนพิเศษกับหลินเป่ยเฉินวันแรก ติงซานฉือก็เกือบจะสามารถกลับมาอยู่ในขั้นพลังสูงสุดในชีวิตของเขาได้แล้ว
โดยเฉพาะเมื่อรวมเข้ากับอานุภาพของโจ๊กวิเศษที่รับประทานไปเมื่อวาน ร่างกายที่เคยบาดเจ็บของติงซานฉือก็สามารถฟื้นฟูกลับขึ้นมาอยู่ในสภาวะสมบูรณ์ดีอีกครั้ง พลังลมปราณของเขาไหลเวียนอย่างสะดวกปลอดโปร่ง และเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าชายชราน่าจะเลื่อนระดับพลังได้อีกในไม่ช้า
และในที่สุด ติงซานฉือก็เลื่อนระดับพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 6 ได้อีกครั้ง!
หลังจากที่พลังของเขาตกไปนานนับสิบปี!
ติงซานฉือรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการประลองกระบี่กับจูปี้ฉี ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีก 9 วันข้างหน้า
ขอบใจเจ้ามากที่ช่วยเหลืออาจารย์นะ
ติงซานฉือพูดด้วยความซาบซึ้งใจในขณะที่ยกหัวเข่าขึ้นมาตบมือลงไปไม่ได้หยุด
เมื่อพูดออกไปแล้ว ชายชราถึงนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ เขาเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินมีเจตนาไม่บริสุทธิ์
ตอนแรกเขาไม่อยากร่วมฝึกพิเศษกับเด็กหนุ่มด้วยซ้ำ
แต่ด้วยความที่กลัวจะเสียหน้า จึงต้องมาตามนัดของหลินเป่ยเฉินในเช้าวันนี้
และชายชราก็อยากรู้ด้วยว่าหลินเป่ยเฉินพัฒนาพลังไปถึงไหนแล้ว
เขายังจำได้ดีว่าในคืนประลองกระบี่ ณ จวนผู้ว่าหลิงเมื่อหลายเดือนก่อน หลินเป่ยเฉินเคยพูดเอาไว้ต่อหน้าแขกจำนวนมากว่า ‘เป็นอาจารย์หนึ่งวัน เท่ากับเป็นบิดาไปตลอดชีวิต’ อะไรทำนองนั้น
แต่ผลลัพธ์กลับเป็นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
ติงซานฉือรู้สึกละอายใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ เขาพยายามช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินอย่างสุดความสามารถ ไม่ลังเลที่จะสู้กับผู้อาวุโสสวี แม้มันจะทำให้อาการบาดเจ็บกำเริบขึ้นมาก็ตาม ติงซานฉือยินดีอดหลับอดนอนเพื่อปรับปรุงหลักสูตรการสอนให้แก่ลูกศิษย์คนนี้…
เพราะชายชราตั้งใจว่าจะผลักดันให้หลินเป่ยเฉินก้าวขึ้นไปเป็นเซียนกระบี่คนต่อไปให้ได้
เพราะมันเกี่ยวข้องกับเรื่องราวการเมืองภายในนครไป๋หยุน
ติงซานฉือไม่อยากให้หลินเป่ยเฉินต้องมาตายเพราะเรื่องนี้
แต่ใครจะรู้เลยว่าในความเป็นจริงนั้น หลินเป่ยเฉินกลับช่วยเหลือเขา มากกว่าที่เขาช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินเสียอีก
นึกถึงตรงนี้แล้วมันก็น่าเหลือเชื่อนัก
เพียงโจ๊กวิเศษถ้วยเดียวก็เปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
ติงซานฉือไม่แน่ใจอีกแล้วว่าใครกันแน่ที่เป็นลูกศิษย์ ใครกันแน่ที่เป็นอาจารย์?
อาจารย์ขอรับ มีสมาธิหน่อยสิ
หลินเป่ยเฉินกลับไปยืนอยู่ตรงหน้าทุกคนอีกครั้งและเป็นผู้นำการออกกำลังกายต่อไป
เอาล่ะ ท่าแรกที่พวกเราจะทำต่อไปนี้… มีชื่อเรียกว่าท่าหมัดเทพเจ้า
หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนจากการเต้นแอโรบิคมาเป็นการยกมือชกลมแบบนักมวย เราต้องต่อยหมัดให้ได้ 300 ครั้งใน 1 เพลง เอาล่ะ ทุกคนดูข้าเป็นตัวอย่างนะ
แต่ดูๆ ไปแล้วก็ยังเป็นท่าทางที่ชวนให้รู้สึกขบขันอยู่ดี
ทว่า ทุกคนก็ทำตามโดยไม่บิดพลิ้ว
พวกเขาไม่รู้เลยว่าตนเองกำลังทำภารกิจออกกำลังกายในแอปพลิเคชัน Keep
หลังจากนั้น ดวงตะวันก็ปรากฏตัวบนขอบฟ้า
รัศมีสีแดงเปล่งประกายเรืองรอง
หลินเป่ยเฉินสั่งให้ผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะเปลี่ยนเพลงจากในแอป NetEase Cloud Music ทันที
ห้าวหาญยิ่งกว่าคลื่นทะเลนับพัน…
เลือดร้อนระอุยิ่งกว่าแสงตะวัน
จิตใจอันกล้าหาญ ร่างกายที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้า…
พร้อมเผชิญหน้าไม่ว่าใครหน้าไหน
นี่คือบทเพลงคลาสสิคตลอดกาลของวงการละครทีวีจีน ‘ยอดคนไร้เทียมทาน’ ซึ่งเป็นเพลงประกอบละครชุดหวงเฟยหง เมื่อได้รับฟังแล้ว ก็จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและระดับพลังให้สูงส่งมากยิ่งขึ้น
ร่างกายที่สมบูรณ์ ระดับพลังที่เต็มเปี่ยม บรรยากาศที่เป็นใจ แสงอาทิตย์ที่กำลังค่อยๆ สว่างไสวอย่างเชื่องช้า นับได้ว่าเพลงยอดคนไร้เทียมทานมีอานุภาพกระทบใจกลุ่มคนที่กำลังออกกำลังกายอยู่ได้มากกว่าเพลง Wild Wolf disco เมื่อสักครู่นี้เสียอีก
เพลงนี้ทำเอาพลังในร่างกายของข้าปั่นป่วนเลยนะเนี่ย!
หลิวฉีไห่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
แล้วขั้นพลังในตัวเขาก็เลื่อนระดับได้สำเร็จ!
ปรมาจารย์ระดับ 8!
หลิวฉีไห่ติดค้างอยู่ที่ขั้นพลังปรมาจารย์ระดับ 7 มา 5 ปีแล้ว ในที่สุดก็สามารถเลื่อนระดับพลังได้สำเร็จสักที เขาจึงอดส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจสุดขีดไม่ได้
หุหุ… เลื่อนระดับพลังได้แล้วใช่ไหมขอรับ?
หลินเป่ยเฉินถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เยี่ยมมาก
มีอาจารย์เลื่อนระดับพลังได้อีกคนแล้ว
เมื่อผู้ร่วมออกกำลังกายคนอื่นๆ เห็นเช่นนั้น พวกเขาก็หันมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
สามารถเลื่อนระดับพลังได้อีกคนแล้วหรือ?
ทำไมมันถึงง่ายดายขนาดนั้น?
นี่ต้องเป็นเพราะพวกเขาฝึกฝนตามวิถีเทพเจ้าแน่ๆ
หลินเป่ยเฉินไม่ได้โกหกจริงๆ ด้วย
โอกาสทองสำหรับพวกเขามาถึงแล้ว
ทุกคนรีบตั้งสติ และเริ่มต้นใช้ทั้งสองมือชกลมด้วยความมุ่งมั่น ราวกับมีแขนเป็นเครื่องจักรกลก็ไม่ปาน
ในไม่ช้า…
โฮะโฮะโฮะ ข้าสามารถเลื่อนระดับพลังได้สำเร็จแล้ว!
พานเว่ยหมินร้องตะโกนด้วยความดีใจ
ปรมาจารย์ระดับ 9!
ชายชราได้เลื่อนขึ้นมาอยู่ขั้นสุดท้ายของขอบเขตปรมาจารย์แล้ว
พานเว่ยหมินยิ้มอย่างมีความสุข
เมื่อเห็นดังนั้น คนที่เหลือก็เริ่มชกมือด้วยความหนักหน่วงมากขึ้น
มวลอากาศถึงกับปั่นป่วน
เพียงครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็นำทุกคนออกกำลังกายครบ 10 ท่ามาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นการวิดพื้น การซิทอัพ การเล่นโยคะ รวมไปถึงการวิ่งรอบสนามหญ้า
การออกกำลังเหล่านี้ถ้าอยู่บนโลกมนุษย์ มันคือรูปแบบการออกกำลังกายที่ผ่านการรับรองทางวิทยาศาสตร์ ว่าสามารถช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นได้จริง
แต่เมื่ออยู่ในโลกจอมยุทธ์แห่งนี้ มันเป็นเพียงการเล่นสนุกเท่านั้น
เพราะปกติแล้ว การออกกำลังกายเช่นนี้ จะไม่ช่วยพัฒนาพลังลมปราณแต่อย่างใด
ทว่า โทรศัพท์มือถือของยมทูตมีประโยชน์ก็ตรงนี้เอง
ทุกคนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังลมปราณของตนเองเพิ่มพูนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังทำตามท่าทางประหลาดที่หลินเป่ยเฉินเป็นคนสาธิต พลังของพวกเขาก็ไหลทะลักออกมาจากร่างกายจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และทุกครั้งที่ออกกำลังกายเสร็จหนึ่งท่า ก็จะต้องมีหนึ่งคนที่ระดับพลังเพิ่มขึ้นอีก 1 ขั้น
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่านี่คือการฝึกแบบดิจิตอลชัดๆ
ถ้าไม่ได้มาพบเห็นด้วยตาของตนเอง กลุ่มคนที่มาออกกำลังกายกับเขาย่อมไม่เชื่อเด็ดขาด
แต่ขณะนี้ ทุกคนจะไม่เชื่อก็ไม่ได้แล้ว
เมื่อการออกกำลังกายวันแรกจบลง ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นก็ยอดเยี่ยมมาก
นอกจากอากวงเพียงตัวเดียวที่ไม่สามารถวัดระดับพลังได้แล้ว ทุกคนต่างก็เลื่อนระดับพลังได้หมดสิ้น แม้บางคนจะเลื่อนขึ้นมาได้เพียงเล็กน้อยก็ตาม
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินมีพลังลมปราณอยู่ในระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่ 1
ฮันปู้ฮวยมีพลังลมปราณอยู่ในระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่ 2 เพราะนางไม่ทราบมาก่อนว่าตนเองมีพลังลมปราณอยู่ในตัว
ฉุยหมิงโหลวเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 7
ฉู่เหินเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 9 เช่นกัน
แต่ในส่วนของไป๋ชินหยุนนั้น แม้ว่าพลังในร่างกายจะขึ้นสู่ระดับปรมาจารย์แล้ว แต่ด้วยความที่ยังไม่ได้เปิดพลังปราณธาตุประจําตัว เด็กสาวจึงติดอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ตอนปลายดังเดิม มีแต่ต้องเปิดพลังปราณธาตุให้สำเร็จก่อน นางถึงจะมีพลังระดับปรมาจารย์ตอนต้นที่แท้จริง
ทางด้านของเซียวปิงก็เลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 2