เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 621 ยิ่งร้ายกาจยิ่งมีเสน่ห์
ตอนที่ 621 ยิ่งร้ายกาจยิ่งมีเสน่ห์
บัณฑิตหนุ่มสังเกตเห็นได้ว่าผิดท่า จึงรีบก้มหน้า พูดว่า “ข้าน้อยมิบังอาจ”
แต่ลมหายใจต่อมา ร่างของไป๋ชินหยุนพลันอันตรธานหายลับไปจากสายตา
ผ่านไปชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย
บนท้องฟ้าก็เกิดแสงสว่างวูบวาบขึ้นอีกครั้ง
“หยวนหลิวเฟิง มันผู้นั้นอยู่ที่ไหน?” ไป๋ชินหยุนผู้ลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าถาม ดวงตาแดงก่ำ
บัณฑิตหนุ่มเกิดสังหรณ์อัปมงคลขึ้นในจิตใจ
“เขายังไม่กลับมาเลยขอรับ…”
บัณฑิตหนุ่มประสานมือก้มศีรษะและพยายามสอบถาม “ไม่ทราบว่าเหตุการณ์ทางฝั่งนั้นเป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
ไป๋ชินหยุนจ้องมองคนถามด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ สายตาของนางไม่ต่างจากลำแสงที่พุ่งทะลวงเข้าไปคว้านหัวใจบัณฑิตหนุ่มถึงด้านในได้อย่างน่าหวาดกลัว
“เจ้าคิดว่าตนเองฉลาดนักใช่ไหม?”
ไป๋ชินหยุนเคลื่อนกายเข้ามาหาอย่างแช่มช้า
รังสีอำมหิตแผ่ปกคลุมบรรยากาศ พลังกดดันหนักหน่วงทำให้ยอดเขาในบริเวณนั้นถึงกับสั่นสะเทือน
บัณฑิตหนุ่มมีสีหน้าตื่นกลัวมากแล้ว แต่เขาก็พยายามรวบรวมสติ ตอบว่า “ข้าน้อยมิบังอาจ ข้าน้อยเพียงอยากตั้งใจรับใช้คุณหนูและคุณชายเว่ยอย่างสุดความสามารถเท่านั้น หากหลินเป่ยเฉินยังมีชีวิตอยู่ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อคุณชายแน่นอน… อ๊ากกก”
แล้วเสียงร้องโหยหวนก็ดังขึ้น
บัณฑิตหนุ่มยังไม่ทันพูดจบ ไป๋ชินหยุนก็ยิงลำแสงสีแดงสองสายออกมาจากดวงตา ลำแสงเหล่านั้นเกี่ยวตวัดรัดพันลำคอบัณฑิตหนุ่มและยกเขาลอยสูงขึ้นไปในอากาศ
ลำแสงสีแดงมีพลังบีบรัดมหาศาล ได้ยินเสียงกระดูกลำคอของบัณฑิตหนุ่มเริ่มแตกหักดังเปรี๊ยะปร๊ะ
บัณฑิตหนุ่มใบหน้าแดงก่ำ สะบัดมือสะบัดเท้า พยายามตะกุยตะกายในอากาศ
“คุณหนู… จะฆ่าข้าไม่ได้นะขอรับ… ข้าคือ… ผู้ติดตาม… ของคุณชาย… อ๊ากกก…”
แววตาของบัณฑิตหนุ่มเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความหวาดกลัว
ราวกับเขาไม่อยากเชื่อว่าเด็กสาวจะกล้าโจมตีตนเอง
“หากหลินเป่ยเฉินเป็นอะไรไป เจ้าจะต้องลงไปอยู่ในหลุมศพเดียวกับเขา…” เสียงพูดของไป๋ชินหยุนเย็นชาปานน้ำแข็ง “ไม่สิ เจ้าไม่มีคุณสมบัติดีพอที่จะไปฝังร่วมกับเขาแม้แต่น้อย…”
แล้วพลังลมปราณก็ไหลรินจากลำแสงสีแดงที่ลำคอซึมเข้าไปสู่ร่างกายของบัณฑิตหนุ่ม
“อ๊ากกก…”
บัณฑิตหนุ่มส่งเสียงกรีดร้องเหมือนหมูถูกเชือด “ข้าเป็นคนสนิทของคุณชาย… เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทำร้ายข้า…”
“เจ้าเนี่ยนะคือคนสนิทของเว่ยหมิงเฉิน?”
ดวงตาของไป๋ชินหยุนผู้ลอยตัวอยู่เหนือกลุ่มก้อนเมฆขาวมีความเย็นชายิ่งกว่าพายุน้ำแข็ง
“หึหึ คุณชายเว่ยหมิงเฉินของเจ้าน่ะ ก็เป็นแค่มดปลวกตัวหนึ่งในสายตาของข้าเท่านั้น อย่าลืมสิว่าข้ามาจากเผ่าพันธุ์ปีศาจผู้ยิ่งใหญ่ มนุษย์อย่างพวกเจ้าหาได้มีค่าในสายตาของข้าไม่”
หลังจากนั้น ลำแสงสีแดงที่พันอยู่รอบลำคอของบัณฑิตหนุ่มก็ลุกเป็นไฟโชติช่วง
ร่างกายของชายหนุ่มถูกเผาไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว
แต่วิญญาณของบัณฑิตหนุ่มยังคงถูกพันธนาการอยู่ด้วยลำแสงจากดวงตาของไป๋ชินหยุน
“เป็นไปได้อย่างไรกัน…”
เขาก้มหน้ามองวิญญาณของตนเองด้วยความไม่อยากเชื่อ
นี่ตัวเขาตายแล้วไม่ใช่หรือ?
แล้วทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่ได้อีก?
“วิญญาณของพวกเจ้าคืออาหารสำหรับข้า น่าเสียดายที่รสชาติไม่อร่อยเอาเสียเลย… ถึงเจ้าจะมีพลังสูงส่งถึงขั้นยอดปรมาจารย์ แต่ก็นับว่าน่าผิดหวังอยู่ดี”
เด็กสาวมีดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความอำมหิต
เปลวไฟจากลำแสงสีแดงยังคงเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง
ดวงวิญญาณของบัณฑิตหนุ่มใบหน้าบิดเบี้ยว แสดงออกถึงความเจ็บปวดทรมานถึงที่สุด
แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น ดวงวิญญาณของเขาก็เริ่มพร่าเลือน สุดท้ายมันก็กลายเป็นเพียงผลึกแก้วที่มีขนาดเล็กเท่ากับกำปั้นมือเด็กทารกและลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศอย่างไร้จุดหมาย
ไป๋ชินหยุนอ้าปากสร้างพลังลมดูด
แล้วผลึกแก้วชิ้นนั้นก็ลอยเข้าไปในปากของนาง
เด็กสาวปีศาจรับประทานมันเหมือนรับประทานข้าวปั้นก้อนหนึ่ง
หลังก้อนเมฆขาวก้อนหนึ่งในบริเวณนั้น มีเรือเหาะลำหนึ่งลอยลำอยู่
บนดาดฟ้าเรือยังคงมีผู้ติดตามของบัณฑิตหนุ่มยืนอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ พวกเขาล้วนเป็นสักขีพยานการฆาตกรรมที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ และบัดนี้ ทุกคนก็อดตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวไม่ได้แล้ว
ไป๋ชินหยุนทิ้งตัวลงมายืนอยู่บนเรือเหาะลำนั้น ก่อนพูดว่า “พวกเรากลับกันเถิด”
หลังจากนั้น นางก็เดินกลับเข้าไปในห้องพักใต้ดาดฟ้าเรือ
…
ดวงจันทร์สุกใสสกาว
นกอินทรียักษ์กระพือปีกบินในอากาศ เกิดเป็นคลื่นลมปั่นป่วนรอบบริเวณอย่างรุนแรง
“เฮ้อ เหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกเราคาดคิดเลยนะเจ้าคะ น่าเสียดายจริงๆ” บนแผ่นหลังนกอินทรี องค์หญิงเค่อเอ๋อร์กำลังถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า
เจ้าชายอวี้ชินหวังพูดว่า “พวกเรายังไม่ทราบว่าเด็กสาวปริศนาที่ปรากฏตัวอยู่บนหน้าผาหินนั้นเป็นใคร พวกเราไม่รู้ว่านางต้องการสิ่งใดกันแน่ ซ้ำหลิงไท่ซวีก็เป็นผู้ที่ประมาทฝีมือไม่ได้ และหลินเป่ยเฉินมีน้ำตาเทพเจ้าอยู่ในมืออย่างนั้น นักบวชหรงไม่มีทางขัดคำสั่งเขาได้อย่างเด็ดขาด หากพวกเราดึงดันที่จะอยู่ที่นั่นต่อไป หลินเป่ยเฉินก็คงจะต้องกลายเป็นศัตรูกับจักรวรรดิจี้กวงเป็นแน่แท้ แต่ถ้าพวกเรายอมถอยหนึ่งก้าวในครั้งนี้ อนาคตข้างหน้าก็ยังพอพูดคุยกันได้บ้าง”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” องค์หญิงเค่อเอ๋อร์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ก็ยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเสียดายอยู่ดี “ลูกเพียงแต่ไม่เข้าใจเลยว่า เพราะเหตุใดหลินเป่ยเฉินถึงไม่ยอมละทิ้งจักรวรรดิเป่ยไห่ ต่อให้เขาอยากอยู่ที่นั่นต่อไปเพื่อแก้แค้นศัตรูก็ตาม แต่หลินเป่ยเฉินไม่อยากเจอบิดากับพี่สาวของตนเองหรืออย่างไร? ลูกผิดสังเกตตั้งแต่ตอนที่มอบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นให้กับเขาแล้ว หลินเป่ยเฉินดูจะไม่กระตือรือร้นแม้แต่น้อย และเขาก็ไม่ได้มาหาลูก เพื่อสอบถามข้อมูลเลยสักครั้งเดียว”
“คนบางคนก็มีนิสัยเย็นชาโดยกำเนิด บางทีเขาอาจจะไม่ได้รักบิดาและพี่สาวของตนเองอย่างที่องค์หญิงเข้าใจก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
มือสังหารธารน้ำแข็งถัวป่าพูด
“อย่างนั้นก็ยิ่งมีเสน่ห์มากเข้าไปใหญ่เลยสิ”
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ยกมือนวดแก้มของตนเองด้วยความเศร้าใจ “ยิ่งรู้จักหลินเป่ยเฉินมากเท่าไหร่ ข้าก็รู้สึกว่าเขายิ่งมีเสน่ห์มากขึ้นเท่านั้น แต่ไม่เป็นไร เรื่องอย่างนี้ต้องใช้เวลา… สักวันหนึ่ง ข้าจะต้องทำให้เขากลายมาเป็นทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ และยอมหมอบกราบอยู่แทบเท้าข้าให้ได้!”
แต่ในจังหวะนั้นเอง มือสังหารธารน้ำแข็งถัวป่าเหมือนจะรับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง เขาหันหน้ามองกลับไปยังทิศทางหน้าผาหินที่พวกของตนเองเพิ่งจะบินจากมา
“มีผู้คนต่อสู้กัน”
เขากล่าว
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ดวงตาเป็นประกาย
“พวกเว่ยหมิงเฉินคงไม่ยอมให้หลินเป่ยเฉินไปถึงนครเจาฮุยได้โดยง่าย นับดูในโลกใบนี้ยังจะมีใครอำมหิตมากไปกว่าเขาอีก เหอเหอเหอ ในอนาคตเขาจะต้องเป็นบุคคลที่ชั่วร้ายเลวทรามมากที่สุดเป็นแน่แท้ จักรวรรดิเป่ยไห่คงต้องหาทางลอบสังหารเว่ยหมิงเฉินให้ได้ในเร็ววันนี้เสียแล้ว ในฐานะที่พวกเราเป็นศัตรูกัน ปกติคงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือไม่ได้… แต่ท่านอาถัว ไม่ทราบว่ากลับไปตอนนี้ พวกเรายังจะพอช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินทันอยู่หรือไม่?”
“หลินเป่ยเฉินมียอดฝีมือคอยปกป้องอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ถัวป่าตอบกลับมาน้ำเสียงราบเรียบ
“ท่านคงหมายถึงหลิงไท่ซวี?”
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ถาม
มือสังหารธารน้ำแข็งถัวป่าส่ายศีรษะ “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้ว่าหลิงไท่ซวีจะกลายเป็นผู้เฒ่าที่ลุ่มหลงอยู่ในสุรานารี แต่ระดับพลังของเขากลับไม่ได้ลดลงเลย ทว่าบุคคลที่ข้าน้อยกำลังพูดถึงอยู่นี้มีความแข็งแกร่งมากกว่าหลิงไท่ซวีหลายเท่า ต่อให้พวกเราผนึกกำลังกัน ก็ไม่แน่ว่าจะสามารถโค่นล้มคนผู้นั้นได้”
องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ถึงกับแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาแล้ว
จากนั้นนางก็ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
“ประเสริฐ นับว่าน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง”
“คิดไม่ถึงเลยนะว่าเขาจะกลายเป็นที่หมายปองของยอดฝีมือมากมายขนาดนี้”
“ดังนั้น เท่ากับว่าถ้าข้าสามารถพิชิตใจหลินเป่ยเฉินได้สำเร็จ ข้าก็เหมือนยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว นอกจากจะได้เขามาเป็นทาสรับใช้แล้ว ข้ายังได้ครอบครองบุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกอีกด้วยใช่หรือไม่?”
รอยยิ้มบนใบหน้าองค์หญิงเค่อเอ๋อร์เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเหมือนเด็กน้อยเห็นเค้กวันเกิดของตนเอง
แต่ทั้งเจ้าชายอวี้ชินหวังและมือสังหารธารน้ำแข็งถัวป่าเมื่อเห็นสายตาของเด็กสาว พวกเขาก็รับรู้ว่านี่คือสายตาแห่งความอันตราย ซึ่งมีแต่เพียงคนวิกลจริตเท่านั้นถึงจะเข้าใจความหมายของมัน
…
“โอ๊ย เจ็บจังเลยขอรับ”
“เบาๆ หน่อยสิขอรับ… ข้าน้อยเจ็บ”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงครวญครางอยู่ตลอดเวลา
นักบวชสาวในชุดเกราะสีเงินผู้หนึ่งกำลังหิ้วปีกหลินเป่ยเฉินด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็ลากร่างของหยวนหลิวเฟิงผู้หมดสติตามมาด้วย นางมีสีหน้าเย็นชาปราศจากความรู้สึก เส้นผมสีเงินยวงปลิวไสวตามแรงลม หยอกล้อกับแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาเป็นประกายระยิบระยับ…
บัดนี้ นางนำตัวพวกเขาขึ้นมาจากร่องลึกใต้พื้นดินได้สำเร็จแล้ว
โครม!
หยวนหลิวเฟิงถูกโยนลงไปบนพื้นดิน
หลินเป่ยเฉินก็มีชะตากรรมไม่ต่างกัน
เพียงแต่ตอนที่นางโยนเขา นักบวชสาวค่อนข้างเบามือมากกว่ากันเล็กน้อย
“ฮื่อ ข้าน้อยต้องรบกวนให้ท่านนักพรตมาช่วยชีวิตอีกแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพยายามยิงฟันยิ้มข่มความเจ็บปวด “หากไม่ได้ท่านนักพรตมาช่วยเหลือ ครั้งนี้ข้าน้อยคงถึงแก่ความตายแล้วจริงๆ และเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้ ข้าน้อยจะยินยอมให้ท่านทำอะไรกับข้าน้อยก็ได้ทั้งนั้น”
“หากฝีมือการต่อสู้ของเจ้าเก่งได้สักส่วนหนึ่งของฝีปาก เจ้าก็คงไม่ต้องมีสภาพน่าสมเพชเวทนาเช่นนี้แล้ว”
นักพรตหญิงชินกล่าวเสียงเรียบ