เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 634 สิ้นลายยอดยุทธ์
ตอนที่ 634 สิ้นลายยอดยุทธ์
ท้องฟ้ากำลังจะมืดแล้ว
กลุ่มของหยางต้าซานและลูกสมุนกำลังเดินทางกลับเขตที่พักของตนเอง
“น้องป่า งานวันนี้ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
หยางต้าซานสอบถาม
ผู้ถูกถามนามว่าเหลาป่า มีอายุประมาณ 25-26 ปี เคยเป็นชาวไร่ฝีมือดีในเมืองหยินเหยียน บรรพบุรุษประกอบอาชีพเกษตรกรกว่าแปดชั่วอายุคน เมื่อได้ยินผู้เป็นลูกพี่เอ่ยถาม เขาก็รีบตอบว่า “งานวันนี้ข้าติดตามผู้คนจากเมืองหยุนเมิ่งไปปรับสภาพผิวดินเพื่อทำการปลูกสมุนไพรวิเศษสำหรับเป็นวัตถุดิบหลอมยาลูกกลอนเสริมปราณขอรับ…”
“ได้ข่าวว่าพวกเขาจะปลูกข้าวสาลีด้วยใช่ไหม?”
“มิผิดขอรับ ถึงจะใกล้ฤดูหนาว และสายเกินไปที่จะปลูกข้าวแล้วก็ตาม”
“ที่นี่ดินเค็มยิ่งกว่าอะไรดี ต่อให้เป็นฤดูกาลที่เหมาะสม ก็ไม่มีทางปลูกพืชผักขึ้นแม้แต่ต้นเดียวเด็ดขาด…”
ชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นออกมาเมื่อได้ยินคำตอบของเหลาป่า
“คนที่ชื่อคุณชายหลินอะไรนั่น เห็นว่าเป็นบุคคลสมองเสื่อมไม่ใช่หรือ?” เหล่าฉีกล่าวเสริม “บ่ายวันนี้ข้าติดตามคนที่ชื่อว่าอานมู่ซีไปยังลานสำหรับปลูกสมุนไพรวิเศษอีกจุดหนึ่ง ขุดดินจนปวดแขนไปหมด แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าดินเค็มเช่นนี้ ไม่มีทางปลูกสมุนไพรพวกนั้นขึ้นอยู่แล้ว”
“น้องสี่ เจ้าล่ะเป็นอย่างไร? วันนี้พวกเขาให้เจ้าไปทำงานอะไรมา?”
“ข้าหรือ? อ้อ ข้าอยู่หน่วยขนย้ายดินที่ถูกขุดขึ้นมาน่ะ เห็นว่าพวกเขาจะเอามันไปอัดเป็นก้อนอิฐสำหรับใช้ก่อสร้างต่อไป”
“ยิ่งพูดก็ยิ่งแปลกประหลาดมากไปทุกที…”
กลุ่มชายหนุ่มหันมองหน้ากัน
“แต่พวกเจ้าว่าโอสถเป่ยเฉินที่พวกเขาให้เรามา มันจะเป็นยาพิษหรือเปล่า? เห็นว่ายาชนิดนี้เมื่อกินเข้าไปแล้ว ก็จะรู้สึกอิ่มท้องและไม่หิวอีกเลย”
ใครอีกคนหนึ่งถามออกมา
ลูกพี่ใหญ่หยางต้าซานตอบว่า “ไม่น่ามีปัญหากระมัง พวกเจ้าไม่เห็นรึ? ตอนที่ชาวเมืองหยุนเมิ่งพูดถึงโอสถเป่ยเฉินเหล่านั้น พวกเขาดูมีสีหน้าภาคภูมิใจและพวกเขาเองก็รับประทานยาชนิดนี้เข้าไปไม่ใช่น้อย”
“แต่ถึงอย่างนั้น…”
“ถ้าเป็นจริงมันก็เหลือเชื่อมากเลยนะขอรับ ยาลูกกลอนหนึ่งเม็ดทำให้เราอิ่มท้องได้หนึ่งวันหนึ่งคืน หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป เกรงว่าพวกขุนนางใหญ่ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตสาม ก็คงต้องอิจฉาพวกเราแล้ว”
“ข้าไม่รู้เลยนะว่ามีคนคิดค้นโอสถชนิดนี้ขึ้นมาได้อย่างไร แต่สงสัยราคาต้องไม่แพงแน่ๆ”
“ถูกแล้ว ไม่อย่างนั้นชาวเมืองหยุนเมิ่งจะมีปัญญาซื้อหามารับประทานจำนวนมากได้อย่างไร”
ทันใดนั้น กลุ่มชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงกีบเท้าสัตว์กำลังย่ำพื้นดินมาทางพวกของตนเอง เมื่อเงยหน้ามองจึงพบเห็นว่าผู้ที่ขี่อยู่บนหลังอสูรลมกรดเหล่านั้นเป็นใคร หยางต้าซานและเหล่าลูกน้องก็รีบกระโดดหลบเข้าหลังเนินดินโดยทันที
เพราะกลุ่มคนที่ควบขี่สัตว์ประหลาดฝูงนี้ล้วนแต่งกายด้วยชุดเกราะสีดำทมิฬ กลมกลืนกับความมืดที่กำลังครอบคลุมบรรยากาศ และทุกคนกำลังมุ่งหน้าไปยังที่ตั้งค่ายพักชาวเมืองหยุนเมิ่งด้วยความเร่งร้อน
คำนวณดูจากสายตาแล้ว นักรบชุดดำเหล่านี้มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 500 คน
เมื่อเทียบกับจำนวนผู้คุมกันเมื่อวันก่อน นี่ต่างหากที่เรียกว่ากองทัพนักรบขนานแท้
ถึงพวกเขาไม่ได้มีธงแสดงสัญลักษณ์ว่าอยู่ฝ่ายไหน แต่ดูจากลวดลายของชุดเกราะที่สวมใส่แล้วนั้น ประเมินได้ว่านักรบกลุ่มนี้ต้องเป็นยอดนายทหารจากกองทัพประจำเมืองเจาฮุยแน่นอน
แม้จะอยู่ห่างกันมาก แต่หยางต้าซานก็ยังสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตและรังสีแห่งการฆ่าฟันจากร่างกายของนายทหารเหล่านี้
“นั่นไง พวกหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ส่งคนมาแก้แค้นจริงๆ ด้วย”
“ได้ข่าวว่ากลุ่มคนที่สนับสนุนหอนางโลมบุปผารื่นรมย์อยู่นั้น เป็นถึงขุนนางและนายทหารใหญ่ที่มีอำนาจควบคุมกองทัพทั้งหมดในนครหลวง… จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะส่งหน่วยรบจำนวนถึง 500 นายมาได้รวดเร็วเช่นนี้”
“แต่การนำกำลังพลของส่วนรวมมาใช้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง มันผิดกฎหมายไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าจะไปรู้อะไร กฎหมายมีไว้ใช้กับพวกคนที่ต้องตกเป็นเบี้ยล่างอย่างพวกเราเท่านั้นแหละ”
“ถ้าอย่างนั้น…”
“พวกเราจะทำอย่างไรกันดี?”
“จริงด้วย พวกเรารีบกลับไปแจ้งเตือนให้คุณชายหลินรู้ตัวดีหรือไม่?”
“รนหาที่ตาย ขาคนมันจะไปวิ่งเร็วเท่าขาอสูรได้อย่างไร?”
“เฮ้อ ค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งคงถึงคราวอวสานเสียแล้วสิ”
“ตกลงว่า… พวกเรารีบกลับที่พักของตนเองดีหรือไม่?”
หลายคนเริ่มมีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว
แม้เมื่อตอนกลางวัน พวกเขาจะไปทำงานอยู่ในค่ายพักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง และได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แต่ไม่มีทางเสียหรอกที่ทุกคนจะยอมตกตายไปพร้อมกับชาวเมืองผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้น
หยางต้าซานสูดหายใจลึก แล้วพูดว่า “พวกเราสมควรอยู่ที่นี่ รอดูสถานการณ์ต่ออีกสักหน่อย”
บรรดาลูกสมุนของหยางต้าซานต่างก็ก้มหน้ามองโอสถเป่ยเฉินที่ถืออยู่ในมือ จากนั้นจึงหันหน้ามองไปยังค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป และทุกคนก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
หากชาวเมืองหยุนเมิ่งไม่ได้ไปมีเรื่องกับคนใหญ่คนโตจากพื้นที่เขตสาม ทุกคนก็คงมีงานให้ทำ เมื่อมีโอสถเป่ยเฉินเป็นค่าแรง พวกเขาก็ไม่ต้องทนหิวอีกแล้ว มิหนำซ้ำ ถ้านำยาลูกกลอนเหล่านี้ไปละลายน้ำสำหรับดื่มกิน ก็ยังช่วยยืดเวลารับประทานออกไปได้อีกหลายวัน
ไม่มีงานไหนดีมากไปกว่างานนี้อีกแล้ว
แต่ทว่า…
เฮ้อ
ถ้าจะโทษใครสักคน ก็คงต้องโทษคุณชายหลินนั่นแหละนะที่ไปมีเรื่องไม่ดูตาม้าตาเรือ ทำให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังหอนางโลมบุปผารื่นรมย์โกรธแค้นเช่นนี้
กลุ่มลูกสมุนของหยางต้าซานนั่งรอคอยอย่างกระวนกระวายอยู่ด้านหลังเนินดิน
ลมหนาวพัดผ่านมา อุณหภูมิลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
ในไม่ช้า ร่างกายของกลุ่มชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกชาดิก
“พวกเรากลับที่พักกันได้หรือยัง ป่านนี้ค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งคงถูกขยี้ไม่เหลือแล้ว… หืม?”
ชายคนหนึ่งพูดออกมาได้ครึ่งประโยคก็ต้องหยุดชะงักไปอย่างกะทันหัน
เขาชี้มือไปในความมืดพร้อมกับพูดว่า “ดูนั่นสิ มันคืออะไร?”
ทุกคนหันไปมองด้วยความแตกตื่นตกใจ
แล้วทุกคนก็ได้เห็นอสูรลมกรดตัวหนึ่งที่วิ่งไปยังค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งก่อนหน้านี้ ได้วิ่งสวนทางเดิมกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับนายทหารที่ขี่อยู่บนแผ่นหลังของมัน
แต่สิ่งที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้ก็คือ เขาไม่ได้เป็นนายทหารผู้น่าเกรงขามอีกแล้ว
บัดนี้ ชุดเกราะของนายทหารถูกปลดออก แม้แต่เสื้อผ้าด้านในก็ถูกฉีกขาด ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาหลงเหลืออยู่แต่เพียงกางเกงชั้นในเท่านั้น แม้นี่จะเป็นยามกลางคืนแล้ว แต่พวกของหยางต้าซานก็ยังสามารถมองเห็นผิวกายที่ขาวผ่องและใบหน้าที่แดงก่ำของนายทหารได้อย่างชัดเจน นายทหารโบยแส้ใส่อสูรลมกรดด้วยความเร่งร้อน ราวกับว่าต้องการจะหลบหนีจากอะไรบางอย่างโดยไม่เหลียวหน้ามองกลับไปข้างหลังอีกเลย…
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา นายทหารผู้นั้นก็ขี่อสูรลมกรดหายลับไปในความมืด
หยางต้าซาน เหลาป่าและคนอื่นๆ ลุกขึ้นยืนหันมองหน้ากัน ทุกคนล้วนมองเห็นความตกตะลึงในแววตาของกันและกัน
“ถ้า…ข้าเข้าใจไม่ผิด นักรบจำนวน 500 นายเมื่อสักครู่นี้ คงหลงเหลืออยู่แต่เพียงบุรุษคนเมื่อสักครู่แล้วกระมัง?”
“เขาเป็นคนเดียวที่หนีออกมาได้ เกรงว่านี่ต้องเป็นเจตนาปล่อยตัวออกมาแน่นอน มิฉะนั้นแล้ว เขาคงไม่ถูกปลดชุดเกราะและฉีกเสื้อผ้าออกไปเช่นนั้นแน่… เฮ้อ นับว่าชาวเมืองหยุนเมิ่งจิตใจโหดร้ายกว่าที่พวกเราคาดคิดเหมือนกันนะเนี่ย”
“แต่เวลาเพิ่งผ่านไปเพียงก้านธูปเดียวเท่านั้น นายทหารกว่า 500 ชีวิตจะพลาดท่าเสียทีให้แก่พวกเขาทั้งหมดได้อย่างไร?”
พวกของหยางต้าซานยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อมากขึ้นเท่านั้น
แต่ถ้าไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคาดเดา มันก็ไม่มีเหตุผลอื่นรองรับอีกแล้ว
“เอาล่ะ พวกเรากลับที่พักกันดีกว่า อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว”
หยางต้าซานออกคำสั่งและทุกคนก็เดินมุ่งหน้ากลับไปยังที่พักของตนเองโดยเร็ว
กองทหารประจำเมืองเจาฮุยพ่ายแพ้ยับเยินถึงเพียงนี้ ซ้ำชาวเมืองหยุนเมิ่งยังเจตนาปล่อยหนึ่งในทหารให้หลบหนีกลับไปเพื่อเป็นการยั่วยุอีกด้วย เห็นทีคืนนี้คงมีการโจมตีเกิดขึ้นที่ค่ายพักของชาวเมืองหยุนเมิ่งอีกหลายครั้งแน่นอน
หยางต้าซานรู้ดีว่าพวกของตนเองเป็นเพียงปลาตัวเล็ก ไม่สมควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งที่ใหญ่โตเช่นนี้เด็ดขาด
ดังนั้น พวกเขาจึงสมควรรีบกลับบ้านแล้ว
…
แต่คืนนั้น หยางต้าซานนอนไม่หลับ
ไม่ว่าได้ยินเสียงอะไรดังขึ้น ชายหนุ่มจะสะดุ้งตื่นลุกขึ้นมานั่งโคจรพลังลมปราณเสมอ ที่พักของเขาเป็นเพียงกระท่อมไม้เก่าๆ ผุพัง ด้านนอกเป็นรั้วไม้ที่กั้นอาณาเขตเอาไว้อย่างโย้เย้ ไม่สามารถป้องกันได้แม้แต่หมาป่าที่ออกหาอาหาร ผิดกับที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งซึ่งดูดีมากกว่านี้หลายเท่า ทั้งๆ ที่มีเวลาก่อสร้างเพียงสองวันเท่านั้น
หยางต้าซานเคยรู้สึกอิจฉาพวกเขาไม่ใช่น้อย
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับโชคชะตาที่ชาวเมืองจากแดนไกลต้องพบเจอในคืนนี้ หยางต้าซานก็เปลี่ยนจากความรู้สึกอิจฉาเป็นเวทนาและสงสารที่ชาวเมืองหยุนเมิ่งกลับมีผู้นำเป็นเด็กหนุ่มสมองเสื่อมคนหนึ่ง
“หวังว่าเมื่อข้าไปทำงานวันพรุ่งนี้ ทุกอย่างจะยังคงเป็นปกติเหมือนเดิมนะ”
หยางต้าซานหันกลับมามองภรรยาซึ่งหลับใหลอยู่บนกองฟางเคียงข้างลูกๆ ทั้งสามคน แล้วดวงตาของชายหนุ่มก็เป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมา…
ภรรยาของเขาตอนมีอายุ 18 ปีนับเป็นหญิงงามที่สุดในเมืองหยินเหยียน แต่นางก็เลือกแต่งงานกับชายหนุ่มที่ไม่มีสกุลรุนชาติอย่างหยางต้าซาน
สิบปีผ่านไป นางยังคงอยู่เคียงข้างและสนับสนุนเขาสร้างพื้นฐานครอบครัวที่แข็งแกร่ง จนบัดนี้มีบุตรชายสองและบุตรีอีกหนึ่งคน
ตลอดระยะเวลาสิบปีที่ผ่านมา คู่สามีภรรยาเผชิญหน้าทุกข์สุข ผ่านเหตุการณ์ดีร้ายมานับไม่ถ้วน
แม้แต่ในช่วงเวลาที่ยากลำบากและอันตรายมากที่สุดระหว่างการอพยพ นางก็ยังให้กำลังใจเขาอยู่หลายครั้ง จนสุดท้าย หยางต้าซานก็สามารถนำพาลูกเมียอพยพมาถึงนครเจาฮุยได้ในที่สุด
หญิงผู้เป็นที่รักและลูกๆ คือชีวิตของหยางต้าซาน
ไม่ว่าต้องทำสิ่งใด ไม่ว่าต้องแลกมาด้วยอะไรก็ตาม หยางต้าซานจะต้องปกป้องภรรยาและลูกๆ ให้รอดพ้นจากความเหน็บหนาวและความหิวโหยให้จงได้
หยางต้าซานตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เช้า เขาจะลองไปสังเกตการณ์ค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งดูสักครั้ง
หากทุกอย่างยังคงเป็นปกติดังเดิม หยางต้าซานก็จะไปทำงานต่อ
เพราะในค่ายที่พักแห่งนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่ดึงดูดความสนใจของเขาเป็นพิเศษ