เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 678 เรียกข้าว่าใต้เท้า(2)
ตอนที่ 678 เรียกข้าว่าใต้เท้า(2)
“พวกเรารีบตาม”
หลงเสี่ยวเถียนยกมือโบกสะบัด
เจ้าหน้าที่มือปราบและกลุ่มนายทหารที่อยู่โดยรอบ รีบไล่ตามกลุ่มคนผู้หลบหนีไปทันที
“ส่วนเจ้ามานี่”
เขาหันไปพูดกับผู้ช่วยประจำตัวที่ยืนอยู่ด้านข้าง “ไปรายงานกองทัพว่าหลินเป่ยเฉินก่อเหตุบุกลานประหารช่วยเหลือฉุยเฮาเฟิงหลบหนี พวกมันกำลังมุ่งหน้าไปยังเขตเมืองที่สอง ขอให้ทางกองทัพส่งกองกำลังไปปิดล้อมค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง และนำตัวผู้ร้ายหลบหนีคดีกลับมาให้ได้…”
“รับทราบแล้วขอรับ”
ผู้ช่วยรีบวิ่งออกไปด้วยความเร็วไว
ส่วนหลงเสี่ยวเถียนไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น
เขาหันกลับมากวาดตามองชาวบ้านที่รวมตัวอยู่รอบลานประหาร จากนั้นจึงสูดหายใจลึกๆ ก่อนพูดเสียงดัง “พวกท่านคงเห็นกับตาของตนเองแล้วว่า ตัววายร้ายผู้มีนามว่าหลินเป่ยเฉินได้กระทำการช่วยเหลือกบฏแผ่นดินหลบหนีจากโทษประหาร นี่คือความผิดที่ให้อภัยไม่ได้ ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกท่านจะส่งมอบหลักฐานและช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ไล่ล่าตัวผู้ร้ายกลุ่มนี้… ขอขอบคุณทุกท่านล่วงหน้าสำหรับความร่วมมือ”
เกิดเสียงฮือฮาดังตอบกลับมา
“นับว่าใต้เท้าหลงทำงานหนักเหลือเกิน”
“หลินเป่ยเฉินกล้าบุกเข้ามาช่วยเหลือนักโทษประหารเช่นนี้ ถือว่าเขาทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย นับเป็นความผิดที่ให้อภัยไม่ได้”
“พวกเราต้องช่วยเหลือทางการจับตัวพวกมันให้ได้”
กลุ่มชาวบ้านตะโกนตอบกลับมาด้วยความมุ่งมั่น
หลงเสี่ยวเถียนกล่าวออกมาอีกครั้ง “ทุกท่านเป็นประชาชนที่จักรวรรดิเป่ยไห่ภาคภูมิใจ ขอขอบคุณทุกท่านมาก หลินเป่ยเฉินผู้นี้เป็นผู้อพยพจากค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งในพื้นที่เขตสอง พวกท่านได้โปรดอย่าไปข้องเกี่ยวกับผู้อพยพเหล่านี้เด็ดขาด มิฉะนั้น พวกท่านอาจจะต้องเดือดร้อนก็เป็นได้”
“ว่าไงนะ? ที่แท้ก็เป็นผู้อพยพอย่างนั้นหรือ?”
“ช่างไม่รู้บุญคุณเลยจริงๆ”
“พวกเราไปช่วยกันเผาค่ายที่พักของพวกชาวเมืองหยุนเมิ่งกันดีกว่า”
“ข้าก็บอกมาตลอดว่าผู้อพยพเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นพวกโจรชิงทรัพย์เดรัจฉานป่าเถื่อนไว้ใจไม่ได้ เราไม่ควรรับตัวพวกมันมาตั้งแต่แรก”
“อย่างนี้เราต้องขับไล่ผู้อพยพออกไปให้หมด”
“อย่าให้พวกมันมาอาศัยอยู่ในนครเจาฮุยได้อีก”
เริ่มมีเสียงตะโกนด้วยความไม่พอใจออกมาจากกลุ่มชาวเมืองดังสนั่นหวั่นไหวราวกับเสียงคลื่นสึนามิ
หลงเสี่ยวเถียนแอบยิ้มด้วยความพอใจ
…
ในพื้นที่เขตสาม
กลุ่มเจ้าหน้าที่มือปราบส่งสัญญาณบอกต่อกัน
ประตูเมืองจึงกำลังจะปิดลงอย่างช้าๆ
นายทหารผู้เฝ้าอยู่ที่ประตูเมืองหยิบจับอาวุธเตรียมพร้อมต่อสู้
“พวกเรารีบปิดประตูเร็วเข้า”
ใครบางคนตะโกนเร่งเร้า
ประตูเมืองหมายเลขหกประจำทิศตะวันตกจึงเคลื่อนปิดด้วยความเร็วที่มากขึ้น
แต่ทันใดนั้น กลับมีพายุหมุนกวาดผ่านพื้นดิน
“อย่าเพิ่งปิด อย่าเพิ่งปิดประตู กรุณารอสักครู่…”
เด็กหนุ่มร่างอ้วนผู้หนึ่งหนีบชายหนุ่มท่าทางหมดแรงอยู่ในอ้อมแขน เขาวิ่งตรงมาที่ประตูเมืองพร้อมกับร้องตะโกนโวยวายเสียงดังสนั่น
หัวหน้านายทหารที่เฝ้าประตูเมืองเห็นดังนั้น ก็ยิ่งระเบิดเสียงคำรามว่า “พวกเรารีบปิดประ…”
พูดยังไม่ทันจบประโยค
เพี๊ยะ!
หัวหน้านายทหารก็ถูกสายแส้ฟาดเข้าใส่
ตัวคนหมุนวนล้มกลิ้งลงไป
ปรากฏหนูยักษ์ตัวหนึ่งกำลังขี่อยู่บนหลังเสือบินได้ในอากาศ
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
สายแส้ยาวสะบัดต่อเนื่อง
บรรดานายทหารผู้รับหน้าที่คุ้มกันประตูเมือง พยายามก่อตั้งค่ายกลตั้งรับ แต่พวกเขาก็ถูกสายแส้ฟาดเข้าใส่จนสลบลงไปไม่รู้ตัว
“จี๊ด!” อากวงส่งเสียงคำรามในลำคอ
“เข้าใจแล้วน่า”
เซียวปิงรีบวิ่งผ่านประตูเมืองที่ปิดได้ครึ่งทางพุ่งออกไปด้วยความเร็วไวไม่เหลียวหน้ามองกลับมาอีก
อากวงยังคงขี่อยู่บนหลังเสือมีปีกซึ่งเป็นลูกเลี้ยงของมันและรอคอยด้วยความสบายใจ
หลังจากนั้นไม่นาน
หลินเป่ยเฉินมือหนึ่งประคองร่างเฉียนเหมย อีกมือหนึ่งโอบอุ้มหลิวเฉิงเหนียนสับเท้าวิ่งมาด้วยความเร็วสุดชีวิตจนฝุ่นด้านหลังฟุ้งตลบเป็นทางยาว
“จี๊ดจี๊ดจี๊ด”
อากวงส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นเจ้านายของตัวเอง
แต่เจ้าเสือมีปีกเมื่อเห็นหน้าหลินเป่ยเฉินกลับส่งเสียงคำรามในลำคอแผ่วเบา แสดงออกถึงความโกรธแค้นและหวาดกลัวเล็กน้อย
“จี๊ด…จี๊ด!!”
อากวงโบกไม้โบกมือให้หลินเป่ยเฉิน
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า? คราวหน้าเขียนใส่กระดานสิฟะ”
หลินเป่ยเฉินนำตัวเด็กสาวทั้งสองคนผ่านประตูเมืองออกไปรวดเร็ว ก่อนจะทิ้งคำพูดเอาไว้ประโยคหนึ่งว่า “ข้างหลังยังมีคนติดตามมาอีกจำนวนหนึ่ง ปล่อยให้พวกเขาผ่านออกมาเช่นกัน”
อากวงเบิกตาโตด้วยความไม่เข้าใจ
แต่หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ
มันก็ได้เห็นหลิวเฟยซู และกลุ่มชายฉกรรจ์หน้ากากดำคนอื่นๆ ที่ใบหน้าปกคลุมไปด้วยเศษดินเศษฝุ่น พร้อมกับเด็กชายฝาแฝด และหญิงสาวอีกคนหนึ่ง วิ่งหน้าตั้งผ่านประตูเมืองออกไปด้วยความรวดเร็ว
อากวงรอคอยอยู่อีกพักใหญ่ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครมาอีกแล้ว มันจึงขี่ลูกเลี้ยงของตัวเองลงไปบนพื้นดิน และเขียนข้อความลงไปบนประตูเมืองว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่ได้หมดสติ เลิกแกล้งตายกันได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะปิดประตูให้ก็แล้วกัน ไม่ต้องขอบคุณก็ได้…”
เขียนจบ เจ้าหนูยักษ์ก็หัวเราะในลำคอ ก่อนจะเดินออกไปเลื่อนประตูเมืองปิดอย่างแช่มช้า
หัวหน้ากลุ่มนายทหารที่เฝ้าประตูเมืองซึ่งเมื่อสักครู่นี้แกล้งตาย พอพบเห็นการกระทำของเจ้าหนูต่อหน้าต่อตา มือเท้าของเขาก็กระตุกระริก สีหน้าแสดงออกถึงความประหลาดใจสุดขีด หัวหน้ากลุ่มรีบลุกขึ้นลบถ้อยคำบนประตูเมืองทิ้งไปรวดเร็วด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะรีบเดินไปเรียกให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเองเลิกแกล้งตาย และมายืนเรียงแถวรักษาความปลอดภัยดังเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากนั้น หัวหน้ากลุ่มนายทหารก็ได้แต่คิดและสงสัยอย่างหวาดกลัวว่า
บุคคลเหล่านี้เป็นใคร?
เหตุไฉนทำไมเด็กหนุ่มร่างอ้วนถึงได้เข้าใจภาษาหนู?
คนตาบอดทำไมถึงได้ลักพาตัวเด็กสาวไปถึงสองคน?
แล้วหนูยักษ์ที่ขี่เสือมีปีกนั้นอีกเล่า?
มีแต่สิ่งแปลกประหลาดพิสดารทั้งนั้น
มิหนำซ้ำ พวกเขายังไม่ใช่ผู้คนอำมหิต
อย่างน้อย เวรยามที่เฝ้าประตูก็ไม่มีใครถูกฆ่าตาย
ไม่นานต่อมา
ขบวนนายทหารผู้ไล่ตามนักโทษประหารก็มาถึง
…
ในเวลาเดียวกันนี้
พื้นที่เมืองชั้นในสุด
ร่างของคนสองคนยืนอยู่บนยอดอาคารที่สูงที่สุดในตัวเมือง และมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ
“หลินเป่ยเฉินคนนี้นับว่าประสบเคราะห์กรรมไม่จบสิ้นสักที” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมสีขาว
เขามีรูปร่างสันทัด ไม่สูงไม่เตี้ย มีใบหน้าธรรมดา เป็นบุคคลประเภทที่ว่าหากพบเห็นอยู่ในกลุ่มคนจำนวนมาก ก็จะไม่มีใครจดจำเขาได้เด็ดขาด
แต่น้ำเสียงที่พูดออกมานั้น บอกชัดว่าชายหนุ่มมีตำแหน่งสูงส่งไม่ใช่น้อย
ชายวัยกลางคนอีกผู้หนึ่งสวมใส่ชุดบัณฑิตพยักหน้าเห็นด้วยขณะกล่าวว่า “นับเป็นคนหนุ่มที่มีศักยภาพน่าสนใจ แต่สิ่งที่ข้าอยากจะย้ำเตือนท่านก็คือ กระบี่ที่แหลมคมหากใช้ให้ดีก็สามารถเอาชนะศัตรูได้ แต่หากใช้ไม่ดี ก็อาจจะทำร้ายตัวเองได้เช่นกัน”
ชายวัยกลางคนในชุดขาวกล่าวว่า “บัดนี้ผู้คนจากเมืองเฉียนเกากําเริบเสิบสานมากเกินไป ให้หลินเป่ยเฉินใช้กระบี่ของเขาจัดการพวกมันสักเล็กน้อย คงไม่มีสิ่งใดเสียหายต่อพวกเรากระมัง”
ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตตอบว่า “แต่หลงเสี่ยวเถียนคงใช้โอกาสนี้กดดันกองทัพเป็นแน่แท้ ไม่ทราบว่าเมื่อถึงตอนนั้น ท่านจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร?”
ชายวัยกลางคนชุดขาวนิ่งเงียบอย่างใช้ความคิด “เรื่องนี้ปล่อยให้แม่ทัพโค้วจงจัดการไปก็แล้วกัน”
เมื่อชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตได้ยินเช่นนั้น เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่าผู้เป็นนายเหนือหัวของตนเองนั้นยังไม่อยากลงมือแทรกแซง
ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
เพราะจากมุมมองของเขา นายท่านไม่สมควรยื่นมือเข้าไปแทรกแซงในตอนนี้ เพราะนั่นอาจทำให้สถานการณ์ของหลินเป่ยเฉินย่ำแย่มากกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว
“ว่าแต่ว่า คัมภีร์จากบุตรเขยของท่าน…”
ชายวัยกลางคนในชุดเสื้อคลุมสีขาวดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน จึงถามว่า “จะทำให้พวกเราสามารถสร้างแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือขึ้นมาได้จริงๆ หรือ?”
นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้วนับตั้งแต่ที่เขาได้เห็นคัมภีร์การสร้างแขนกลเล่มนั้น แต่ด้วยทักษะของช่างตีเหล็กในกองทัพขณะนี้ จึงยังไม่มีผู้ใดสามารถสร้างแขนกลวิเศษขึ้นมาได้สำเร็จเลยสักคน และนั่นก็เป็นสิ่งที่ชายวัยกลางคนในชุดขาววิตกกังวลมากที่สุด
เขาชี้มือไปยังฝั่งหนึ่งของกำแพงเมือง และพูดว่า “วันพรุ่งนี้ ให้บุตรเขยของท่านไปรายงานตัวกับหน่วยหลอมอาวุธประจำกองทัพ เขาจะได้กินตำแหน่งหัวหน้าหน่วยจัดหาศาสตราวุธ และหากบุตรเขยของท่านสามารถสร้างแขนกลเทพเจ้าขึ้นมาได้จริง ข้ารับปากเลยว่าตำแหน่งที่สูงกว่านี้กำลังรอเขาอยู่”
ชายวัยกลางคนในชุดบัณฑิตผงกศีรษะ “หยางเฉินโจวนับเป็นยอดอัจฉริยะในการเล่นแร่แปรธาตุและหลอมศาสตราวุธ แต่น่าเสียดายที่… เอาเถิด วันพรุ่งนี้ข้าจะให้เขาไปที่หน่วยหลอมอาวุธ และเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าหน่วยเองขอรับ”
…
ณ ค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง
“ท่านพ่อ เป็นท่านจริงๆ หรือ?” ฉุยหมิงโหลวเมื่อได้กลับมาพบเจอฉุยเฮาเฟิงผู้เป็นบิดาอีกครั้ง เขาก็ต้องรีบวิ่งเข้ามากอดขาผู้ให้กำเนิด น้ำตาไหลออกมาอย่างมีความสุข
นี่คือช่วงเวลาที่พ่อลูกได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง
แต่ฉุยเฮาเฟิงกลับไม่ได้สนใจบุตรชายของตัวเองเลยแม้แต่น้อย หน้าอกของเขายุบเข้ายุบออก เพราะกำลังหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะกลับมาหายใจเป็นปกติอีกครั้ง
หากเขาไม่รู้จักเซียวปิงมาก่อน และรู้ว่าเด็กหนุ่มร่างอ้วนคนนี้คือคนที่หลินเป่ยเฉินส่งมาเพื่อช่วยเหลือตนเองหลบหนี ฉุยเฮาเฟิงก็คงสงสัยว่าเซียวปิงมีความพยายามที่จะฆ่าเขาเป็นแน่แท้
ฉุยเฮาเฟิงยกมือลูบคลำชายโครง
รู้สึกเหมือนมีกระดูกบางส่วนแตกหัก
เด็กหนุ่มร่างอ้วนรู้ตัวหรือไม่ว่าทำอะไรลงไป?
หากจะหนีบใครสักคนเอาไว้ใต้วงแขน จำเป็นที่จะต้องใช้แรงมหาศาลถึงเพียงนี้เชียวหรือ?