เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 690 หลานชายได้โปรดรอสักครู่
ตอนที่ 690 หลานชายได้โปรดรอสักครู่
“เจ้า…”
โค้วจงรีบพูดละล่ำละลัก “มันมากเกินไป ข้าจ่ายไม่ไหว…”
“งั้นเปลี่ยนเป็นสี่ล้านหกแสนเหรียญทองคำ” หลินเป่ยเฉินพูดเน้นย้ำทีละคำ “ท่านจะได้รู้ว่าไม่ควรมาต่อรองกับข้า”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะจ่ายที่ราคาเดิมคือสี่ล้านสี่แสนเหรียญทองคำ เป็นอันตกลงหรือไม่?”
โค้วจงตัดสินใจยอมจ่ายค่าไถ่ที่ราคาเดิม ในขณะที่รู้สึกเหมือนกำลังจะกระอักเลือดออกมาจากปาก
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอด ใบหน้ากระตุกด้วยความโกรธแค้น “ห้าล้าน”
โค้วจงเบิกตาโตด้วยความไม่เข้าใจ
ก็เขาบอกว่าจะจ่ายค่าไถ่แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมหลินเป่ยเฉินถึงขึ้นราคาอีกเล่า?
แต่โค้วจงก็ยังคงหวาดกลัวใบหน้าที่แดงก่ำและแสดงออกถึงความหงุดหงิดใจของหลินเป่ยเฉินอยู่ดี
เด็กหนุ่มคนนี้เป็นบุคคลสมองเสื่อมอย่างแท้จริง
โค้วจงเคยได้ยินมาว่าคนเสียสติเช่นนี้ สามารถทำได้ทุกอย่าง
หากหลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลธรรมดา โค้วจงจะไม่หนักใจในการรับมือเลย
แต่นี่หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลวิกลจริต โค้วจงไม่กล้าเจรจาต่อรองด้วยอีกแล้ว
เคยมีคำโบราณกล่าวไว้ว่าความโอหังอวดดีจะนำมาสู่ความเสียสติ ความเสียสติจะนำมาซึ่งความหวาดกลัว ความหวาดกลัวจะนำมาซึ่งความโง่เขลา และความโง่เขลาจะนำพามาซึ่งความตาย
ในสายตาของโค้วจง หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลที่ทั้งเสียสติและโง่เขลา
เพราะฉะนั้น อย่าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเลยจะดีกว่า
“ย่อมได้ ห้าล้านก็ห้าล้าน”
โค้วจงพูดออกมาอย่างยากลำบากเต็มทน “นี่เพราะข้าเคยเป็นสหายเก่ากับบิดาเจ้าหรอกนะ หลานชาย เจ้ากับข้าก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน เงินของข้าก็คือเงินของเจ้า เพียงห้าล้านจะเป็นไรไป ต่อให้เป็นสิบล้านพันล้าน ข้าก็สามารถหาให้เจ้าได้ หลานชาย เจ้าได้โปรดอย่าเป็นกังวลอีกเลย”
“โฮะโฮะโฮะ”
หลินเป่ยเฉินแกล้งทำเป็นลดปืนบาซูก้าลงจากหัวไหล่ และฉีกยิ้มกว้าง “ท่านลุงโค้วใจดีอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย หุหุหุหุ หลานชายรู้สึกขอบคุณท่านลุงเป็นอย่างยิ่ง”
โค้วจงใบหน้ากระตุกมากกว่าเดิม
เมื่อสักครู่ หลินเป่ยเฉินยังส่งเสียงคำรามใส่เขาราวกับเป็นสุนัขสุกรข้างถนน แต่บัดนี้เมื่อยอมจ่ายเงินค่าไถ่ แม่ทัพใหญ่โค้วจงจึงกลายเป็นท่านลุงโค้วของหลินเป่ยเฉินหน้าตาเฉย
“ประเสริฐ หลานชายได้โปรดรอสักครู่ ข้าจะสั่งให้คนไปนำเงินค่าไถ่มาให้เจ้า” ท่านแม่ทัพใหญ่หันกลับไปโบกมือเรียกคนติดตามประจำตัว ก่อนจะก้มศีรษะลงกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของคนรับใช้ผู้นั้น
แล้วคนรับใช้ก็หมุนตัววิ่งจากไปทันที
…
“เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?”
ชายในชุดขาวยืนอยู่บนยอดอาคารสูง
จากที่นี่ พวกเขาสามารถเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนอกกำแพงเมืองเขตตะวันตกได้อย่างชัดเจน
ดวงตาที่เป็นประกายแวววาวของเขา ไม่สามารถปิดบังความตกตะลึงได้อีกต่อไป
และหลู่เหวินหยวนที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ตกอยู่ในอาการตะลึงงันไม่แพ้กัน
สีหน้าของพวกเขาบอกชัดถึงความไม่อยากเชื่อ
“นายท่าน…”
หลู่เหวินหยวนเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้ง “พลังทำลายล้างเช่นนี้ หรือว่าจะเป็นผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นเซียน?”
เกาเฉิงฮั่นนิ่งเงียบไปอึดใจใหญ่ ก่อนพยักหน้า ตอบว่า “ต้องเป็นผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นเซียนระดับหนึ่งแน่นอน”
ถึงหลู่เหวินหยวนจะเตรียมใจรอรับคำตอบนี้อยู่ก่อนแล้ว แต่หัวใจของเขาก็ยังรู้สึกหนักอึ้งเหมือนมีค้อนเหล็กทุบลงไปอยู่ดี
“มวลพลังนั้นออกมาจากค่ายผู้อพยพของชาวเมืองหยุนเมิ่งใช่หรือไม่?”
เกาเฉิงฮั่นถาม
หลู่เหวินหยวนก้มหน้าลงและผงกศีรษะอย่างช้าๆ
พวกเขาหันมองหน้ากัน
ต่างก็พบว่าแววตาของกันและกันมีความรู้สึกเดียวปรากฏ
เงาสะท้อนในดวงตาของพวกเขาแทบจะเป็นร่างของเด็กหนุ่มผู้สง่างามคนหนึ่ง
อายุเพียงเท่านี้มีพลังอยู่ในขั้นเซียนแล้วหรือ?
น่ากลัวยิ่งนัก
ผู้ที่สามารถบรรลุพลังขั้นเซียนได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี ไม่ว่าจะแก่เฒ่าหรือเยาว์วัย แต่ก็นับเป็นปัจจัยใหญ่หลวงที่สามารถพลิกโฉมหน้าสงคราม และสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของทั้งจักรวรรดิได้เลยทีเดียว
สำหรับบุคคลเช่นนี้ พวกเขาต้องเอามาเป็นพวกเดียวกันให้ได้ จะตั้งตัวเป็นศัตรูไม่ได้เด็ดขาด
มีแต่ต้องรีบผูกมิตรเอาไว้เท่านั้น
“รีบส่งคนเข้าไปสืบข้อมูลในพื้นที่เขตสองออกมาให้ได้มากที่สุด ข้าอยากรู้ทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นที่นั่น”
เกาเฉิงฮั่นออกคำสั่งเสียงดัง
องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านข้างรีบรับคำสั่งโดยทันที
…
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เสียงหัวเราะที่แปลกประหลาดกำลังก้องกังวานเหนือปราสาทหลังหนึ่ง
ชายฉกรรจ์ร่างอ้วนสวมใส่ชุดนอนผู้หนึ่งยืนอยู่บนยอดหอคอยที่สูงที่สุดในตัวเมือง แขนของเขากางออกกว้าง เงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้า และด้วยความที่หัวเราะมากเกินไป น้ำตาจึงไหลลงมา ชั้นไขมันทั่วร่างกายของเขากระเพื่อมเป็นคลื่นขึ้นขึ้นลงลง
“น่าสนใจดีนี่ นับเป็นดอกไม้ไฟที่สวยงามเหลือเกิน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่เคยเจออะไรน่าสนใจขนาดนี้มานานแล้ว”
ชายฉกรรจ์ร่างอ้วนมีผมบนศีรษะเบาบาง มองดูแล้วเขาจึงเหมือนหมูตอนผิวขาวเผือกที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ในมือข้างหนึ่งของเขากำลังถือขวดแก้วบรรจุเครื่องดื่มซึ่งผ่านการเล่นแร่แปรธาตุมาแล้ว ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็กำลังถือกล้องยาสูบ ดวงตาของเขากำลังจ้องมองที่การระเบิดพลังบนท้องฟ้า เส้นเลือดในดวงตาแดงก่ำ เปิดเผยให้เห็นถึงความผิดปกติจากผู้คนธรรมดา
สายลมหนาวพัดพามาต้องผิวกาย
ชายร่างอ้วนสวมใส่เพียงชุดนอนเบาบาง แต่กลับไม่กลัวลมหนาวแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นไม่นาน
“มาหาข้าสิ แม่สาวน้อย เจ้าอยู่ที่ไหน ได้โปรดกลับมาหาข้าด้วยเถิด…”
เขายกขวดแก้วในมือขึ้นกระดกดื่มของเหลวภายในนั้นรวดเดียวหมด เมื่อน้ำเย็นเยียบไหลผ่านลำคอลงไป ชายร่างอ้วนก็ส่งเสียงร่ำร้องออกมา
ด้านหลังชายร่างอ้วนผู้นี้ ขันทีผู้หนึ่งกำลังยืนก้มหน้าพลางกระซิบออกมาด้วยน้ำเสียงประจบเอาใจ “นายท่าน แม่สาวน้อยของท่านขณะนี้ได้ลงไปอยู่ในหม้อต้มน้ำซุปแล้ว ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าผิวพรรณของนางเต่งตึงถึงขนาดนั้น เมื่อนำมาตุ๋นน่าจะอร่อยไม่ใช่น้อย ข้าน้อยจึงสั่งให้ผู้คนนำตัวนางไปปรุงอาหารเมื่อหลายชั่วยามก่อนตามความประสงค์ของนายท่าน…”
“หา”
ชายร่างอ้วนใบหน้าบูดบึ้งด้วยความตกตะลึง
จากนั้นเขาจึงระเบิดโทสะออกมา
เขาหันหน้ากลับมาแผดเสียงคำรามใส่ขันทีผู้นั้น “ข้าจะไปพูดเช่นนั้นได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ ข้ารักนางจะตาย นางคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของข้า นางเป็นทุกอย่างของข้าแล้ว โฮ่ ใครกันนะ ใครทำให้นางต้องตาย… ฮื่อออ เจ้ารีบไปตรวจสอบดู นางเสียชีวิตแล้วหรือไม่? ข้าไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ถ้าไม่มีนาง แต่ถ้านางถูกนำไปทำเป็นอาหารเสร็จแล้ว ข้าก็จะรับประทานเอง พวกเราจะได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดไป… เจ้ารีบไปดูเดี๋ยวนี้”
ขันทีเฒ่าเมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบหมุนตัววิ่งจากไปด้วยความโล่งใจ
ชายร่างอ้วนวิปลาสหันหน้ากลับมาจ้องมองการระเบิดตัวของมวลพลังบนท้องฟ้านอกเขตกำแพงเมืองฝั่งตะวันตกของพื้นที่เขตหนึ่ง แล้วชั้นไขมันบนใบหน้าของเขาก็สั่นกระเพื่อมเป็นลูกคลื่น