เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 715 คนที่สมควรตาย
ตอนที่ 715 คนที่สมควรตาย
เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ใช่ว่ากลับไปแล้วหรือ?
ทำไมถึงยังอยู่ที่นี่อีก?
ผู้คนเมื่อมีโอกาสได้ออกไปจากตำหนักต้าหลงแล้ว ยังมีใครปรารถนาที่จะกลับมาด้วยหรือ?
นี่คือเรื่องที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
สีหน้าของขันทีเฒ่าบอกชัดถึงความตกตะลึง
“ฮ่าฮ่า มีอะไรก็พูดออกมาเถอะ ไม่ต้องสนใจข้าหรอก ถือว่าข้าไม่มีตัวตนก็ได้” หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ในเงามืดของห้อง พูดด้วยน้ำเสียงไม่รู้ร้อนรู้หนาว
แต่แทนที่จะเดินออกไป เด็กหนุ่มกลับยืนกอดอก ตั้งใจรับฟังสิ่งที่ขันทีเฒ่ากำลังจะกล่าวต่อ
ขันทีเฒ่าพูดอะไรไม่ออก
เขาไม่ใช่คนโง่
มิฉะนั้น ตัวเขาคงถูกฆ่าตายไปนานแล้ว เพราะรู้ความลับของท่านเจ้าเมืองมากเกินไป
เหลียงหยวนเตายกมือนวดขมับ
เขาเคยอ่านรายงานถึงความร้ายกาจของหลินเป่ยเฉินมาแล้วมากมาย แต่เมื่อได้มาเผชิญหน้าเด็กหนุ่มคนนี้จริงๆ ชายอ้วนถึงได้รู้ว่าหลินเป่ยเฉินมีความร้ายกาจมากกว่าที่คิด
ปรากฏว่าหลินเป่ยเฉินไม่ได้แกล้งเสียสติหรือแกล้งโง่ แต่สมองของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ปกติจริงๆ
“เจ้ารีบไสหัวไปได้แล้ว”
เหลียงหยวนเตาหันกลับมามองหลินเป่ยเฉินตาขวาง “มิฉะนั้น ข้าอาจเปลี่ยนใจก็เป็นได้”
“เปลี่ยนใจก็ดีสิ”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความดีใจ “สรุปว่าท่านจะเปลี่ยนใจหันมาจ้างวานข้าแล้วใช่ไหม? ต้องแบบนี้สิ ใช้เงินแก้ปัญหาดีกว่าจับผู้คนไปเป็นตัวประกันเป็นไหนๆ”
ขันทีเฒ่าได้ยินดังนั้นก็ชะงักกึก ต้องเบิกตาโตจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเหลือเชื่อ
เด็กหนุ่มผู้นี้ปรารถนาความตายมากนักหรืออย่างไร?
ยามอยู่ต่อหน้าท่านเจ้าเมือง หลินเป่ยเฉินกล้าพูดจาสามหาวเช่นนี้ได้อย่างไร?
นี่ไม่ใช่ตัวโง่เง่าธรรมดาแล้ว แต่เป็นตัวโง่เง่าที่นิยมหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวอีกด้วย
เหลียงหยวนเตามองหน้าหลินเป่ยเฉินอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะ พูดว่า “บอกตามตรงเลยนะ ข้าชื่นชอบเจ้าจริงๆ”
หลินเป่ยเฉินรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธ “อย่าดีกว่ากระมัง ถึงแม้จะตัดเรื่องที่เราเป็นเพศเดียวกันออกไป แต่รูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์อย่างท่าน ต่อให้ตายข้าก็ไม่มีวันเหลือบมองเป็นครั้งที่สอง ท่านไม่คู่ควรกับข้าแม้แต่น้อย”
เด็กหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อขันทีเฒ่าได้ยินประโยคนั้น เขาก็แทบจะเป็นลมแล้ว
ตายแน่ ตายแน่ๆ
หลินเป่ยเฉินตายแน่
ไม่เคยมีใครกล้าพูดถ้อยคำเหล่านี้ต่อหน้าท่านเจ้าเมืองมาก่อน
ดูเหมือนหลังจากนี้ บรรดาญาติสนิทมิตรสหายและเพื่อนพ้องของหลินเป่ยเฉินก็คงจะต้องถึงคราวตายไปตามๆ กัน
แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ขันทีเฒ่าคิดกลับไม่เกิดขึ้น เหลียงหยวนเตาเพียงยกมือโบกสะบัดเล็กน้อย กล่าวว่า “ข้าเพียงคิดว่าเนื้อของเจ้าน่าจะอร่อยกว่าคนทั่วไปเท่านั้น… แต่เจ้าไปเถอะ ข้ายังไม่ได้รู้สึกอยากกินเจ้าตอนนี้”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจ ก่อนหมุนตัวเดินตรงไปที่ประตูห้อง
แต่เดินได้เพียงไม่กี่ก้าว เด็กหนุ่มก็หยุดชะงักและหันหน้ากลับมาพูดว่า “สรุปเราจะไม่พูดคุยเรื่องเงินกันจริงๆ หรือ?”
เหลียงหยวนเตาโบกมือไล่และพูดว่า ‘ไสหัวไปซะ’ เป็นครั้งที่สอง
นั่นเองหลินเป่ยเฉินถึงได้เดินคอตกออกไปด้วยความเศร้า
สำหรับกับขันทีเฒ่า บรรยากาศภายในห้องขณะนี้กลับดูเย็นเฉียบมากกว่าตอนที่มีหลินเป่ยเฉินอยู่เสียอีก
เขาเคยเห็นท่านเจ้าเมืองทรมานและสังหารผู้คนเพื่อระบายอารมณ์ของตนเองมานับไม่ถ้วน ถึงขันทีเฒ่าจะรับใช้ท่านเจ้าเมืองมาไม่ต่ำกว่าสิบปี แต่เขาก็ยังไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่า หากวันใดท่านเจ้าเมืองเกิดไม่สบอารมณ์ขึ้นมา ตนเองก็จะไม่ถูกจับโยนลงไปในหม้อต้มน้ำซุปขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับบรรดาเหยื่อรายก่อนหน้านี้ของท่านเจ้าเมืองเหล่านั้น
“เจ้าหมายความว่าเหลียงซือมู่สังหารมือปราบของข้า เพื่อช่วยเหลือเด็กสาวผู้นั้น?”
เหลียงหยวนเตาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
ขันทีเฒ่าคุกเข่าลง รับคำว่า “ใช่แล้วขอรับ นายท่าน”
“น่าสนใจดีนี่”
เหลียงหยวนเตาหัวเราะฮ่าฮ่า “ไม่ว่าเรื่องราวใดที่เกี่ยวข้องกับหลินเป่ยเฉิน ต่างก็อยู่นอกเหนือการคาดเดาทั้งสิ้น บุตรชายของข้าที่ไม่เคยประพฤติตัวออกนอกลู่นอกทางมาก่อน กลับลงมือกระทำความผิดเพื่อช่วยเหลือเด็กสาวผู้เป็นคนสำคัญของหลินเป่ยเฉิน ฮ่าฮ่าฮ่า เซียวเซียว เจ้าว่าข้าควรทำอย่างไรดี?”
ขันทีผู้นี้มีนามว่าเซียวเซียว ถึงแม้ในหัวใจจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่บนใบหน้าก็ยังมีพื้นที่สำหรับรอยยิ้มประจบประแจงเสมอ
การฉีกยิ้มกลายเป็นสัญชาตญาณของเขาไปแล้ว
“หากว่ากันตามกฎ ความผิดของเหลียงซือมู่ไม่สามารถให้อภัยได้เด็ดขาด”
เขาพูดออกมารัวเร็ว
ในใจอดรู้สึกสงสารคุณชายซือมู่ไม่ได้
ทำไมบุคคลที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำจึงต้องมาพบเจอความผิดกับเรื่องราวเช่นนี้ด้วยหนอ?
“ตอนนี้คอยจับตาดูเขาไว้ให้ดีก่อน”
เหลียงหยวนเตาออกคำสั่งเสียงแผ่วเบา
รอยยิ้มสดใสปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของขันทีเฒ่า
แต่ด้วยความที่รับใช้ท่านเจ้าเมืองมายาวนาน ถึงอยู่ภายใต้ความตกตะลึงสักแค่ไหน เขาก็สามารถรับคำออกไปได้ตามสัญชาตญาณโดยทันทีว่า “ข้าน้อยรับคำบัญชา นายท่าน”
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ นี่คงถึงเวลาที่เขาจะลุกขึ้นมาต่อต้านข้าแล้วกระมัง ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว ในบรรดาลูกชายของข้า สุดท้ายก็มีผู้ที่มีจิตใจกล้าหาญเสียที จับตาดูความเคลื่อนไหวของซือมู่อย่าให้คลาดสายตาเด็ดขาด ข้าอยากรู้นักว่าเขาจะทำอะไรต่อไปในอนาคต”
น้ำเสียงของเหลียงหยวนเตาบอกชัดถึงความสุข สนุกสนาน
ขันทีเฒ่ายิ้มกว้างด้วยความประหลาดใจ
มีเท่านี้เองหรือ?
หรือว่าครั้งนี้คุณชายซือมู่จะสามารถรอดพ้นเภทภัยไปได้จริงๆ?
นับว่าจิตใจของท่านเจ้าเมืองไม่มีผู้ใดสามารถคาดเดาได้โดยแท้
เซียวเซียวก้มหัวรับคำสั่ง ก่อนจะรีบหมุนตัวเดินออกมา
…
หลินเป่ยเฉินเดินผ่านเส้นทางที่วกวนคดเคี้ยวเหมือนเขาวงกตออกมาอย่างแช่มช้า
สีหน้าของเขาไม่สุข ไม่เศร้า
แต่ในหัวใจกำลังร้อนผ่าวด้วยไฟแห่งความแค้น
เขาไม่เคยรู้สึกเกลียดชังใครมากขนาดนี้มาก่อน คำพูดและการกระทำของเหลียงหยวนเตาไม่สมควรถูกเรียกว่าเป็นมนุษย์อีกแล้ว
แต่เป็นสัตว์ร้ายกระหายเลือดชัดๆ
แล้วบุคคลเช่นนี้สามารถขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการมณฑลได้อย่างไร
ความยุติธรรมในการแต่งตั้งขุนนางผู้เข้ารับตำแหน่งของจักรวรรดิเป่ยไห่อยู่ที่ไหน?
ไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปแล้วว่าเพราะเหตุใดพวกชาวทะเลถึงสามารถยึดครองพื้นที่ในมณฑลเฟิงอวี่ได้แล้วถึงสองในสามส่วน โดยใช้ระยะเวลาเพียงไม่นานเท่านั้น
นี่ยังต้องไม่นับความจริงที่ว่านักรบชาวทะเลมีสภาพร่างกายไม่เหมาะสมสำหรับการทำสงครามบนบก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนครเจาฮุย ซึ่งไม่มีแหล่งน้ำให้พวกมันใช้เป็นที่พักอาศัย และมีความเสี่ยงสูงที่นักรบชาวทะเลจะต้องขาดน้ำจนตาย แต่ถึงกระนั้น เกาเฉิงฮั่นก็คงยื้อเวลาต้านทัพของพวกมันได้อีกไม่นานนัก
ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินยังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งที่เงียบสงบ
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินพบว่าทุกหนทุกแห่งมีแต่ความโกลาหลวุ่นวาย และความสงบสุขภายในเมืองหยุนเมิ่งก็เป็นเพียงภาพมายาที่เขาคิดฝันไปเองเท่านั้น
ความเลวร้ายเหล่านี้ล้วนมีจุดเริ่มต้นก่อเกิดขึ้นมาจากการบริหารงานภายในทั้งสิ้น
หลินเป่ยเฉินเดินกลับออกมาจากตำหนักต้าหลง
“นายท่าน”
กงกงเดินเข้ามาประสานมือคำนับ แววตาบอกชัดถึงความกังวล
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า ยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นคาวเลือดในอากาศ “มีคนมาหาเรื่องเจ้าสินะ?”
กงกงจึงได้บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทั้งหมด
“ฆ่าตายไปก็ดีแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยความพอใจ “ถือว่าเจ้าไม่ได้ทำให้ข้าเสียหน้า”
กงกงกลับมามีสีหน้ามั่นอกมั่นใจอีกครั้ง
แล้วรถม้าก็เคลื่อนตัวออกมาจากพื้นที่เมืองเขตสี่
ในเวลาเดียวกันนี้
บนยอดไม้สูงที่ตั้งต้นห่างจากตำหนักต้าหลงไม่ไกล ร่างของ ‘เยว่เว่ยหยาง’ ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในอากาศ
เมื่อเห็นรถม้าแล่นจากไปอย่างปลอดภัย สีหน้าของเด็กสาวจึงได้ผ่อนคลายขึ้น
หากเหตุการณ์ไม่คับขันจริงๆ นางก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องราวในตำหนักต้าหลงเด็ดขาด
แต่โชคดีที่เจ้าเด็กหนุ่มนั่นสามารถกลับออกมาได้ด้วยความสามารถของตนเอง
ก่อนจากออกมา เยว่เว่ยหยางหันหน้ากลับไปชำเลืองมองตำหนักต้าหลง
ความเคียดแค้นปรากฏขึ้นในแววตาของนาง
“ดูเหมือนศรัทธาในตัวนางเทพีจอมปลอมนั่นจะล่มสลายแล้วสินะ”
เด็กสาวพึมพำกับตัวเอง “ผู้ที่อุทิศตนให้แก่ปีศาจ… ผู้ที่อุทิศตนให้แก่ความละโมบโลภมาก ล้วนแต่เป็นคนที่สมควรตายทั้งสิ้น รอให้ข้าฟื้นฟูพลังกลับขึ้นมาได้เต็มที่ก่อนเถิด ข้าจะต้องกวาดล้างโลกนี้ให้ปราศจากพวกจิตใจโสมมให้จงได้”