เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 735 ท่านอ๋องน้อยตายแล้ว
ตอนที่ 735 ท่านอ๋องน้อยตายแล้ว
ป้อมอสรพิษตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวอันกว้างใหญ่ในพื้นที่เขตสี่ ไม่ต่างไปจากตำหนักต้าหลง
ที่ตั้งของมันอยู่บนเนินเขาลูกหนึ่ง
เมื่อคำนวณด้วยสายตาแล้ว ที่นี่กลับมีอาณาเขตกว้างขวางมากกว่าตำหนักต้าหลงเสียอีก
ประเมินดูพื้นที่ไม่น่าจะต่ำกว่า 100 หมู่แน่ๆ
หมู่ตึกด้านในถูกรายล้อมด้วยกำแพงสีแดงสด มันมีความสูงใหญ่ไม่ต่างจากกำแพงเมืองขนาดย่อม และบนกำแพงก็มีบานประตูฝังอยู่หลายบานด้วยกัน
อาคารที่ตั้งอยู่หลังกำแพงเป็นหมู่ตึกก่อด้วยอิฐสีแดง บนหลังคาเต็มไปด้วยกองหิมะทับถมสีขาวโพลน และบางส่วนของหลังคาที่หิมะละลายไปแล้ว ก็เผยให้เห็นถึงคราบตะไคร่ที่เกาะตัวหนาเป็นชั้นๆ บ่งบอกได้ดีว่าหมู่ตึกเหล่านี้มีความเก่าแก่ขนาดไหน…
การมาถึงของหลินเป่ยเฉินและกองทัพของเขาสร้างความตกตะลึงให้แก่คนของป้อมอสรพิษเป็นอย่างยิ่ง
กลุ่มผู้คุ้มกันวิ่งกรูออกมา
หัวหน้ากลุ่มเป็นชายร่างผอม สวมใส่ชุดสีน้ำเงินเข้ม ใบหน้าเรียวยาว บนหน้าอกฝังไว้ด้วยหยกที่แกะสลักเป็นรูปเขี้ยวงูถึงสามชิ้น พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายไม่ต่ำต้อย ประเมินได้ว่าน่าจะมีระดับพลังไม่ต่ำกว่าขั้นยอดปรมาจารย์ตอนต้น
แน่นอนว่าผู้คุ้มกันที่แข็งแกร่งที่สุด ก็คือหัวหน้ากลุ่มผู้นี้นี่เอง
“พวกเจ้าเป็นทหารเลวมาจากหน่วยใด เหตุไฉนถึงกล้ามาส่งเสียงโวยวายอยู่ที่หน้าประตูป้อมอสรพิษแห่งนี้?”
หัวหน้ากลุ่มผู้คุ้มกันคำรามด้วยน้ำเสียงดุดัน
หลินเป่ยเฉินไม่ตอบคำใด ยกปืนอินทรีหิมะขึ้นเล็งศีรษะฝ่ายตรงข้าม แล้วเหนี่ยวไกยิง
ฟู่!
หัวหน้ากลุ่มเสื้อคลุมสีน้ำเงินศีรษะระเบิดกระจาย ตัวคนล้มลงนอนนิ่งบนพื้นดิน
“พวกเราบุก”
หลินเป่ยเฉินคำราม “ช่วยผู้คนที่อยู่ด้านในออกมาให้ได้”
“เดี๋ยวข้านำทางเข้าไปเอง”
อาการบาดเจ็บของอู๋หงดีขึ้นมากแล้ว บัดนี้นางรู้สึกคึกคักแจ่มใส พูดโดยไม่สนใจความเจ็บปวดอีกต่อไป “ข้ารู้ว่าพวกของซือเหนียงถูกจับขังอยู่ที่ใด”
“อย่างนั้นก็ประเสริฐ”
หลินเป่ยเฉินล้วงแว่นกันแดดออกมาสวมใส่
นี่คือสัญลักษณ์สำหรับการฆ่าฟันของเขา
ระหว่างเดินทางมาที่นี่ อู๋หงได้บอกข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับป้อมอสรพิษให้เขาทราบพอสมควรแล้ว
ป้อมอสรพิษเป็นสถานที่ซึ่งมีความลึกลับดำมืดต่อทุกคนที่อยู่ในนครเจาฮุย ปรากฏว่าพวกเขาได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกาจริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาใช้เงินทองซื้อตัวขุนนางใหญ่ที่ทำงานอยู่ในมณฑลเฟิงอวี่เป็นจำนวนมาก
ด้านในป้อมอสรพิษปกคลุมด้วยบรรยากาศแห่งความสยองขวัญ มีการต่อสู้เพื่อเดิมพันชีวิตแลกกับความสนุกสนานไม่ต่างจากเมืองโจรในหุบเขาชายแดนเหนือ และแน่นอนว่ามีการจับมนุษย์มาทดลองนานาชนิด และที่นี่ยังเปิดบริการหอนางโลม บ่อนพนัน สำนักแลกเปลี่ยนเงินทอง แหล่งจ้างงานมือสังหาร และเป็นสถานที่สำหรับการซื้อขายทาสรับใช้อีกด้วย…
เฟิงซือเหนียงและผู้ติดตามของนางเมื่อถูกขายให้กับป้อมอสรพิษ ด้วยความที่พวกนางมีหน้าตางดงาม จึงถูกฝึกฝนให้เป็นนางคณิกา และสำหรับผู้ที่ต่อต้านขัดขืน ก็จะต้องพบเจอกับชะตากรรมน่าอนาถ
นอกจากหญิงสาวที่โชคร้ายอย่างพวกของเฟิงซือเหนียงแล้ว ก็ยังมีเด็กสาวอีกจำนวนมากจากทั่วมณฑลเฟิงอวี่ถูกจับตัวมาเช่นกัน
จึงไม่ใช่เรื่องเกินเลยแต่อย่างใด หากจะอธิบายว่าป้อมอสรพิษคือนรกบนดินที่แท้จริง
พวกมันวางเวรยามรักษาการณ์อยู่ตามประตูทางออกอย่างรัดกุม และเวรยามเหล่านี้จะซื่อสัตย์ต่อท่านประมุขป้อมแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น แต่ละคนล้วนมีทักษะในการสังหารทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อาวุธหรือการใช้ยาพิษ หลายครั้งจึงทำหน้าที่เป็นมือสังหารคร่าชีวิตผู้คนที่ล่วงรู้ความลับของป้อมอสรพิษมากเกินไป
รวมถึงหากมีผู้คนขัดขวางการดำเนินงานใดๆ ของป้อมอสรพิษ ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม สุดท้ายผู้คนเหล่านั้นก็จะต้องพบกับชะตากรรมที่น่าเศร้า บุรุษจะถูกจับตัวไปขายเป็นทาสรับใช้ ส่วนสตรีก็ถูกนำมาเป็นนางคณิกา และบางส่วนก็ถูกนำตัวไปทดลองในการเล่นแร่แปรธาตุอันแปลกประหลาดพิสดาร…
ป้อมอสรพิษไม่มีคนดีอยู่เลยสักคนเดียว
ทุกคนล้วนแต่มือเปื้อนเลือดทั้งสิ้น
นับเป็นศูนย์รวมแห่งความชั่วร้าย
“ฆ่าเวรยามพวกนี้ให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว”
เมื่อหลินเป่ยเฉินสวมใส่แว่นกันแดดเรียบร้อย เขาก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นที่ไม่ต้องเห็นโลหิตสีแดงสดอีกต่อไป
แต่เมื่อเห็นเฉียนเหมยลงมือรุนแรงถึงระดับที่ว่าต่อยเวรยามคนหนึ่งไปกระแทกกับกำแพงจนเกิดรอยแตกร้าว เด็กหนุ่มก็ต้องรีบส่งเสียงตะโกนเพื่อเปลี่ยนแปลงคำสั่งเล็กน้อย
“เฉียนเหมย เบามือหน่อยสิ จะฆ่าคนก็ฆ่าไป แต่ห้ามทำให้สถานที่แห่งนี้เสียหายเด็ดขาด… แล้วก็ระมัดระวังอย่าให้ข้าวของเสียหายด้วย ผู้ใดที่ทำข้าวของเสียหาย ข้าจะคิดบัญชีกับพวกมันทีหลัง… ทรัพย์สินทุกอย่างที่พบเจอในป้อมอสรพิษ พวกเราจะขนย้ายกลับไปยังค่ายที่พักให้หมด!”
เสี่ยวเย่ที่ยืนอยู่ด้านข้างรู้สึกแข้งขาอ่อนระทวยขึ้นมาทันที
พวกเขายังไม่ทันบุกยึดป้อมอสรพิษสำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็ทำเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นของตนเองไปแล้วหรือ?
ทว่า นายทหารหนุ่มก็รู้ดีว่าตนเองไม่สามารถหยุดยั้งกลุ่มคนของหลินเป่ยเฉินได้อีกแล้ว
แต่ช่างมันเถอะ
เสี่ยวเย่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่น้อย
การทำลายป้อมอสรพิษถือเป็นเรื่องที่ดี
เสี่ยวเย่ทำได้เพียงเดินติดตามอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉิน
เหตุการณ์ในครั้งนี้เกินความสามารถและเกินกำลังของเสี่ยวเย่
แต่ลึกๆ ในใจแล้ว นายทหารหนุ่มก็ตั้งตารอที่จะได้เห็นการเผชิญหน้าระหว่างหลินเป่ยเฉินกับประมุขผู้ชั่วร้ายของป้อมอสรพิษแห่งนครเจาฮุย
เสียงร้องตะโกนและเสียงแห่งการฆ่าฟันดังรอบบริเวณ
เฉียนเหมยนำทัพนายทหารคนงานขุดเหมืองหลายร้อยชีวิต บุกตะลุยเข้าไปในป้อมอสรพิษอย่างบ้าคลั่ง
เวรยามของป้อมอสรพิษถูกบุกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว จึงเกิดการตกตายเป็นจำนวนมาก
และกว่าที่จะตั้งตัวได้…
ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว
เพราะกลุ่มทหารคนงานขุดเหมืองแข็งแกร่งมากเกินไป
นับตั้งแต่ที่ถูกหลินเป่ยเฉินจับตัวมาใช้งานเป็นคนงานขุดเหมืองใต้ดิน ตลอดจนถึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหน่วยรบสำคัญประจำเมือง นายทหารกลุ่มนี้ก็ผ่านการต่อสู้มาแล้วหลายครั้งหลายครา พวกเขามีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน มีทรัพยากรบำรุงการฝึกฝนเพียบพร้อม ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรวิเศษ ศิลาบูชา หรือการไล่ล่าสังหารปีศาจในเกม Lost Castle
ประสบการณ์และตัวช่วยเหล่านั้น ทำให้นายทหารส่วนใหญ่เลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนปลาย และมีจำนวนไม่น้อยที่ใกล้จะเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จแล้ว
แต่ที่สำคัญก็คือ ในหน่วยของพวกเขายังมียอดฝีมือที่แท้จริงอย่างฉิวหลิงอยู่อีกด้วย
ทว่า สิ่งใดก็ไม่น่ากลัวเท่ากับความจริงที่ว่าพวกเขามีหัวหน้าใหญ่เป็นหลินเป่ยเฉิน
คุณชายหลินสวมแว่นกันแดด มือหนึ่งถือปืนอินทรีหิมะ เมื่อพบเจอเวรยามคนไหนมีระดับพลังสูงส่งผิดปกติ เขาก็จะเหนี่ยวไกยิงโดยไม่ลังเล
ฟู่! ฟู่!
คนของป้อมอสรพิษที่มีระดับพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนปลาย ศีรษะระเบิดกระจายไปก่อนที่จะทันรู้ตัวอีกว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองกันแน่
อู๋หงเห็นดังนั้นก็ตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่นเทา
เมื่อเห็นเหล่าผู้คุ้มกันป้อมตกตายดั่งใบไม้ร่วง นางก็อดระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความสะใจไม่ได้
ในที่สุด พวกมันก็ตายเสียที
ก่อนหน้านี้ นางเคยได้ยินข่าวลือมาว่าปัจจุบันหลินเป่ยเฉินมีสถานะสูงส่งอยู่ในนครเจาฮุย และมียอดฝีมือคอยติดตามรับใช้เขาเป็นจำนวนมาก
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่อู๋หงต้องการหลบหนีออกไปขอความช่วยเหลือจากหลินเป่ยเฉิน
แต่หญิงสาวคิดไม่ถึงเลยว่าระดับพลังในปัจจุบันของหลินเป่ยเฉินจะน่ากลัวถึงเพียงนี้
โอกาสที่พวกของเฟิงซือเหนียงจะได้รับการช่วยเหลือมาถึงแล้ว
“ทางนี้…”
อู๋หงนำทางด้วยความรีบร้อน
นางได้แต่ภาวนาอยู่ในใจว่า ซือเหนียงเอ๋ยซือเหนียง ท่านต้องไม่เป็นอะไรนะ ท่านต้องอดทนเอาไว้ อีกไม่นานท่านก็จะได้กลับออกมาเห็นเดือนเห็นตะวันแล้ว
เฉียนเหมยนำกลุ่มคนอารักขาอู๋หงตะลุยเข้าไปด้านในหมู่ตึก
ได้ยินเสียงร้องโหยหวนและเสียงร้องอุทานดังตลอดทางไม่รู้จบ
ผ่านไปชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย พวกเขาก็มาถึงหน้าตึกสีเลือดหมูสูงเก้าชั้นหลังหนึ่ง
“พวกนางอยู่ด้านใน…”
อู๋หงวิ่งไปข้างหน้าด้วยความร้อนรน
“ช่างบังอาจนัก!”
พลัน บังเกิดเสียงคำรามดังกังวานออกมาจากตึกสีเลือดหมูสูงเก้าชั้น
คลื่นเสียงแผ่กระจายไปรอบบริเวณราวกับเป็นระลอกคลื่นในมหาสมุทร
กลุ่มนายทหารที่วิ่งเข้าไปถูกคลื่นเสียงกระแทกลอยกระเด็นกลับออกมา
นั่นหมายความว่าภายในตึกหลังนี้มียอดฝีมือซ่อนตัวอยู่
หัวใจของทุกคนกระตุกวูบ
“เป็นเจ้ารนหาที่ตายเองต่างหาก”
เฉียนเหมยกัดฟันกรอด ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าไปในตัวตึกเก้าชั้น
ลมหายใจต่อมา
“กรี๊ด…”
เสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกของเฉียนเหมยดังสนั่น
ก่อนที่ร่างของนางจะถอยกลับออกมาอย่างรวดเร็วมากพอๆ กับตอนที่พุ่งเข้าไป
เสียงหัวเราะดังออกมาจากด้านในตึก
แล้วกลุ่มชายหนุ่มที่สวมใส่เสื้อผ้าหรูหราก็ก้าวเดินออกมาพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ฮ่าฮ่าฮ่า ที่แท้ก็เป็นสาวงามอยากมาเล่นสนุกในป้อมอสรพิษนี่เอง ไม่เลวเลยจริงๆ เจ้าทำให้ข้าชักมีอารมณ์ขึ้นมาแล้วสิ…”
ชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มจ้องมองเฉียนเหมยและหัวเราะเหยียดหยาม
เขาคือเจ้าของเสียงคำรามก่อนหน้านี้นั่นเอง
แต่พูดยังไม่ทันจบประโยค
ฟิ้ว!
ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างพุ่งแหวกอากาศออกไปข้างหน้า
แล้วครึ่งหนึ่งของลำตัวชายหนุ่มผู้โอหังก็ระเบิดกระจาย
เซียวปิงที่ยืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินลดปืนไรเฟิลในมือลง ขณะที่ในปากยังคงเคี้ยวเนื้อจากน่องไก่ต้มอย่างเอร็ดอร่อยต่อไป
กลุ่มชายหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากตึกสีเลือดหมูเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
“ทะ… ท่านอ๋องน้อย… ตายแล้วหรือ?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเนื้อตัวสั่นเทา
แล้วใบหน้าของทุกคนก็ซีดเผือด
จบสิ้นแล้ว
ท่านอ๋องน้อยตายแล้วจริงๆ
โลกทั้งใบของพวกเขาพังถล่มลงมาแล้ว!!