เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 760 ปิดล้อมค่ายผู้อพยพ
ตอนที่ 760 ปิดล้อมค่ายผู้อพยพ
อากาศยังคงหนาวเย็น
อุณหภูมิของนครเจาฮุยยามบ่ายเย็นจัดจนเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นน้ำแข็งได้อีกครั้ง
แม้แต่แสงตะวันก็ยังไม่สามารถสร้างความอบอุ่นได้อีกแล้ว
ขบวนรถม้าจากพื้นที่เขตสามและพื้นที่เขตสี่ล้วนมุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่เขตสอง
ในขบวนรถม้าเหล่านี้ประกอบไปด้วยขุนนางระดับสูง 36 คน
ถึงพวกเขาจะไม่ทราบเลยว่าท่านเจ้าเมืองเรียกให้ไปรวมตัวกันเพราะเหตุใด แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่ง
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เหลียงหยวนเตาไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งกับกลุ่มขุนนางระดับสูงมาก่อน แต่เมื่อหกปีก่อน กลุ่มขุนนางประจำเมืองได้เสื่อมอำนาจลง และมีตระกูลขุนนางถึง 72 ตระกูลที่หายสาบสูญไปอย่างลึกลับในเวลาเพียงไม่กี่วันเพราะไม่ยอมมาปรากฏตัวตามเทียบเชิญของเหลียงหยวนเตา
หลังจากนั้น กลุ่มคนผู้สาบสูญก็ถูกพบเป็นศพฝังดินอยู่ด้านนอกกำแพงเมือง นี่คือการแสดงอำนาจของเหลียงหยวนเตาอย่างชัดเจนที่สุด ต่อจากนั้นเป็นต้นมา จึงไม่มีใครกล้าเมินเฉยต่อเทียบเชิญของชายอ้วนอีกต่อไป
แม้ว่าขุนนางระดับสูงที่เหลืออยู่ในปัจจุบันจะไม่ใช่ผู้ที่มีระดับพลังต่ำต้อยก็ตาม
แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังอยากมีชีวิตที่ยืนยาว และไม่อยากมีปัญหากับเหลียงหยวนเตาโดยไม่จำเป็น
เมื่อขบวนรถม้าแล่นมาถึงพื้นที่เขตสอง และจอดอยู่ตรงหน้าทางเข้าค่ายผู้อพยพของชาวเมืองหยุนเมิ่ง บรรดาขุนนางใหญ่และยอดฝีมือผู้ถูกเรียกตัวก็แสดงความประหลาดใจออกมา
เพราะพวกเขาย่อมทราบดีว่าค่ายผู้อพยพแห่งนี้เพิ่งก่อสร้างได้เพียงเดือนเศษ ทุกคนจึงคิดไม่ถึงเลยว่าค่ายผู้อพยพจะมีความใหญ่โตโอ่อ่าถึงเพียงนี้
ในความคิดของเหล่าขุนนางใหญ่ พื้นที่เขตสองซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มผู้อพยพจะต้องมีแต่ความวุ่นวายโกลาหล บรรยากาศหดหู่น่าหมดหวัง ไม่เหมาะสมต่อการดำรงชีวิตอยู่สักนิดเดียว
แต่ค่ายผู้อพยพซึ่งอยู่เบื้องหน้าแห่งนี้กลับมีความอุดมสมบูรณ์ และสวยงามไม่ต่างไปจากสวนทิพย์แดนสวรรค์ แม้แต่สิ่งก่อสร้างรูปทรงแปลกประหลาดก็ถูกปลูกสร้างขึ้นมาเรียงรายละลานตา ทว่าทุกอย่างก็ถูกจัดสรรอย่างเป็นระบบระเบียบทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ยังมีการสร้างถนนอีกหลายสาย บริเวณที่เป็นทางสามแยกก็มีการตั้งเสาหินขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง บนเสาหินฝังไว้ด้วยอัญมณีสามสี คือสีแดง สีเหลืองและสีเขียว เมื่อเปิดการใช้งานค่ายอาคม อัญมณีเหล่านี้ก็จะสลับกันส่องแสงสว่างครั้งละหนึ่งสี
เมื่ออัญมณีสีเขียวสว่าง ทุกคนก็จะสามารถข้ามถนนไปข้างหน้าได้
เมื่ออัญมณีสีแดงสว่าง ผู้ผ่านทางทุกคนจะต้องหยุดนิ่งอยู่กับที่
กฎเหล่านี้คือสิ่งที่คนขับรถม้าทั่วเมืองรับทราบเป็นอย่างดี ทั้ง ๆ ที่ตอนแรกไม่มีใครสนใจกฎระเบียบอันแปลกประหลาดเช่นนี้เลยแต่เมื่อมีคนขับรถม้าคนหนึ่งถูกลงโทษด้วยการตัดแขน และมีอีกหลายคนที่ถูกเฆี่ยนตีอย่างหนักหน่วง หลังจากนั้น ก็ไม่มีคนขับรถม้าคนไหนกล้าฝ่าฝืน ‘สัญญาณไฟจราจร’ ในพื้นที่เมืองเขตสองอีกเลย…
ครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าจำนวน 36 คันก็มาจอดเรียงรายเป็นแถวยาวอยู่บริเวณทางเข้าค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง และยังคงมีรถม้าอีกจำนวนนับไม่ถ้วนทยอยตามมาจอดต่อแถวอีกมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ทุกคนไม่ทราบเลยว่าตนเองมาที่นี่ด้วยเหตุอันใด
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
“ข้าได้ยินข่าวลือมาว่าเมื่อคืนนี้มือปราบอินทรีธูมรณะจำนวนหลายนายเสียชีวิตอยู่ในค่ายผู้อพยพแห่งนี้”
“หลินเป่ยเฉินไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน นี่เขาถึงกับกล้ามีปัญหากับท่านเจ้าเมืองแล้วหรือ?”
“ถ้าอย่างนั้นเขาก็มีแต่ตายสถานเดียว”
เหล่าขุนนางใหญ่ยืนจับกลุ่มรวมตัวกันแลกเปลี่ยนข้อมูล
สุดท้าย พวกเขาก็ได้ข้อสรุปออกมาว่าที่เหลียงหยวนเตาเรียกให้ทุกคนมารวมตัวกันในสถานที่แห่งนี้ ก็เพื่อให้พวกเขาได้รับชมการพิพากษาหลินเป่ยเฉินนั่นเอง
กาลเวลาผ่านไป
ปรากฏผู้คนมารวมตัวกันหน้าค่ายผู้อพยพมากขึ้นไม่หยุดยั้ง
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางใหญ่หรือมหาเศรษฐีประจำเมือง ทุกคนล้วนแต่ต้องมาตามคำเชิญของเหลียงหยวนเตาทั้งสิ้น แต่ก็มีอีกจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่ถึงจะไม่ได้รับคำเชิญ แต่ก็ไม่ปล่อยให้ตนเองพลาดโอกาสรับชมเหตุการณ์สำคัญครั้งนี้เด็ดขาด
บัดนี้ หน้าทางเข้าค่ายผู้อพยพจึงมีบรรยากาศคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
สวนทางกับบรรยากาศด้านในค่ายที่พักซึ่งยังคงอยู่ภายใต้ความเงียบสงบ ไม่มีการเคลื่อนไหวของผู้คน
คนกลุ่มเดียวที่พวกเขาพบเห็นก็คือนายทหารคนงานขุดเหมืองจำนวน 200 คน ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของแม่ทัพเฉียนเหมย ผู้สวมใส่ชุดเกราะสีแดงสด นายทหารกลุ่มนี้มีสีหน้าเย็นชาปราศจากอารมณ์ความรู้สึก เป็นสัญญาณย้ำเตือนว่าไม่ยินดีต้อนรับคนแปลกหน้าเข้าสู่ค่ายที่พักของพวกเขา
การรอคอยคือความรู้สึกที่ทรมานเสมอ
ทุกคนมารออยู่ที่นี่เกินกว่าครึ่งชั่วยามแล้ว
สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังสนต้นใหญ่ที่สูงเสียดฟ้าและสนต้นนี้ก็ตั้งอยู่ใจกลางค่ายที่พัก
คาดคะเนจากสายตา สนต้นนี้น่าจะมีอายุหลายร้อยปี ลำพังต้นสนเพียงอย่างเดียวก็นับเป็นพืชไม้หายากประจำเมืองแล้ว กลุ่มขุนนางใหญ่ จึงไม่ทราบเลยว่าหลินเป่ยเฉินต้องเสียเงินไปมากมายขนาดไหนกัน เพื่อขนย้ายต้นสนเก่าแก่นี้มาปลูกอยู่ในค่ายที่พักของตนเองได้สำเร็จ
แต่สิ่งที่น่าทึ่งไม่ใช่เพียงต้นสนสูงใหญ่เท่านั้น ทว่ายังเป็นกระโจมที่พักซึ่งสร้างอยู่บนยอดต้นสนนั้นอีกเล่า มันเป็นกระโจมที่มีความใหญ่โตหรูหรา ผ่านการลงค่ายอาคมตกแต่งอย่างสวยงาม ไม่ต่างไปจากสถานที่ตากอากาศของมหาเศรษฐีตระกูลใหญ่
และยิ่งสำรวจมองสภาพแวดล้อมของค่ายผู้อพยพมากเท่าไหร่ เหล่าขุนนางใหญ่ก็ยิ่งตกตะลึงมากเท่านั้น
พื้นดินซึ่งเคยแห้งแล้งและไม่สามารถใช้ประโยชน์ใด ๆ ได้เลยนอกจากเป็นลานทิ้งขยะ บัดนี้ เมื่อพื้นที่เหล่านี้ตกไปอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉิน พวกมันกลับปรับเปลี่ยนเป็นสถานที่แห่งความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าชำเลืองมองไปทางใด ก็มีแต่ความงดงามจับใจ
แต่ในเมื่อเขาไปมีปัญหากับเหลียงหยวนเตา เกรงว่าชีวิตของหลินเป่ยเฉินก็คงต้องจบลงเพียงเท่านี้
หลินเป่ยเฉินหลงลำพองในความยิ่งใหญ่ของตนเองมากเกินไป หากไม่มีหลินเป่ยเฉินสักคน ขุมกำลังของค่ายผู้อพยพที่เหลืออยู่ก็ไม่ต่างจากงูพิษถูกตัดหัว ไม่ว่าพวกเขาจะมีฝีมือการต่อสู้เก่งกาจขนาดไหน แต่เมื่อปราศจากผู้บังคับบัญชา สุดท้าย กลุ่มกองทัพของผู้อพยพก็ได้แต่รอวันแตกสลายลงเท่านั้นเอง
อีกไม่นาน ค่ายผู้อพยพของชาวเมืองหยุนเมิ่งก็คงมีสภาพไม่ต่างไปจากสถานให้ความบันเทิงของกลุ่มชนชั้นสูงประจำเมือง
คิดมาถึงตรงนี้ เหล่าขุนนางใหญ่หลายคนก็อดตื่นเต้นไม่ได้
พวกเขาอยากจะเห็นหลินเป่ยเฉินถูกตัดหัวแล้ว
ทันใดนั้น กองทัพทหารก็ได้เคลื่อนกำลังพลมาจากที่ห่างไกล
นี่คือกองทัพประจำเมืองเจาฮุย
ผืนธงประจำกองทัพโบกสะบัดไปตามสายลมหนาว แสงตะวันสาดส่องลงมายังมังกรดำบนผืนธงทั้งสามตัว ทำให้พวกมันดูเหมือนมีชีวิตจริง ๆ ขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
บนธงผืนใหญ่มีตัวอักษรเขียนเอาไว้ว่า ‘เว่ยซาน’
นี่คือกองทหารหน่วยรบเว่ยซาน
และผู้ที่ขี่เสือสายฟ้านำทัพมาด้านหน้าสุดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากแม่ทัพใหญ่โค้วจง ผู้กำลังแสยะยิ้มด้วยความสะใจเป็นอย่างยิ่ง
ข้างกายของเขายังมียอดขุนพลอีกนับไม่ถ้วนตามติด
ในกลุ่มยอดขุนพลเหล่านั้น ย่อมมีกงซุนไป๋ผู้ขี่ม้าขาวติดตามมาด้วยเช่นกัน
นอกจากมีกองทหารหน่วยรบเว่ยซานแล้ว สองแม่ทัพใหญ่ประจำเมืองนามว่าหวงเฟิงและหลิวหยุน ก็มาปรากฏตัวด้วยเช่นกัน
พวกเขาต่างก็เป็นคนสนิทของท่านเจ้าเมืองเหลียงหยวนเตา
ชัดเจนว่านี่เป็นการออกคำสั่งของเหลียงหยวนเตาให้ทุกคนยกกำลังพลบุกมาที่นี่
ขบวนนายทหารเคลื่อนที่เข้ามาอยู่ห่างจากค่ายผู้อพยพประมาณหนึ่งลี้ ก่อนจะกระจายกำลังปิดล้อมค่ายผู้อพยพทุกด้านทุกมุม
การบุกโจมตีกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้
หน่วยมือปราบอินทรีธูมรณะอีก 2,000 นาย ปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมด้วยหน้ากากอินทรีทองคำ
พวกเขาเคลื่อนกายด้วยความเงียบเชียบไม่ต่างไปจากเทพเจ้าแห่งความตาย เสื้อคลุมสีเทาโบกสะบัดไปตามสายลม เงาดำทาบทับลงไปบนพื้นดิน ดูเย็นชาไร้ชีวิตชีวาเช่นเดียวกับผู้เป็นเจ้าของเงาแต่พลังกดดันที่แผ่คุกคามออกมาจากร่างกายนั้นเล่า มีความน่าเกรงขามไม่ต่างไปจากนายทหารหน่วยรบเว่ยซานถึง 30,000 ชีวิต
ต่อมา เสลี่ยงคันใหญ่ได้ปรากฏออกมาพร้อมกับพลังกดดันที่แผ่คุกคามรอบบริเวณ
ขันทีผู้มีพลังอยู่ในระดับยอดปรมาจารย์สิบคน รับหน้าที่แบกเสลี่ยงเดินมาข้างหน้าด้วยความว่องไว
เหลียงหยวนเตายังคงนั่งตระหง่านอยู่บนบัลลังก์ขนาดใหญ่ยักษ์บนเสลี่ยง
จังหวะนี้ ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็รู้สึกได้ถึงพลังกดดันที่ทำให้หายใจแทบไม่ออก
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ว่าการมณฑลเฟิงอวี่ ผู้เป็นเจ้าของตำนานแห่งความโหดร้ายอำมหิตตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน กลับสามารถทำให้บรรยากาศตกอยู่ภายใต้ความเงียบสงบ และสร้างความอึดอัดให้แก่ผู้คนได้ในเวลาอันรวดเร็ว
แม้แต่ยอดขุนนางใหญ่ที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของตนเอง ก็ยังต้องยอมก้มหัวคำนับให้แก่เหลียงหยวนเตาแล้ว มีเพียงหน่วยทหารคนงานขุดเหมืองจำนวน 200 ชีวิต ซึ่งนำโดย แม่ทัพเฉียนเหมยเท่านั้นที่ยังสามารถยืนนิ่งเฉยแผ่นหลังเหยียดตรงด้วยความแน่วแน่เฝ้ารักษาการณ์อยู่หน้าประตูทางเข้าค่ายที่พักต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้านใด ๆ ทั้งสิ้น