เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 873 ซุนซิงเจ๋อ
ตอนที่ 873 ซุนซิงเจ๋อ
เจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
เกออู๋โหยวกำลังยกถ้วยน้ำชากระเบื้องเคลือบสีแดงของตนเองขึ้นจิบด้วยความสบายอารมณ์
แม้สีหน้าจะราบเรียบ แต่หัวคิ้วที่เลิกขึ้นสูง บอกชัดว่าจิตใจของเขาไม่สงบ
“แค้นนี้ต้องชำระ”
จูจวิ้นหลานคำรามด้วยความโกรธแค้นอยู่ด้านข้าง
อาการบาดเจ็บของเขาทุเลามากแล้ว แต่รอยบวมช้ำบนใบหน้ายังจางหายไปไม่หมด จมูกยังคงบิดเบี้ยวเล็กน้อย สีหน้าอาฆาตอำมหิต แสดงออกถึงความโกรธแค้นสุดขีด
เกออู๋โหยวหันไปชำเลืองมอง
หลินเป่ยเฉินกล่าวได้ถูกต้องแล้ว
จูจวิ้นหลานประพฤติตนราวกับเป็นอันธพาลข้างถนน ไม่ควรค่ากับผู้มีตำแหน่งระดับเซียนแม้แต่น้อย
แต่ก็ช่วยไม่ได้
ใครใช้ให้จูจวิ้นหลานเกิดมาในตระกูลผู้มีพลังระดับเซียนกันล่ะ?
ชายฉกรรจ์ผู้มีครอบครัวทรงอำนาจหนุนหลัง ทั้งยังมากมายด้วยทรัพยากรสำหรับฝึกวิชา ต่อให้เป็นหมูโง่ ก็ยังสามารถกลายเป็นยอดอัจฉริยะได้ไม่ยากเย็น
ที่สำคัญก็คือทรัพยากรเหล่านั้น คือสิ่งที่หาได้ยากในจักรวรรดิเป่ยไห่
แต่ในจักรวรรดิต้าเกี๋ยน พวกมันกลับหาได้ไม่ยากนัก
กล่าวตามตรง ผู้มีพลังระดับเซียนหลายคนของจักรวรรดิต้าเกี๋ยน ไม่คู่ควรกับตำแหน่งของตนเองเลยสักนิด พวกเขาเปรียบเสมือนไม้งามที่อยู่ในเรือนกระจก ได้รับการดูแลทะนุถนอมเป็นอย่างดี แตกต่างไปจากหลินเป่ยเฉินผู้เปรียบเสมือนดอกไม้ป่า ผ่านร้อนผ่านหนาวทุกอย่างด้วยตัวของตัวเอง และนี่จึงเป็นช่องว่างระหว่างพวกเขาเมื่อต้องมาต่อสู้กัน
“ท่านจะแก้แค้นเขาอย่างไร?”
เกออู๋โหยวพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ในเมื่อท่านสู้เขาไม่ได้”
จูจวิ้นหลานกัดฟันด้วยความเคียดแค้น “ข้าจะตั้งภารกิจให้ผู้มีพลังระดับเซียนคนอื่นไปสังหารหลินเป่ยเฉิน…”
“ผู้มีพลังระดับเซียนจะรับภารกิจสังหารผู้ใดได้ …ก็ต่อเมื่อคนผู้นั้นประพฤติตนชั่วร้าย ท่านจำเป็นต้องมีหลักฐานที่ยืนยันว่าหลินเป่ยเฉินก่ออาชญากรรมร้ายแรงมามอบให้ข้าดูเสียก่อน ไม่ทราบว่าท่านมีหรือไม่?”
เกออู๋โหยวเปิดเผยความคิดของตนเอง
“นี่เจ้า…”
จูจวิ้นหลานชักสีหน้าด้วยความรำคาญใจ “เจ้าอยู่ฝ่ายไหนกันแน่?”
“ท่านให้มากกว่า ข้าย่อมอยู่ฝ่ายท่าน”
เกออู๋โหยวถอนหายใจและกล่าวต่อ “มิเช่นนั้น ข้าจะยอมละเมิดกฎของตรอกพิรุณและช่วยท่านออกมาระหว่างการทดสอบได้อย่างไร… ท่านคิดจะแก้แค้นหลินเป่ยเฉิน แต่ไม่คิดให้รอบคอบรัดกุม นอกจากจะสังหารศัตรูไม่ได้ เป็นท่านเองที่จะทำผิดกฎสมาคม และหากท่านล้ำเส้นนั้นไปเมื่อไหร่ ข้าก็ช่วยเหลือท่านไม่ได้อีกแล้ว”
สีหน้าของจูจวิ้นหลานกลับมามีความสงบเยือกเย็นมากขึ้น
แต่เขาก็ยังพูดด้วยความหงุดหงิดใจว่า “งั้นเจ้าบอกมา ข้าควรทำอย่างไรดี?”
เกออู๋โหยวตอบ “ตอนนี้ข้ายังคิดไม่ออก”
“เจ้า…”
จูจวิ้นหลานนึกว่าเด็กหนุ่มจะมีคำแนะนำดีๆ เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น เขาจึงคำรามออกมา “อย่าบอกนะว่าเจ้าพูดอยู่นานสองนาน แต่กลับไม่มีอะไรแนะนำข้าเลย?”
สุดท้าย เกออู๋โหยวก็ต้องตอบออกมาอย่างเสียมิได้ “วิธีนั้นมีอยู่ ซึ่งก็คือท่านต้องลอบจ้างวานผู้มีพลังระดับเซียน ให้ไปสังหารหลินเป่ยเฉินโดยไม่บอกให้ผู้ใดล่วงรู้ แต่ในจักรวรรดิเป่ยไห่ ผู้มีพลังระดับเซียนมีอยู่ไม่มาก ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของท่านแล้ว”
ดวงตาของจูจวิ้นหลานเป็นประกายแวววาว
ยังมีหนทางอยู่สินะ
แต่เขาจะไปว่าจ้างใครดี?
ช่างหาคนรับงานยากเหลือเกิน
บรรยากาศภายในห้องตกอยู่ในความเงียบ
เกออู๋โหยวยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอีกครั้ง คล้ายไม่ต้องการพูดอะไรอีกแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน
อยู่ดีๆ ก็…
ก๊อกก๊อกก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เกออู๋โหยวสะดุ้งโหยง
มีคนมาเคาะประตูเจดีย์เซียนเหยียบเมฆอย่างนั้นหรือ?
เป็นใครกัน?
เขาสลับหน้าจออาคมตรวจดูภาพบริเวณหน้าเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
บนหน้าจอปรากฏชายร่างผอมสูง ใบหน้ากระดำกระด่าง ลักษณะไม่ต่างจากกิ่งไม้ผุพัง ชายผู้นี้สวมใส่เสื้อคลุมสีน้ำเงิน กำลังยกมือเคาะประตูเจดีย์ของพวกเขา
“นั่นใคร?”
เกออู๋โหยวสอบถามผ่านค่ายอาคมแห่งเสียง
“ข้าน้อยมีนามว่าซุนซิงเจ๋อ มาขอขึ้นทะเบียนสำหรับผู้มีพลังระดับเซียนขอรับ”
ชายหน้าดำตอบเสียงดัง
ว่าอย่างไรนะ?
เกออู๋โหยวหยุดชะงัก
มีคนมาขอขึ้นทะเบียนอีกแล้ว?
…
หลังจากนั้น
ในห้องโถงใหญ่ที่ชั้นแรกของเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
เกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานยืนจ้องมองชายหน้าดำร่างผอมสูง ผู้มีนามว่าซุนซิงเจ๋อด้วยความตกตะลึง
พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าชายแปลกหน้าผู้นี้จะสามารถเปิดประตูเจดีย์ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว
เมื่อสามารถเปิดประตูได้ เขาก็มีคุณสมบัติที่จะขอขึ้นทะเบียน เป็นผู้มีพลังระดับเซียนอย่างเป็นทางการ
“ไม่ทราบว่าท่านผู้กล้ามาจากดินแดนใด?”
เกออู๋โหยวถามด้วยความสงสัย
ซุนซิงเจ๋อตอบว่า “ข้าเป็นจอมยุทธ์พเนจรไร้สังกัดไร้สำนัก บิดามารดาถึงแก่กรรมตั้งแต่เยาว์วัย ข้าจึงออกร่อนเร่พเนจรตั้งแต่จำความได้ ไม่ทราบเลยว่าจวบจนถึงปัจจุบัน ย่างเท้าผ่านมาแล้วกี่ดินแดน ชีวิตของข้ามีแต่การฝึกวิทยายุทธ์ วันนี้ประจวบเหมาะเดินทางมาถึงเมืองเป่ยไห่ และรู้สึกเหมือนโชคชะตาดลบันดาล ข้าพบเห็นเจดีย์ของพวกท่านอยู่ในเมืองแห่งนี้ จึงลองขอมาขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีพลังระดับเซียนดูขอรับ”
จอมยุทธ์พเนจร?
ไร้สังกัดไร้สำนัก?
เกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานมีดวงตาเป็นประกายแวววาวทันที
“การทดสอบนั้นอันตรายมาก ท่านแน่ใจหรือว่าตนเองจะรับไหว?”
เกออู๋โหยวอยากได้รับการยืนยัน
ซุนซิงเจ๋อตอบว่า “ข้าน้อยย่อมแน่ใจ”
“ไม่ทราบว่าเจ้ามีปราณธาตุชนิดใด?”
จูจวิ้นหลานถามเสียงดัง
“เจ้าเป็นใคร?”
ซุนซิงเจ๋อหันกลับมามองตาขวางด้วยความไม่ชอบใจ
“กรุณาอย่าหยาบคาย”
เกออู๋โหยวรีบเข้ามาห้ามทัพ “ท่านผู้นี้มีนามว่าจูจวิ้นหลาน เป็นคนจากสมาคมผู้มีพลังระดับเซียนโดยตรง”
ทันใดนั้น แววตาที่ซุนซิงเจ๋อจ้องมองจูจวิ้นหลานก็เปลี่ยนไป แม้แต่น้ำเสียงก็บ่งบอกถึงความเคารพนับถือมากขึ้น “ที่แท้ก็เป็นท่านผู้สูงส่งจูนี่เอง ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว”
ตอนแรก จูจวิ้นหลานก็ไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่ แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายรีบเปลี่ยนท่าทีอย่างเร็วไว เขาก็ยิ้มออกมาและพูดว่า “คนไม่รู้ย่อมไม่ผิด เจ้าจงสบายใจเถอะ”
“ท่านผู้สูงส่งช่างมีจิตใจกว้างขวางเหลือเกิน”
ซุนซิงเจ๋อประสานมือคำนับด้วยความอ่อนน้อม
จูจวิ้นหลานยิ้มออกมาทันที
ดูสิ
คนเราควรจะเป็นอย่างนี้ให้ได้ทุกคน
ชายหน้าดำคนนี้มีมารยาทมากกว่าหลินเป่ยเฉินไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
เกออู๋โหยวแทรกขึ้นมา “ในเมื่อท่านแน่ใจ อย่างนั้นพวกเราก็มาทดสอบกันเลยดีกว่า”
หลังจากอธิบายกฎระเบียบอย่างคร่าวๆ แล้ว ซุนซิงเจ๋อก็ถูกส่งตัวเข้าไปรับการทดสอบด่านแรกในค่ายอาคมจำแนกปราณธาตุ
…
ในห้องสังเกตการณ์
“เขามีพลังปราณธาตุไม้”
บนหน้าจออาคม เกออู๋โหยวเห็นซุนซิงเจ๋อเลือกชนิดพลังปราณธาตุอย่างชัดเจน “ไม่ง่ายเลยที่ผู้มีพลังปราณธาตุไม้จะกลายเป็นผู้มีพลังระดับเซียน แต่คนผู้นี้มีประสบการณ์โชกโชน ท่านลองดูใบหน้าของเขา ข้าเกรงว่าเขาคงชำนาญเรื่องการต่อสู้มากกว่าพวกนายทหารระดับสูงหลายคนเสียอีก ข้ามั่นใจว่าเขาจะต้องผ่านการทดสอบของพวกเราแน่นอน”
จูจวิ้นหลานยกมือจับคางและยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ข้าก็หวังว่าเขาจะผ่าน ฮ่าฮ่าฮ่า เพราะข้ามีงานให้เขาทำ”
ชายจมูกงอเฝ้ารอผลการทดสอบด้วยความตื่นเต้น
เกออู๋โหยวชำเลืองมองจูจวิ้นหลาน รู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่
แต่เด็กหนุ่มยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา ภาพบนหน้าจอก็ทำให้เขาต้องลุกขึ้นยืน สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง
เพราะว่าซุนซิงเจ๋อสามารถสังหารสัตว์อสูรในค่ายอาคมของผู้มีพลังปราณธาตุไม้ได้อย่างง่ายดาย โดยที่ธูปยังไม่ทันจะเผาหมดก้านเลยด้วยซ้ำ
“ประเสริฐ… แข็งแกร่งมาก”
จูจวิ้นหลานร่ำร้องออกมาด้วยความยินดี
เกออู๋โหยวพยายามเก็บอาการตกตะลึงของตนเองและพูดว่า “คำนวณดูความแข็งแกร่งของเขา ต้องอยู่ในระดับเหรียญทองคำแน่นอน… นี่คืออัจฉริยะ!”
ผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำ
นับว่าเป็นสิ่งที่หายากในยุคปัจจุบัน
แล้วผู้มีพลังปราณธาตุไม้คนนี้จะอยู่ในขั้นเหรียญทองคำจริงๆ หรือ?
“ดูนั่นสิ”
เกออู๋โหยวพูดออกมา
ดวงตาของเขาแทบจะเบิกถลนออกมาจากเบ้า
เพราะในการทดสอบด่านที่สองและด่านที่สาม ซุนซิงเจ๋อแสดงความสามารถได้อย่างโดดเด่น เขาเลือกคัมภีร์ระดับเซียนที่ชื่อว่ารากไม้ผนึกวิญญาณและอ่านมันจบในเวลาเพียงก้านธูปเดียว เมื่อต้องไปยืนอยู่ต่อหน้ากระจกสะท้อนปัญญา ซุนซิงเจ๋อก็สามารถผ่านได้โดยไม่มีปัญหา และในตรอกพิรุณ เขาใช้เวลาเพียงก้านธูปเดียวเท่านั้นก็เดินผ่านได้สำเร็จ
ลำดับชั้น : ผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำ
ตำแหน่งฉายา : บุรุษก้านยาว
นี่คือผลการทดสอบจากเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ