เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 884 ถ้าไม่ทำตามข้อเรียกร้อง จะไม่มีสำนักแสงตะวันอีกต่อไป
- Home
- เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]
- บทที่ 884 ถ้าไม่ทำตามข้อเรียกร้อง จะไม่มีสำนักแสงตะวันอีกต่อไป
ตอนที่ 884 ถ้าไม่ทำตามข้อเรียกร้อง จะไม่มีสำนักแสงตะวันอีกต่อไป
มีคนมาก่อกวนสำนักแสงตะวันหรือ?
ทันใดนั้น ทุกสายตาหันไปจ้องมองทางป้อมปราการที่อยู่ด้านใน
คลื่นพลังกดดันจากหลินเป่ยเฉินพวยพุ่งเข้าสู่ด้านในป้อมปราการ
ศิษย์ของสำนักแสงตะวันจำนวนมากยังไม่มีเวลาได้หลบหนีออกมา พวกเขาถูกพลังกดดันเหล่านั้นทำให้ต้องคุกเข่าลงไปบนพื้น ไม่สามารถต้านทานขัดขืน ตัวสั่นเทาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ราวกับเป็นสุนัขข้างถนนเผชิญหน้าอยู่กับพญามังกร
“ไม่ทราบท่านผู้ใดมาปรากฏกายขึ้นที่นี่ ขออภัยที่พวกข้าไม่มีเวลาต้อนรับ…”
เสียงที่ฟังไม่ชัดเจนดังขึ้นจากส่วนลึกของป้อมปราการ
สุดท้าย เหล่ายอดฝีมือที่เก็บตัวอยู่ด้านในสำนักก็ต้องปรากฏตัวออกมา
เงาร่างหลายสิบสายพุ่งตัวออกมาจากด้านในป้อมปราการราวกับเป็นแสงดาวตก
วูบวูบวูบ!
เงาร่างทั้งหมดนั้นทิ้งตัวลงมายืนอยู่หน้าประตูใหญ่
ล้วนแต่เป็นสมาชิกระดับสูงของสำนักแสงตะวัน
หนึ่งในนั้นใส่ชุดสีม่วง ผมสีเทา สวมมงกุฎทองคำ ร่างสูงกำยำ สีหน้าขุ่นเคือง แววตาดุร้าย ย่อมต้องเป็นท่านประมุขสำนักแสงตะวันอย่างไม่ต้องสงสัย
เขามีนามว่าตู้กู่จิงหง
ข้างกายชายชรายังรายล้อมด้วยองครักษ์หลายสิบคน ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีม่วง ลำดับอายุมีตั้งแต่เฒ่าชรามาจนถึงหนุ่มฉกรรจ์ แต่ละคนล้วนมีตำแหน่งเป็นผู้พิทักษ์หมู่ตึกและผู้คุมกฎประจำสำนัก
ดวงตาของทุกคนจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินซึ่งสลายพลังกดดันของตนเองลงแล้ว
“เจ้าเรียกข้ามามีเหตุอันใด?”
ท่านประมุขตู้กู่ถามออกมาด้วยความสงสัยและตกตะลึง
หลินเป่ยเฉินพ่นลมผ่านทางจมูกและตอบกลับไปเสียงแข็งกระด้าง “ข้ามีเรื่องอยากสอบถาม อาจารย์เยวียนเหวินจวิ้นแห่งสถานศึกษาระดับสูงประจำนครหลวง ถูกคุมขังอยู่ในสำนักของท่านใช่หรือไม่?”
ความไม่พอใจปรากฏในแววตาของท่านประมุขตู้กู่ทันที
ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา สำนักแสงตะวันขยายฐานอำนาจอย่างกว้างใหญ่ในนครหลวง สามารถควบคุมสำนักยุทธ์มากมาย แม้แต่เจ้าหน้าที่จากในวังหลวงยามเข้าพบเขา ก็ยังต้องพูดด้วยท่าทีสุภาพอ่อนน้อม
แต่เด็กหนุ่มผู้สวมใส่หน้ากากครึ่งซีกคนนี้ กลับพูดจาแข็งกระด้าง ไม่มีหางเสียงสักนิด
ถึงกระนั้น ระดับพลังที่เด็กหนุ่มแสดงออกมาเมื่อสักครู่ ก็สูงส่งไม่ใช่น้อย
น่าจะใกล้เคียงกับผู้มีพลังระดับเซียน
ซึ่งสำหรับผู้ที่มีฝีมือสูงส่งเช่นนี้ อย่าไปมีเรื่องด้วยโดยไม่จำเป็นดีกว่า
“ไม่เลว”
ตู้กู่จิงหงสะกดกลั้นความโกรธ พยักหน้า ตอบว่า “เยวียนเหวินจวิ้นถูกคุมขังอยู่ในสำนักของเราจริง”
“ข้าให้เวลาท่านชงน้ำชาหนึ่งถ้วย คืนตัวผู้คนกลับมา”
หลินเป่ยเฉินไม่มีความตั้งใจที่จะพูดจาสุภาพกับสำนักแสงตะวันสักนิด เขายังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างต่อไป
“แต่เจ้า… อาจจะยังไม่รู้”
ดวงตาของตู้กู่จิงหงเป็นประกายแวววาวขณะกล่าวด้วยความอดทน “เยวียนเหวินจวิ้นมีบุตรชายเป็นสมาชิกของสำนักแสงตะวัน ยึดตามกฎยุทธภพ ตัวเขาเองก็มีสถานะเป็นสมาชิกของสำนักเช่นกัน และบุตรชายของเขาเยวียนหนงได้ลักพาตัวบุตรสาวของข้าไป ทั้งยังสังหารคนรับใช้บุตรสาวของข้าอีกด้วย ยังไม่รวมถึงเรื่องที่ว่าเขาติดหนี้พนันอีกหนึ่งล้านเหรียญทองคำ… การจับตัวบิดาของเขาคือหลักประกันสำหรับข้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคนภายนอก เจ้าอย่ายื่นมือเข้ามาแทรกแซงกฎของสำนักเลยดีกว่า”
“กฎของสำนัก?”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะเย้ยหยัน “มันหมายความว่าอย่างไร? พวกท่านเป็นเพียงกลุ่มอันธพาลที่รวมตัวกันมากหน่อย ก็ยึดถือว่าตนเองอยู่เหนือกฎหมายแล้วหรือ ช่างน่าหัวเราะเสียจริง”
“เจ้า…”
“สามหาว”
“ปากดีนัก”
เมื่อศิษย์ของสำนักแสงตะวันได้ยินดังนั้น พวกเขาต่างก็ระเบิดเสียงคำรามตอบโต้กลับมาทันที
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจพวกคนตัวเล็กตัวน้อยอยู่แล้ว
เขาจ้องมองไปที่ตู้กู่จิงหงและกล่าวว่า “ข้าขอสอบถามท่าน ไม่ทราบว่าท่านจะทำตามที่ข้าบอกหรือไม่?”
หัวใจของตู้กู่จิงหงร้อนผ่าวด้วยความเดือดดาล หัวเราะเยาะตอบกลับมา “ทำตามแล้วจะอย่างไร? ไม่ทำตามแล้วจะอย่างไร?”
ยามเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุด สำนักแสงตะวันยังไม่เคยหวาดเกรง หากครั้งนี้พวกเขาทำตามคำสั่งของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง เมื่อเรื่องราวรู้ไปถึงหูของคนภายนอก แล้วอนาคตของสำนักแสงตะวันในนครหลวงจะยังคงมั่นคงอยู่อีกได้อย่างไร?
“ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายกับท่าน ไม่ว่ากฎประจำสำนักจะเป็นอย่างไร แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้คือข้อยกเว้น”
หลินเป่ยเฉินพูดเสียงเรียบ “หากท่านไม่คืนตัวผู้คนกลับมา… เหอเหอเหอ หลังจากคืนนี้ไป ก็จะไม่มีสำนักแสงตะวันอยู่ในนครหลวงอีกแล้ว”
เสียงพูดของเด็กหนุ่มก้องกังวานทั่วแผ่นฟ้า
ทุกคนสะดุ้งโหยง
ช่างพูดจาใหญ่โตเสียเหลือเกิน
อุณหภูมิในอากาศลดลงอย่างรวดเร็ว
หลี่ซิวเยวียนและพรรคพวกคิดไม่ถึงเลยว่าการนำตัวกู่เทียนเล่อมาช่วยเหลืออาจารย์ในครั้งนี้ จะทำให้เรื่องราวบานปลายเกินควบคุม
เดิมที พวกเขาวางแผนให้กู่เทียนเล่อแอบลอบเข้าไปในสำนัก ช่วยเหลืออาจารย์ของพวกเขากลับมา หรืออย่างมากที่สุด กู่เทียนเล่อก็คงแสดงฝีมือเพียงเล็กน้อย เพื่อข่มขวัญให้ฝ่ายตรงข้ามหวาดกลัว
ใครจะไปคิดเลยว่ากู่เทียนเล่อกลับขู่ที่จะกวาดล้างสำนักแสงตะวันเสียแล้ว
หรือนี่จะเป็นวิธีการจัดการเรื่องราวของพวกจอมยุทธ์?
กานเซียวซวงและกลุ่มศิษย์หญิงเฝ้ามองหลินเป่ยเฉินด้วยความปลาบปลื้ม
ในสายตาของพวกนาง กู่เทียนเล่อคือยอดวีรบุรุษที่มีจิตวิญญาณผู้กล้าและมีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร
เขาแทบไม่ใช่คนเดียวกับเด็กหนุ่มที่ดื่มกินและหัวเราะเฮฮาอยู่กับทุกคนในโรงเตี๊ยมเมื่อไม่กี่ชั่วครู่ก่อน บัดนี้ กู่เทียนเล่อแสดงความก้าวร้าวกล้าหาญยอมหักไม่ยอมงอ อารมณ์ดุเดือดรุนแรง ชวนให้รู้สึกตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง
หากกานเซียวซวงอยู่ในโลกมนุษย์ยุคปัจจุบัน นางก็จะได้รู้ว่านี่คือบุคลิกของพวกพระเอกในซีรีส์แนวกำลังภายในทั้งนั้น!!
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าคิดจะทำลายสำนักแสงตะวันอย่างนั้นหรือ?” ประมุขตู้กู่ยิ้มเหยียดหยาม ก่อนพูดต่อ “ข้าเองก็อยากเห็นว่าเจ้าจะมีความสามารถหรือไม่”
“ตกลงว่าท่านจะไม่ยอมส่งคนของพวกเรากลับมาสินะ?”
หลินเป่ยเฉินหรี่ตาลง ดวงตาของเขาปรากฏความเย็นชามากขึ้น
“ท่านประมุขขอรับ เหตุไฉนต้องไปต่อล้อต่อเถียงกับเด็กไร้การศึกษาผู้นี้ อนุญาตให้ข้าน้อยจัดการมันเถิด”
เสียงพูดดังขึ้นจากด้านหลังตู้กู่จิงหง แล้วร่างของใครบางคนก็พุ่งเข้ามาแทงกระบี่ใส่หลินเป่ยเฉินด้วยความเร็วไวระดับลำแสง
นี่คือผู้อาวุโสลำดับที่เจ็ดของสำนักแสงตะวัน
คนผู้นี้มีอารมณ์รุนแรง เช่นเดียวกับวิธีการต่อสู้ เมื่อสักครู่เห็นศิษย์ของตนเองอย่างเจิ้งโต้วข่ายถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ จึงโกรธแค้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงของตู้กู่จิงหงที่แข็งกระด้างขึ้นมา ผู้อาวุโสลำดับที่เจ็ดจึงสบโอกาสลงมือ
ถึงหลินเป่ยเฉินจะแสดงพลังที่น่าเกรงขามก่อนหน้านี้ แต่ผู้อาวุโสลำดับที่เจ็ดมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับห้า ซ้ำยังมีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน เขาจึงรู้สึกว่าตนเองแข็งแกร่งไร้เทียมทานและสามารถเอาชนะเด็กหนุ่มได้ไม่ยาก…
แต่ปรากฏว่า…
หลินเป่ยเฉินมีดวงตาเป็นประกายเย็นชาวูบ
“งั้นก็ตายซะ”
เขายกมือโบกสะบัด
เด็กหนุ่มไม่ได้สัมผัสคู่ต่อสู้ในอากาศ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากโบกมือเท่านั้น แต่กลับมีคลื่นพลังรุนแรงพุ่งออกมา
พรึบ!
ร่างกายและกระบี่ยาวของผู้อาวุโสลำดับที่เจ็ดพลันระเบิดกระจายเป็นม่านหมอกเลือด
เศษเสื้อคลุมสีม่วงปลิวโปรยปรายในอากาศ
ตุบ
เศษเลือดเศษเนื้อของผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ระดับห้าตกเกลื่อนพื้นดิน
“นี่มันอะไรกัน?”
เมื่อพวกของตู้กู่จิงหงเห็นเช่นนี้ หัวใจของพวกเขาก็เต้นระทึกรุนแรง
หลินเป่ยเฉินเดินสืบเท้าก้าวออกไปข้างหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หากไม่เป็นมิตรกับข้า ท่านก็ต้องเป็นศัตรู และศัตรูของข้าต้องตายทั้งหมด”
เด็กหนุ่มขยับกายเพียงวูบเดียวก็เข้าประชิดตัวตู้กู่จิงหงได้แล้ว
เขาซัดฝ่ามือออกไปข้างหน้า
คลื่นพลังรุนแรงราวกับกระแสน้ำทั้งมหาสมุทร
ตู้กู่จิงหงรู้สึกได้ถึงพลังกดดันหนักหน่วง ร่างกายของเขาสั่นเทา ดวงตาพร่ามัวเกือบจะหมดสติ บัดนี้ ชายชรารู้แล้วว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอันตรายมากที่สุดในชีวิต ตู้กู่จิงหงระเบิดเสียงคำราม พลังลมปราณพวยพุ่งออกมาจากร่างกาย ก่อเกิดเป็นม่านพลังที่มีเปลวไฟลุกโชนร้อนแรง ในขณะนี้ จ้าวสำนักแสงตะวันกำลังใช้วิชา ‘เทียนไขไฟมังกร’ ออกมา…
แต่ลมหายใจต่อมา
พรึบ!
เปลวไฟที่ลุกโชนสว่างไสวก็ดับวูบไปด้วยฝีมือของหลินเป่ยเฉิน
แม้แต่ม่านพลังเหล่านั้นก็สลายหายไปด้วย
ส่วนตัวของท่านจ้าวสำนักลอยกระเด็นไปทางด้านหลัง กระแทกเข้ากับประตูป้อมปราการอย่างหนักหน่วงรุนแรง
พื้นที่ส่วนหนึ่งของป้อมปราการพังถล่มลงมาเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เศษอิฐ เศษหินและเศษฝุ่นฟุ้งกระจายในอากาศ
ช่องว่างระหว่างพลังของพวกเขาแตกต่างกันมากเกินไป!!!