เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 885 ท่านผู้อาวุโสลู่ล่าย
ตอนที่ 885 ท่านผู้อาวุโสลู่ล่าย
“ท่านประมุข…”
“พวกเรารีบไปดูท่านประมุขเร็วเข้า”
“พวกเราอารักขาท่านประมุข”
ไม่ว่าจะเป็นผู้คุ้มกันหมู่ตึก ผู้อาวุโส ผู้พิทักษ์กฎ หรือศิษย์ในสำนัก เมื่อเห็นร่างของท่านเจ้าสำนักปลิวออกไป ความวุ่นวายก็บังเกิด
หลายคนรีบรุดไปช่วยท่านประมุข
ในขณะที่อีกหลายคนชักกระบี่ออกมาพุ่งเข้าหาหลินเป่ยเฉินด้วยความโกรธแค้น
“ไสหัวไปซะ”
เสียงคำรามของหลินเป่ยเฉินดังปานฟ้าผ่า เขากระทืบเท้าข้างหนึ่งลงไปบนพื้นดิน
ไม่จำเป็นต้องใช้วิทยายุทธ์ใดๆ
แรงกดดันจากพลังลมปราณก็ระเบิดไปรอบทิศทาง
พรึบ!
บรรดาผู้คนที่วิ่งเข้ามาต่างก็กระอักเลือดและลอยกระเด็นออกไป
“มีสวรรค์ให้ขึ้นดันไม่ขึ้น ต้องหาทางลงนรกกันจนได้สิน่า”
หลินเป่ยเฉินเดินไปข้างหน้าด้วยแววตาอำมหิต “ข้าให้โอกาสจ้าวสำนักของพวกเจ้าแล้ว แต่จ้าวสำนักของพวกเจ้ากลับไม่เห็นคุณค่าในความเมตตาของข้า เพราะฉะนั้น นับจากคืนนี้ไป ในนครหลวงจะไม่มีสำนักแสงตะวันอีก”
เด็กหนุ่มไม่ต่างจากปีศาจร้ายที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรก เพียงเขากระทืบเท้าข้างหนึ่งลงไปบนพื้นดินอีกครั้งเท่านั้น พื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง คลื่นพลังสั่นไหวไปยังกลุ่มสมาชิกสำนักแสงตะวัน
กลุ่มคนเหล่านั้นลอยกระเด็นออกไปเหมือนถูกลมพายุหมุนพัดกระหน่ำ โลหิตไหลทะลักออกมาจากปาก แม้แต่กำแพงของป้อมปราการที่ลงค่ายอาคมอย่างดี และมีความแข็งแกร่งไม่ต่างไปจากกำแพงเมือง บัดนี้ พวกมันบางส่วนก็ถึงกับพังถล่มลงมาจากแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้น…
ฝุ่นผงลอยตลบท้องฟ้ายามค่ำคืน
นี่คือความน่ากลัวที่แท้จริงของผู้มีพลังระดับเซียน
หลี่ซิวเยวียนและพรรคพวกเห็นดังนี้ พวกเขาก็ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
ทุกคนทราบดีว่ากู่เทียนเล่อนั้นแข็งแกร่งมาก
แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!!
สำนักแสงตะวันผู้โด่งดัง นับเป็นสำนักยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดในนครหลวง แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้ากู่เทียนเล่อ กลับไม่ต่างไปจากสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง
คืนนี้ สำนักแสงตะวันจะถูกกวาดล้างไปจากนครหลวงจริงๆ หรือ?
มันจะเป็นเช่นนั้นไปได้อย่างไร?
หลี่ซิวเยวียนและพรรคพวกเพียงอยากมาช่วยเหลืออาจารย์ของตนเอง
ไม่ได้มาเพื่อกวาดล้างสำนักสักหน่อย
ดูเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนี้จะผิดเพี้ยนไปจากจุดประสงค์เดิมแล้วกระมัง?
และไม่รู้เพราะเหตุใด ในหัวใจของกานเซียวซวงกลับรู้สึกเศร้าเสียใจขึ้นมาเล็กน้อย
บางทีมันอาจเป็นเรื่องไม่เหมาะสม แต่นางคิดว่าหากกู่เทียนเล่อไม่ได้แข็งแกร่งเช่นนี้ มันก็คงจะดีไม่น้อย
เพราะด้วยความที่เขาแข็งแกร่งมากเกินไป จึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้ามอง
แล้วบุคคลที่มีความยิ่งใหญ่เช่นนี้ จะมาสนใจคนอย่างนางได้อย่างไร?
เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้าในขณะนี้ ทำให้กานเซียวซวงรู้สึกว่าเขาช่างอยู่ห่างไกลเหลือเกิน
วูบ!
กุ้ยลี่ชุนซึ่งเป็นหัวหน้าเวรยามเฝ้าประตูล้มลงร่างกระแทกพื้นหมดสภาพ
เขารีบลุกขึ้นมาสำรวจดูความเรียบร้อยของร่างกาย
หืม?
ทำไมถึงไม่บาดเจ็บเลยนะ?
เมื่อสักครู่ กุ้ยลี่ชุนแน่ใจว่าตนเองถูกพลังลมปราณกระแทกเข้าไปอย่างเต็มที่ เดิมทีเขาคิดว่าชีวิตของตนเองอาจหาไม่แล้วด้วยซ้ำ หรือถึงรอดชีวิตมาได้ ก็สมควรตกอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส
แต่บัดนี้ อย่าว่าแต่จะบาดเจ็บ เสื้อผ้าที่สวมใส่ยังไม่เกิดร่องรอยฉีกขาดแม้แต่น้อย
เกิดอะไรขึ้น?
กุ้ยลี่ชุนมึนงงสงสัย และหันไปมองที่หลินเป่ยเฉินโดยไม่รู้ตัว
หรือว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ตั้งใจไว้ชีวิตเขา?
เพราะอะไร?
กุ้ยลี่ชุนครุ่นคิดด้วยความไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าลงมือทำอะไรอีก
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเยวียนเหวินจวิ้นจะมีลูกศิษย์หรือคนรู้จักที่มีฝีมือแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ และกล้าหาญมากพอที่จะมาช่วยเหลือตนเองออกไปจากสำนักแสงตะวัน
ดูเหมือนครั้งนี้ สำนักแสงตะวันจะเจอปัญหาใหญ่เข้าให้แล้ว
เปรี้ยง!
หลินเป่ยเฉินกระทืบเท้าลงไปบนพื้นดินอีกครั้ง
แล้วหมู่ตึกทุกหลังที่อยู่หลังกำแพงของสำนักแสงตะวันก็พังถล่มลงมาในพริบตาเดียว
ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้อีก
นี่คือภาพแห่งความโกลาหล
ตู้กู่จิงหงมีสภาพเลือดท่วมตัว รีบลนลานคลานออกมาจากใต้เศษซากปรักหักพังด้วยความโกรธแค้นและหวาดกลัว
“อัญเชิญท่านผู้อาวุโสลู่ล่ายขอรับ!”
เขาคำรามเสียงดัง
ในเวลาเดียวกันนั้น…
“ตัวบัดซบผู้ใดกล้าเข้ามาก่อกวนถึงสำนักแสงตะวันของข้า?”
เสียงกังวานของผู้ที่มีอำนาจเปี่ยมล้นดังมาจากส่วนลึกของสำนักแสงตะวัน
ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรี เกิดสายลมกรรโชกรุนแรง
มังกรสีเขียวตัวหนึ่งโบยบินอยู่ในอากาศ
ปรากฏว่ามันคือมวลพลังลมปราณที่รวมตัวกันกลายเป็นรูปทรงมังกรตัวหนึ่ง ซึ่งมีแต่ผู้ที่ใช้พลังปราณธาตุลมเท่านั้นถึงจะสร้างมันขึ้นมาได้
บรรดาลูกศิษย์ของสำนักแสงตะวันรับรู้ได้ถึงพลังกดดันมหาศาล การปรากฏตัวของมังกรลมปราณตัวนี้แทบไม่ต่างไปจากการปรากฏตัวของมังกรจริงๆ มันมีเกล็ดเขียวอยู่เต็มลำตัว สะท้อนประกายระยิบระยับกับแสงดาวบนท้องฟ้า ทำให้ผู้คนไม่กล้าที่จะเงยหน้ามอง
บนแผ่นหลังของมังกรตัวนี้ ยืนไว้ด้วยชายฉกรรจ์ชุดดำคนหนึ่ง
เขาเป็นชายร่างสูง มีหนวดเคราและเส้นผมเป็นสีเหลืองอ่อน
หลินเป่ยเฉินแหงนหน้ามองด้วยความประหลาดใจ
อีกฝ่ายมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย
เพียงนิดเดียวก็จะขึ้นสู่ขอบเขตพลังขั้นเซียนแล้ว
มิน่าเล่า สำนักแสงตะวันจึงกลายเป็นสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในนครหลวง
ที่แท้ก็เพราะมียอดฝีมือคอยหนุนหลังอยู่นี่เอง
ชักน่าสนใจแล้วสิ!
คนที่มีระดับพลังสูงส่งกลับไม่ได้เป็นจ้าวสำนัก แต่กลับปล่อยให้อันธพาลข้างถนนอย่างตู้กู่จิงหงขึ้นเป็นจ้าวสำนักแทน หรือว่าบุคคลผู้นี้ไม่คิดหวังผลในลาภยศสรรเสริญ?
“ท่านผู้อาวุโสลู่ล่าย ได้โปรดจัดการตัวชั่วร้ายผู้นี้ด้วย…”
เมื่อตู้กู๋จิงหงเห็นมังกรสีเขียวปรากฏตัวพร้อมกับชายฉกรรจ์ชุดดำบนแผ่นหลังของมัน เขาก็ร่ำร้องออกมาด้วยความดีใจราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิตของตนเอง “อย่าให้มันทำร้ายเราได้อีก… เอ๊ะ?”
แต่แล้วสีหน้าที่แสดงออกถึงความดีใจของชายชรากลับแปรเปลี่ยนเป็นความตกตะลึง
เพราะเขาเห็นกับตาว่าเด็กหนุ่มผู้สวมใส่หน้ากากเงินดีดกายลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและหมุนตัวตวัดขาเตะใส่ใบหน้าท่านผู้อาวุโสลู่ล่ายได้แม่นยำไม่น่าเชื่อ
ผู้อาวุโสลู่ล่ายซึ่งเป็นคนที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในสำนักของพวกเขา ยังไม่มีเวลาได้พูดประโยคที่สองของตนเองด้วยซ้ำ ท่านก็ถูกเตะร่วงลงมาจากหลังมังกรโดยไม่อาจขัดขืน…
ตู้กู่จิงหงตกตะลึงแทบลืมหายใจ
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
ผู้อาวุโสลู่ล่ายมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย
ต่อให้ไม่สามารถเอาชนะเด็กหนุ่มหน้ากากเงินคนนี้ อย่างน้อยก็สมควรต่อสู้ได้อย่างสูสีไม่ใช่หรือ?
เหตุไฉนถึงพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย?
ตู้กู่จิงหงยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ
ในเวลาเดียวกันนี้ บรรดาผู้คุ้มกันหมู่ตึก ผู้อาวุโสประจำสำนัก ผู้พิทักษ์กฎและเหล่าศิษย์ของสำนักแสงตะวันก็อยู่ในอาการตกตะลึงไม่ต่างกัน
เหตุผลที่สำนักแสงตะวันกลายเป็นสำนักยุทธ์ที่ใหญ่ที่สุดในนครหลวง ก็เพราะมียอดฝีมืออย่างท่านผู้อาวุโสลู่ล่ายคอยหนุนหลัง
แล้วเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
พวกเขาเริ่มสงสัยอยู่ในหัวใจ
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินกระโดดขึ้นไปขี่หลังมังกร ไม่ว่ามังกรพยายามดิ้นรนและสะบัดเขาให้หลุดจากตัวมันมากเท่าไหร่ เจ้ามังกรก็ทำไม่สำเร็จ
“ฮ่าฮ่า ฉันนี่แหละจะเป็นจ้าวมังกรคนต่อไป”
เด็กหนุ่มร้องตะโกนอย่างคึกคัก
วูบ!
ร่างของใครคนหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ตรงเข้าไปหาหลินเป่ยเฉิน
ย่อมต้องเป็นผู้อาวุโสลู่ล่ายที่มีรอยเท้าประทับอยู่บนใบหน้า
หลินเป่ยเฉินปล่อยหมัดออกมาหลายกระบวนท่าในขณะที่ขี่มังกรไปด้วย
ผลั่ก! ผลั่ก! ผลั่ก!
ร่างของผู้อาวุโสลู่ล่ายร่วงหล่นลงมากระแทกพื้นอย่างแรง
“มังกรเขียวเปลี่ยนเป็นกระบี่… ฆ่ามันซะ!”
ลู่ล่ายตะเกียกตะกายขึ้นมาจากหลุมลึกบนพื้นดินและแผดเสียงคำรามใส่ท้องฟ้า
มังกรเขียวแห่งสายลมระเบิดเสียงคำราม ก่อนที่ตัวมันจะกลายร่างเป็นกระบี่สีเขียวขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินดีดตัวลอยขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
คมกระบี่สะบัดวูบฟันเข้าหาเขาอย่างฉับไว
เชี่ย!
หลินเป่ยเฉินอุทานคำหยาบอยู่ในใจด้วยความตกตะลึง
ปรากฏว่ามังกรเขียวที่เขาขี่หลังมันเมื่อสักครู่นี้ ยังสามารถเปลี่ยนร่างเป็นกระบี่ได้อีกด้วย
ให้ตายสิ…
โชคดีที่เขากระโดดขึ้นมารวดเร็วมากพอ
มิฉะนั้นแล้ว คงได้มีเรื่องให้ไปปรึกษากับหลินฮุนและขันทีชราจางเชียนเชียนแหงๆ
เด็กหนุ่มรู้สึกเสียววาบบริเวณหว่างขาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ทันใดนั้น เขายกมือดีดนิ้ว
วูบ!
แต่แล้วกระบี่สีเขียวเล่มนั้นกลับหมุนตัวทำท่าจะบินกลับไปหาผู้อาวุโสลู่ล่าย
“อย่าเพิ่งไปสิมังกรเขียว กลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้”
หลินเป่ยเฉินโคจรพลังปราณธาตุทองคำและพยายามควบคุมกระบี่ที่บินหนีไป
ความเร็วของกระบี่มังกรเขียวลดลงเล็กน้อย หลังจากนั้นมันก็หยุดชะงัก และหันกลับมาทำท่าจะบินเข้ามาอยู่ในมือของหลินเป่ยเฉินโดยไม่สนใจการควบคุมจากผู้อาวุโสลู่ล่าย
“นี่มันอะไรกัน?”
ผู้อาวุโสลู่ล่ายอุทานด้วยความตกตะลึง
กระบี่มังกรเขียวเล่มนี้เป็นผู้อาวุโสลู่ล่ายสร้างมันขึ้นมาเอง สมควรมีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่จะควบคุมได้
แล้วเหตุไฉนเด็กหนุ่มผู้นี้ถึงควบคุมกระบี่ของเขาได้ล่ะ?