เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 890 แล้วจะมีใครเอาชนะข้าได้อีก
ตอนที่ 890 แล้วจะมีใครเอาชนะข้าได้อีก?
วิธีแก้ปัญหานั้นง่ายมาก
ก็แค่ต้องกระจายพลังให้เยอะที่สุด
ว่ากันตามความรู้ของหลินเป่ยเฉินเกี่ยวกับการแชร์สัญญาณไวไฟในโลกมนุษย์ โทรศัพท์หนึ่งเครื่องสามารถกระจายสัญญาณไวไฟได้หลายเครื่องก็จริง แต่ยิ่งกระจายไปหลายเครื่อง ความแรงของสัญญาณก็จะยิ่งอ่อนลงเรื่อยๆ
โทรศัพท์มือถือของยมทูตเครื่องนี้ก็มีลักษณะคล้ายกัน แต่ไม่ว่าอย่างไร หลินเป่ยเฉินก็สมควรจัดระดับผู้ที่จะแบ่งปันพลังให้ดี
ดังนั้น เขาจึงได้ข้อสรุปว่าตนเองจะต้องหาผู้ที่จะมารับสัญญาณไวไฟให้ได้เยอะมากที่สุด
ที่แน่ๆ ก็คืออากวงกับเซียวปิงซึ่งมีระดับพลังสูงล้ำกว่าทุกคน คู่หูหนูคนคู่นี้เมื่อได้รับการแบ่งปันสัญญาณไวไฟไปจากเขา ทั้งสองก็จะต้องมีระดับพลังเทียบเท่ากับผู้ที่อยู่ในขั้นเซียนแน่นอน
เพียงแค่นี้ หลินเป่ยเฉินก็แทบไม่ต้องกลัวใครอีกแล้ว
เด็กหนุ่มคิดด้วยความตื่นเต้น
และสำหรับกลุ่มผู้ติดตามของเขา ต่อให้ทุกคนจะขึ้นไม่ถึงระดับเซียน แต่อย่างน้อยก็สมควรอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายไม่ใช่หรือ?
เมื่อมีมือกระบี่ขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายคอยติดตามหลายสิบคน หลินเป่ยเฉินก็สามารถควบคุมนครหลวงได้ไม่ยากอีกแล้ว!!
“เอาละ เอ๊ะ… เราต้องเรียกใครนะ… เอ่อ เจ้านั่นแหละ ไปตามทุกคนมา บอกว่าข้ามีเรื่องจะให้ทำ”
หลินเป่ยเฉินพูดกับอากาศธาตุที่ว่างเปล่า
เขาไม่จำเป็นต้องพูดชื่อองครักษ์ส่วนตัวออกมา
เพราะเด็กหนุ่มรู้ดีว่าเดี๋ยวจะต้องมีใครบางคนออกมาจากเงามืดแน่นอน
และลมหายใจต่อมา กงกงก็มาปรากฏกายอยู่ข้างตัวเขาจริงๆ “รับทราบขอรับ นายท่าน”
กงกงประสานมือและหมุนตัวออกไปทำตามคำสั่ง
“จี๊ด?”
อากวงแสดงสีหน้ามึนงงสงสัย
บุรุษหนุ่มคนเมื่อสักครู่นี้เป็นใครกันนะ?
เซียวปิงมองกงกงพลางรับประทานน่องไก่ในมือและคิดอะไรบางอย่างอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ล้มเลิกความคิดที่จะอธิบายและรับประทานน่องไก่ต่อไป
เนื่องจากเขาเองก็ไม่รู้คำตอบเช่นกันว่าชายฉกรรจ์หัวจุกคนนั้นเป็นใครกันแน่
หลังจากนั้นไม่นาน
ทุกคนก็มารวมตัวกันที่ลานกว้าง
รวมถึงเฉียนเหมยกับเฉียนเจินผู้ถูกปลุกขึ้นมาจากความหลับใหล
และแน่นอนว่าต้องมีหวังจงที่ยืนสะลึมสะลือคล้ายยังไม่ตื่นเต็มที่
หลินเป่ยเฉินให้คำอธิบายต่อทุกคนเพียงเล็กน้อยและกำลังจะเริ่มการทดลองทันที
กลุ่มผู้ติดตามของเขาไม่ประหลาดใจ
นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาเคยได้รับการแบ่งปันพลังจากหลินเป่ยเฉินมาแล้ว
โดยเฉพาะเฉียนเหมย ดวงตาของนางเป็นประกายสดใส ตาสว่างในไม่กี่ลมหายใจ และนางก็กลับมามีเสน่ห์ของแม่ทัพเฉียนเหมยอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เปิดฟังก์ชันการกระจายสัญญาณไวไฟ
แถวรายชื่อยาวเหยียดปรากฏบนหน้าจอ
เรียงลำดับความซื่อสัตย์จากบนไปล่าง
รายชื่อที่อยู่ด้านบนสุดคือผู้ที่ซื่อสัตย์กับเขามากที่สุด
หลินเป่ยเฉินยิ้มหน้าบาน
เพราะรายชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอขณะนี้มีขีดสัญญาณขึ้นเต็มอัตรา บ่งบอกว่าทุกคนซื่อสัตย์กับเขา 100%
ยกเว้นเพียง…
“อ้าว เฮ้ย? ทำไมถึงหาชื่อหวังจงไม่เจอนะ?”
หลินเป่ยเฉินไถรายชื่อดูอีกรอบ แต่ก็ยังหาชื่อของหวังจงไม่เจออยู่ดี
ไม่น่าเป็นไปได้
คนรับใช้ชราผู้นี้ร่วมเป็นร่วมตายกับหลินเป่ยเฉินมานานมากกว่าทุกคน
แต่กลับไม่ศรัทธาในตัวเขาเลยอย่างนั้นหรือ?
หรือว่าหวังจงคิดจะทรยศ?
เฮอะ
นี่เขาเลี้ยงคนทรยศเอาไว้ข้างกายเหรอเนี่ย?
หลินเป่ยเฉินหันหน้ามามองหวังจงตั้งแต่หัวจรดเท้า
เสี่ยวจี้เคยให้ข้อมูลเอาไว้ว่าระดับของขีดสัญญาณนั้น นอกจากบอกถึงระยะห่างและความซื่อสัตย์แล้ว ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยคือ…
ผู้ที่เป็นตัวรับสัญญาณต้องมีระดับพลังอยู่ในขอบเขตที่โทรศัพท์มือถือสามารถตรวจพบได้
หรือว่าหวังจงจะมีระดับพลังสูงล้ำเกินไปจนโทรศัพท์มือถือตรวจหาไม่เจอ…
เดี๋ยวสิ!
นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้ไปกันใหญ่!!
หวังจงจะเป็นยอดฝีมือไปได้อย่างไร?
ชักจะไม่ชอบมาพากลซะแล้ว
หลังจากนี้ คงต้องจับตาดูหวังจงสักหน่อย
“นายน้อยขอรับ นายน้อย?”
หวังจงยิ้มร่าและเอนตัวเข้ามาถามว่า “นายน้อยเป็นอะไรไปหรือขอรับ?”
สิ่งที่ชายชราอยากถามก็คือนายน้อยปลุกทุกคนขึ้นมากลางดึกเพื่อที่จะมายืนจ้องมองเขาเฉยๆ อย่างนี้ นั่นหมายความว่าอาการทางสมองของนายน้อยกำเริบอีกแล้วใช่หรือไม่?
“ถอยไป เจ้าเศษสวะ”
หลินเป่ยเฉินยกเท้าถีบก้นของหวังจง
หวังจงร้องครางด้วยความถูกใจก่อนจะเซถลาถอยออกไป
ไม่กี่อึดใจต่อมา หลินเป่ยเฉินก็คัดเลือกรายชื่อผู้ติดตามมาทั้งหมดหลายสิบคน ไม่ว่าจะเป็นเฉียนเหมย เฉียนเจิน กงกง เซียวปิงและสมาชิกหน่วยผู้พิทักษ์สีเงิน หลังจากนั้น เขาก็กดเชื่อมต่อสัญญาณไวไฟให้กับทุกคนในเวลาเดียวกัน
“อ๊าาา…”
“อู้ววว์…”
“โอ๊ววว…”
เสียงครางกระเส่าดังขึ้นในลานกว้างหน้าจวนที่พัก
หลินเป่ยเฉินเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงของทุกคนด้วยหัวใจเต้นระทึก
เด็กหนุ่มกำลังสังเกตดูว่าหากมีใครสักคนทนรับพลังไม่ไหว เขาก็จะกดตัดสัญญาณทันที
โชคดีที่ทุกอย่างดำเนินไปราบรื่น
หลังส่งเสียงครางและหอบหายใจหนักหน่วง สุดท้ายทุกคนก็กลับมามีอาการเป็นปกติอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ดูเหมือนหลังจากที่โทรศัพท์ได้รับการอัปเกรดแล้ว การทำงานหลายส่วนจะมีประสิทธิภาพขึ้นจริงๆ อย่างเช่นการกระจายสัญญาณไวไฟในครั้งนี้ มันไม่ได้แบ่งพลังให้กับทุกคนเท่ากันหมด แต่โทรศัพท์จะแบ่งให้ตามระดับพลังของผู้รับในสัดส่วนที่ไม่เป็นอันตราย… ฮื่อ สุดยอดอะไรอย่างนี้!”
หลินเป่ยเฉินคิดอย่างมีความสุข
เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรที่เขาต้องกลัวแล้วจริงๆ
หลินเป่ยเฉินสังเกตระดับพลังของทุกคนด้วยความระมัดระวัง
เป็นไปตามคาด เซียวปิงกับอากวงมีความแข็งแกร่งมากที่สุด ระดับพลังเพิ่มขึ้นมาเทียบเท่ากับผู้ที่อยู่ในขั้นเซียน
ตามมาด้วยเฉียนเหมยกับเฉียนเจิน
อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย
แต่ที่ทำให้หลินเป่ยเฉินแปลกใจก็คือกงกง
เพราะชายฉกรรจ์คนนี้ก็อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายเช่นกัน
ทางด้านสมาชิกของหน่วยผู้พิทักษ์สีเงิน ทุกคนอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับหก ระดับเจ็ด และระดับแปดเฉลี่ยกันไป
“อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า… คิกคิกคิกคิก”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นเสยผมอย่างวางมาด จากนั้นจึงเงยหน้ามองท้องฟ้าและระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย “ถามหน่อยเถอะ แล้วจะมีใครเอาชนะข้าได้อีก? มีใครบ้างที่จะกล้ามามีปัญหากับข้าในนครหลวงแห่งนี้? ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
แย่แล้ว
นายน้อยอาการกำเริบอีกแล้วสิ
นั่นคือสิ่งที่ทุกคนคิดอยู่ในใจ
…
อีกหนึ่งวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัว
ฉู่เหินและคณะยังคงหายไป
ยังไม่มีข่าวคราวส่งกลับมาจากมณฑลเฟิงอวี่
ดังนั้น จึงไม่มีใครรู้เลยว่าคณะของอาจารย์ฉู่เหินเดินทางกลับไปถึงที่นั่นแล้วหรือยัง
หลินเป่ยเฉินใช้เวลาทั้งวันหมดไปกับการฝึกวิชาและพาสองสาวรับใช้เฉียนเหมยกับเฉียนเจินเข้าไปซื้อของและรับประทานอาหารตามโรงเตี๊ยมชื่อดังที่อยู่ในนครหลวง
นครหลวงมีทิวทัศน์ตระการตา หลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นของขึ้นชื่อตามมณฑลใหญ่ๆ ในจักรวรรดิเป่ยไห่ ก็สามารถพบเจอได้ที่นครหลวงแห่งนี้
แม้แต่แผงขายอาหารข้างทางก็ยังมีรสชาติอร่อยเลิศล้ำ
หลังเดินเที่ยวชิมอาหารอยู่นานสองนาน สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ผันตัวกลายเป็นยูทูบเบอร์
อุตสาหกรรมการถ่ายทอดสดในนครหลวงมีความล้ำหน้ามากกว่ามณฑลเฟิงอวี่หลายเท่า ที่นี่มีค่ายอาคมถ่ายทอดสดรองรับอยู่ทุกจุดของตัวเมือง และสมาคมผู้ใช้ค่ายอาคมแห่งนครหลวงก็มีความเจริญเติบโตเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ เห็นได้ชัดว่าสิ่งของที่ได้รับความนิยมในนครหลวง ต่างก็เป็นกระแสส่งต่อมาจากจักรวรรดิอื่นๆ ทั้งสิ้น
นี่จึงหมายความว่าจักรวรรดิเป่ยไห่เริ่มเปิดรับวัฒนธรรมของจักรวรรดิอื่นๆ เข้ามามากขึ้น
หลินเป่ยเฉินก็เข้าร่วมในธุรกิจการถ่ายทอดสดเช่นกัน
เพราะมันเป็นธุรกิจที่สามารถทำเงินได้ก้อนโต
หลังจากศึกษาวงการสตรีมเมอร์ในนครหลวงอย่างละเอียดอยู่หลายชั่วยาม เด็กหนุ่มก็สั่งอุปกรณ์การถ่ายทอดสดมาเป็นเงินถึง 1,000 เหรียญทองคำและเริ่มเปิดรายการของตนเองโดยใช้ชื่อว่า ‘ตามติดชีวิตหนุ่มหล่ออันดับหนึ่งแห่งนครหลวง’ และเริ่มต้นถ่ายทอดสดรายการของตนเองตอนแรกระหว่างการรับประทานอาหารในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง…
นี่ไม่ใช่สิ่งที่หลินเป่ยเฉินจะทำเล่นๆ
เขาวางแผนที่จะทำจริงจัง
เด็กหนุ่มมั่นใจว่าด้วยทักษะการดำรงชีวิตจากยุค 5G ในโลกมนุษย์ เขาย่อมมีความได้เปรียบบรรดาผู้คนในโลกแห่งวรยุทธ์อยู่พอสมควร เด็กหนุ่มจะเอาวิธีคิดผลิตรายการของคนยุคใหม่มาบดขยี้วิธีคิดของพวกจอมยุทธ์เหล่านี้ให้ได้ สำหรับเงิน 1,000 เหรียญทองคำที่ลงทุนไปนั้น หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าเขาจะต้องถอนทุนกลับคืนมาได้ในเวลาอันสั้น และยังมีฐานแฟนคลับเพิ่มขึ้นมากมายมหาศาลอีกด้วย!!
แต่ใครจะไปคิดเลยว่าหลังทำรายการอยู่สองวัน กลับไม่มีใครดูรายการของหลินเป่ยเฉินเลยสักคน
ล้มเหลวไม่เป็นท่า
“ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้นะ…”
หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
และวันที่สาม เด็กหนุ่มก็ลองให้เฉียนเหมยกับเฉียนเจินมานั่งอยู่ในรายการด้วยเช่นกัน เพียงเท่านั้นเอง ยอดคนดูกลับพุ่งขึ้นสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มิหนำซ้ำ หลินเป่ยเฉินยังได้รับการติดต่อว่าจ้างจากโรงเตี๊ยมชื่อดังหลายแห่งให้ไปช่วยถ่ายทำรายการอีกด้วย
ฮึ่ย!
นี่มันยุคผู้หญิงเป็นใหญ่จริงๆ
หนุ่มหล่อขายไม่ได้อีกแล้ว
เจ้าผู้คนในนครหลวงพวกนี้ช่างตื้นเขินกันเสียจริง
คุณชายหลินอดบ่นอยู่ในใจไม่ได้
แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
ในที่สุด การถ่ายทอดสดของเขาก็เริ่มมีรายได้เข้ามาบ้าง
รายได้นั้นเพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน
โดยเฉพาะหลังจากที่เฉียนเหมยกำลังถ่ายทอดสดพาคนดูไปรับชมการเลือกซื้อเสื้อผ้า นางพบเจอชายฉกรรจ์กำลังลวนลามสตรีผู้หนึ่งจึงยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ และสั่งสอนชายฉกรรจ์คนนั้นจนฟกช้ำดำเขียวไปทั้งตัว แม้อีกฝ่ายจะอ้างตัวว่าเป็นบุตรชายของขุนนางระดับสูง แต่เฉียนเหมยก็ไม่เบามือแม้แต่น้อย เหตุการณ์นี้เองที่ทำให้รายการ ‘ตามติดชีวิตหนุ่มหล่ออันดับหนึ่งแห่งนครหลวง’ โด่งดังเป็นพลุแตก
หลินเป่ยเฉินเฝ้ามองสองสาวรับใช้ของตนเองราวกับกำลังมองเครื่องปั๊มเงิน
นี่แหละสิ่งที่เขาต้องการ
หลังจากเลี้ยงดูพวกนางนานหลายเดือน ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็สามารถหาประโยชน์จากเฉียนเหมยกับเฉียนเจินได้สักที พวกนางมีหน้าตาสวยงาม กิริยาวาจาอ่อนหวาน แต่กลับมีฝีมือการต่อสู้สูงส่ง จิตใจโอบอ้อมอารี เล่นเครื่องดนตรีได้ทุกชนิด สามารถคัดตัวอักษรได้อย่างสวยงาม ฝีมือการทำอาหารยิ่งไม่มีใครเทียบเคียง
เหอเหอเหอ
สมบูรณ์แบบที่สุด
ความสามารถเหล่านี้ใช้หาเงินได้อีกเยอะเลยเชียว
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจให้สองสาวรับใช้ทำรายการเป็นของตนเอง อย่างน้อยก็ต้องถ่ายทอดสดวันละครั้งให้ผู้คนติดตาม
หรือถ้าวันไหนคิดคอนเทนต์ไม่ออกจริงๆ หลินเป่ยเฉินก็วางแผนเอาไว้แล้วว่าเขาจะปลอมตัวเป็นคนร้าย ให้พวกนางทุบตีเรียกเรตติ้งคนดู
เพียงพริบตาเดียว วันที่สามก็กำลังจะผ่านไป
องค์ชายเจ็ดผู้คอเอียงแวะมาหาเด็กหนุ่มที่จวนซางจั้วหยวนอีกครั้ง
“ข้ามีข่าวมาบอกเจ้าสามข่าว เป็นข่าวดีหนึ่งข่าวร้ายสอง ไม่ทราบว่าน้องหลินอยากจะรับทราบข่าวใดก่อนกัน?”
องค์ชายเจ็ดจิบน้ำชาและถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง