เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 925 ความแข็งแกร่งที่แท้จริง
ตอนที่ 925 ความแข็งแกร่งที่แท้จริง
“พวกเราจะปล่อยกบฏแผ่นดินออกมาได้อย่างไร”
“ฝ่าบาทต้องไม่เห็นด้วยแน่นอน!”
“เจ้าเป็นใครถึงกล้ามาแอบอ้างใช้นามของฝ่าบาท?”
“วันนี้เราขอยืนเคียงข้างท่านเสนาบดีไต้ ต่อให้พวกเราต้องตกตายตามกันไป ก็ขอยืนหยัดเคียงข้างกรมมือปราบไม่หน่ายหนี”
“พวกเรายอมตายดีกว่ายอมปล่อยกบฏแผ่นดินออกมา”
ผู้คนในกลุ่มชาวเมืองตะโกนปลุกปั่น หลังจากนั้น ผู้ชุมนุมก็มีอารมณ์ร่วมไปในทิศทางเดียวกัน
ไต้อวี่เต๋อเห็นดังนั้นก็แอบยิ้มอยู่ในใจ
พวกที่ชอบอ้างตัวว่าเป็นผู้รักในความยุติธรรมนั้นมักจะมีจิตใจโลเลเสมอ
กลุ่มคนเหล่านั้นหลงเข้าใจผิดคิดว่าตนเองเป็นคนดีเลิศประเสริฐศรี แต่หารู้ไม่เลยว่าล้วนแต่เป็นลูกแกะน้อยให้คนอื่นหลอกใช้ทั้งสิ้น
เมื่อมีเสียงตะโกนจากคนจำนวนมาก บรรดาชาวเมืองที่ยังมึนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะนี้ก็ถึงกับเปลี่ยนความตั้งใจเดิมและหันไปจ้องมองที่หลินเป่ยเฉินด้วยแววตาโกรธแค้นขึ้นมาแล้ว
“ฮ่าฮ่าฮ่า เห็นไหมว่าชาวเมืองรักในความยุติธรรมขนาดไหน”
ไต้อวี่เต๋อระเบิดเสียงหัวเราะ จ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าคือกู่เทียนเล่อใช่หรือไม่? เจ้าคิดว่าตนเองจะปิดบังตัวตนที่แท้จริงไปได้อีกนานสักเท่าไหร่?”
หลินเป่ยเฉินจ้องมองลงไปด้วยแววตาเป็นประกาย
ไต้อวี่เต๋อตะโกนออกมา “ยังไม่ยอมสารภาพอีกหรือ? หลินเป่ยเฉิน เจ้าจะเสแสร้งแกล้งปลอมตัวไปถึงเมื่อไหร่?”
บังเกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นในจัตุรัสอีกครั้ง
กลุ่มคนที่กำลังส่งเสียงตะโกนเมื่อสักครู่พลันหยุดชะงักลง
หลินเป่ยเฉิน?
หลินเป่ยเฉิน วีรบุรุษแห่งประเทศชาติ?
จะเป็นเขาไปได้อย่างไร?
สายตาของผู้คนนับไม่ถ้วนจ้องมองไปยังเด็กหนุ่มชุดขาวผู้ยืนอยู่บนหัวไหล่ของรูปปั้นเทพีกระบี่
ริมฝีปากของหลินเป่ยเฉินบิดตัวเป็นรอยยิ้ม
เขาค่อย ๆ ปลดหน้ากากลงมา
เผยให้เห็นถึงใบหน้าที่หล่อเหลา
“เป็นหลินเป่ยเฉินจริง ๆ ด้วย!”
“เป็นเขาไปได้อย่างไร?”
“นี่มัน… ทำไมวีรบุรุษแห่งแผ่นดินถึงต้องช่วยเหลือสํานักแสงตะวันด้วย?”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เหล่าเจ้าหน้าที่ผู้อยู่ในลานจัตุรัสอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงและลังเลใจ
เรื่องราวนี้ไปไกลเกินกว่าที่พวกเขาคาดคิด จึงทำให้ผู้คนตั้งสติไม่ทัน
“ฮ่า ๆๆ วีรบุรุษแห่งแผ่นดินอย่างนั้นหรือ?”
เสียงหัวเราะของไต้อวี่เต๋อดังก้องกังวานไปทั่วผืนฟ้า “เหลวไหล วีรบุรุษแห่งแผ่นดินก็เป็นเพียงภาพลักษณ์จอมปลอมเท่านั้น ตัวจริงของหลินเป่ยเฉินคือคนขี้ขลาดที่ทรยศประเทศชาติ แล้วเขาจะเป็นวีรบุรุษแห่งแผ่นดินได้อย่างไร?”
ไต้อวี่เต๋อหันกลับไปหากลุ่มผู้ชุมนุมและตะโกนว่า
“เขาคือคนที่อยู่เบื้องหลังการยกมณฑลเฟิงอวี่ให้แก่ชาวทะเล”
“เขาคือคนที่ทำให้นครเจาฮุยต้องพ่ายแพ้”
“เขาคือคนที่ทำให้ชาวเป่ยไห่ต้องล้มตายนับล้านคนด้วยฝีมือของชาวทะเล”
“แล้วในสายตาของพวกท่าน บุคคลนี้สมควรถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษแห่งแผ่นดินหรือ?”
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกท่านได้รับทราบ เป็นพวกท่านเห็นเองกับตา หรือได้รับฟังจากการโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มศิษย์สำนักศึกษาเมื่อวันก่อน?”
“และแกนนำผู้ชุมนุมในวันนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเยวียนเหวินจวิ้น เยวียนหนง ตู้กู่อู๋อิง หลี่ซิวเยวียนและคนอื่น ๆ ที่ถูกจับกุมตัว ตัวตนของพวกเขาคือใครกันแน่? เพียงเท่านี้ยังไม่ชัดเจนอีกหรืออย่างไร?”
“พวกเขาล้วนทำงานรับใช้สำนักแสงตะวัน”
“เยวียนเหวินจวิ้นเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะสุดยอดสุภาพบุรุษแห่งนครหลวง แต่บุตรชายของเขาผู้เป็นหนึ่งในสุดยอดมือกระบี่รุ่นใหม่แห่งนครหลวงและบุตรสาวของคนทรยศตู้กู่จิงหงแห่งสำนักแสงตะวันกำลังจะแต่งงานกัน…”
“นี่ย่อมเป็นการควบรวมอำนาจใช่หรือไม่?”
“พวกเขาอาศัยความยิ่งใหญ่ของสำนักแสงตะวันก่อการโฆษณาชวนเชื่อให้แก่หลินเป่ยเฉิน เปลี่ยนแปลงคนทรยศให้กลายเป็นวีรบุรุษแห่งแผ่นดิน หลอกลวงให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์หลงเชื่อ!”
“บัดนี้ เด็กหนุ่มจอมโฉดชั่วกลับนำป้ายอาญาสิทธิ์คิดช่วยเหลือตู้กู่อู๋อิงและพรรคพวกสำนักแสงตะวันให้พ้นผิด นี่จึงเป็นการเปิดเผยความจริงแล้วกระมัง?”
“เขา หลินเป่ยเฉิน คือคนทรยศไร้ยางอายที่สุดแห่งแผ่นดิน พวกท่านถูกเขาหลอกลวงแล้ว!”
เสียงตะโกนของไต้อวี่เต๋อดังกังวานไปทั่วทุกมุมของจัตุรัส
ถึงกับดังไกลไปรอบ ๆ บริเวณใกล้เคียง
ชาวเมืองที่อยู่ในลานจัตุรัสตกตะลึง
ตอนแรกพวกเขามึนงง ต่อมาจึงโกรธแค้น ถ้อยคำหยาบคายดังขึ้นมาด้วยความดุเดือดตามสภาพอารมณ์ของคนพูด…
“พวกเราโดนหลอก”
“สำนักแสงตะวันช่วยเหลือกบฏ กบฏสมควรถูกประหารชีวิต”
“หลินเป่ยเฉินเป็นจอมโกหก”
“หลินเป่ยเฉินเป็นกบฏแผ่นดิน”
“เขากล้าดีอย่างไรถึงคิดมาช่วยเหลือพวกสำนักแสงตะวัน?”
“ฆ่าเขาเลยดีกว่า”
บังเกิดเสียงตะโกนดังขึ้นจากกลุ่มชาวเมืองฟังไม่ได้ศัพท์ แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนเลยก็คือทุกคนกำลังจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินด้วยความโกรธแค้น เกลียดชัง เหยียดหยาม อาฆาต ราวกับว่าต้องการจะสังหารเขาด้วยมือของตนเอง
สถานการณ์กลับพลิกตาลปัตร
“เราจะทำอย่างไรดี?”
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยหันมองหน้ากันด้วยความวิตกกังวล
กลยุทธ์การใส่ความของอีกฝ่ายร้ายกาจมากเกินไป
ถึงกับยัดเยียดข้อหากบฏแผ่นดินให้แก่สำนักแสงตะวันแล้ว
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยย่อมรู้ว่าความจริงคืออะไร
แต่หากพูดออกไปจะมีใครเชื่อหรือไม่?
พวกเขาจ้องมองไปที่หลินเป่ยเฉิน
และหลินเป่ยเฉินก็ให้คำตอบกลับมาทันที
“นานแล้วที่ข้าไม่ได้โปรยทาน”
เขายิ้มอย่างชั่วร้ายและแบมือออกมาข้างหน้า
เหรียญทองคำ 66 เหรียญปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มสะบัดมือ
วูบ!
เหรียญทองคำเหล่านั้นถูกโปรยลงไปสู่กลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่ด้านล่าง
หลินเป่ยเฉินคิดจะใช้เงินทองซื้อใจผู้คนหรืออย่างไร?
มันจะได้ผลจริงหรือ?
หากไม่มีใครสนใจเหรียญทองคำของเขาเล่า?
อีกอย่าง เขาโปรยลงไปแค่ 66 เหรียญเท่านั้น
ความผิดหวังปรากฏขึ้นในจิตใจของหลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
ทันใดนั้น…
วูบวูบวูบ!
เหรียญทองคำที่กำลังร่วงหล่นลงไปในอากาศกลับเพิ่มความเร็วมากขึ้น
คล้ายกับว่าพวกมันถูกควบคุมด้วยพลังอะไรบางอย่าง
เหรียญทองคำที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความร่ำรวย อยู่ดี ๆ ก็พุ่งตัวแหวกอากาศ เพิ่มความรวดเร็วรุนแรงในการทะยานไปข้างหน้า
สุดท้าย เหรียญทองคำ 66 เหรียญก็กลายเป็นลำแสงทองคำ 66 สาย พวกมันพุ่งเข้าหากลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่หน้ารูปปั้นเทพีกระบี่ด้วยความรวดเร็วราวกับวิหคทองคำ
นี่คืออิทธิฤทธิ์ของพลังปราณธาตุทองคำ
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ใช้ความสามารถนี้มานานแล้ว แต่ทุกครั้งที่เขาใช้ความสามารถนี้ออกมา หลินเป่ยเฉินจะรู้สึกดีเสมอกับการได้ ‘สังหารศัตรูด้วยเงินตรา’ อย่างแท้จริง
ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือทักษะที่ยากต่อการเลียนแบบ
ฟู่! ฟู่!
โลหิตสาดกระจายในอากาศ
ชาวเมืองที่ส่งเสียงตะโกนอย่างดุเดือดเมื่อสักครู่นี้ถูกเลือดสด ๆ สาดกระเซ็นใส่ใบหน้า ก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเขายกมือขึ้นมา
สายตามองเห็นแต่สีแดงสด
เลือด!
เลือดมนุษย์!!
หลังจากที่ความเงียบปกคลุมบรรยากาศอยู่ครู่หนึ่ง เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจก็ดังขึ้นจากกลุ่มฝูงชน
พวกเขาเห็นกับตาว่าเหรียญทองคำเหล่านั้นพุ่งทะลวงศีรษะของผู้คนจำนวนมากในลานจัตุรัส โลหิตและเศษสมองล้วนกระจัดกระจายเปรอะเปื้อนใบหน้าของผู้ที่ยืนอยู่ข้างเคียง
และแทบจะในเวลาเดียวกันนี้ ผู้คนจำนวน 66 คนที่ส่งเสียงตะโกนปลุกระดมชาวเมืองต่างก็ศีรษะระเบิดกระจายคล้ายเป็นผลแตงโมที่ถูกมือปืนซุ่มยิง
เสียงกรีดร้องดังระงม
ความหวาดกลัวแพร่กระจายราวกับเชื้อโรคร้าย
ผู้ชุมนุมวิ่งหนีด้วยความแตกตื่นโกลาหล
ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าเด็กหนุ่มผู้ยืนอยู่บนรูปปั้นเทพีกระบี่นั้นจะสามารถสังหารชาวเมืองได้อย่างหน้าตาเฉย
เสียสติ
โฉดชั่ว
ความสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ผู้คนอีกส่วนหนึ่งที่ยังอยู่ในลานจัตุรัสตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก
ไม่มีใครคิดเลยว่าการร่วมตะโกนสาปแช่งกบฏแผ่นดินจะทำให้บางคนต้องถึงแก่ความตาย
แม้แต่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์จิตใจห้าวหาญเมื่อเห็นศพคนตายบนพื้นดิน พวกเขาก็ต้องรีบยกมือกุมศีรษะด้วยความหวาดกลัวเหรียญทองคำมรณะเหล่านั้น
ในเวลาเดียวกันนี้
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยผู้ยืนอยู่บนหัวไหล่ของรูปปั้นเทพีกระบี่ก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน
พวกเขาหันไปมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ
ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตาม การสังหารชาวเมืองผู้บริสุทธิ์คือสิ่งต้องห้ามเสมอ
ถึงจะเป็นคำสั่งจากองค์จักรพรรดิ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ทำอย่างเปิดเผยไม่ได้เด็ดขาด
“พวกที่ตายไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา”
หลินเป่ยเฉินกระซิบออกมาแผ่วเบา
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยหยุดชะงักและเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง
เหนืออื่นใด พวกเขาทั้งสองไม่ใช่ลูกศิษย์สำนักศึกษาทั่วไป แต่เป็นถึงแกนนำกลุ่มผู้ประท้วง มีประสบการณ์ในการควบคุมผู้คนมากมาย สุดท้ายย่อมมองออกถึงนัยยะที่ซ่อนเร้นแอบแฝง
“ทั้ง 66 คนนั้นเป็นสายลับอย่างนั้นหรือ?”
หลี่ซิวเยวียนถามออกมาด้วยความไม่แน่ใจ
สายลับที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม มีหน้าที่ปลุกระดมเพื่อปั่นป่วนสถานการณ์
หลายครั้งที่การชุมนุมก่อนหน้านี้ พวกเขาถูกทางการส่งสายลับเข้ามาแอบแฝงอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุมและขบวนผู้ประท้วงก็ต้องได้รับความเสียหายจากลูกไม้นี้มามากมายแล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่พูดอะไรออกมาอีก
เขาจ้องมองไปที่ไต้อวี่เต๋อ
ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยจิตสังหาร
เสนาบดีแห่งกรมมือปราบก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน
ไต้อวี่เต๋อแสยะยิ้มออกมาด้วยความชอบใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน
“เจ้าเหิมเกริมถึงกับสังหารชาวเมืองผู้บริสุทธิ์เชียวหรือ?”
ไต้อวี่เต๋อพยายามกลั้นหัวเราะ สีหน้าแสดงออกชัดเจนถึงความชั่วร้ายขณะตะโกนว่า “พฤติกรรมของเจ้าเมื่อสักครู่นี้ถูกบันทึกลงไปในศิลาบันทึกภาพเรียบร้อยแล้ว มันจะกลายเป็นหลักฐานเอาผิดเจ้าในภายหลัง ต่อให้เจ้ามีป้ายอาญาสิทธิ์เก้ากระบี่ทองคำแล้วจะเป็นเช่นไร? องค์จักรพรรดิไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้อีกต่อไปแล้ว…”
ฆ่าอีก
ฆ่าคนให้มากกว่านี้อีก
ยิ่งฆ่าเยอะเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น!
เป็นไปตามคาด กลยุทธ์ที่ไต้อวี่เต๋อวางเอาไว้ใช้ได้ผลกับหลินเป่ยเฉินทุกประการ