เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 927 คบหามิตรสหายฝีมือสูงส่ง
ตอนที่ 927 คบหามิตรสหายฝีมือสูงส่ง
บัดนี้ ไต้อวี่เต๋อคิดว่าตนเองตาฝาด
เขาถึงกับข่มความเจ็บปวด ยกมือที่เป็นบาดแผลฉกรรจ์ขึ้นมาปาดเลือดออกไปกับดวงตา
ใช่แล้ว จมูกหัก ใบหน้าบวมช้ำไม่ต่างจากหัวหมูไหว้เจ้า ผู้ที่กำลังนั่งหมอบกราบอยู่บนพื้นดินไม่ต่างไปจากสุนัขตัวหนึ่ง คือคุณชายจูจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางนั่นเอง
เป็นเขาจริง ๆ !
ช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว
ข้างกายคุณชายจูก็ยังมีคุณชายเกออู๋โหยวศิษย์เอกของ ‘ผู้ดูแล’ เจดีย์เซียนเหยียบเมฆ ขณะนี้ เด็กหนุ่มก็กำลังยืนกลั้นหายใจ ก้มหน้ามองพื้นห้อง ไม่กล้าส่งเสียงคำใด ไม่ต่างจากศิษย์น้องที่ถูกศิษย์พี่สั่งลงโทษให้ยืนอยู่เฉย ๆ ห้ามขยับเขยื้อน
เรื่องราวเป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
บุคคลทั้งสองท่านนี้มีระดับฝีมือไม่ธรรมดา
โดยเฉพาะคุณชายจู เขาเป็นถึงผู้มีพลังขั้นเซียน
แล้วทำไมถึงเป็นเช่นนี้ไปได้ ?
ไต้อวี่เต๋อรู้สึกเวียนหัวตาลายคล้ายกับจะเป็นลม
ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะเงินเหล่านั้นมีพลังเพียงขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย ย่อมไม่สามารถรับมือกับผู้มีพลังระดับเซียนได้เด็ดขาด
หรือว่ายังมีคนอื่นอยู่ที่นี่อีก ?
ไต้อวี่เต๋อกวาดสายตาสำรวจมองรอบห้องสอบสวน
แล้วเขาก็ได้เห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อ
หนูอสูรหางกุดขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง มันกำลังถือแส้หนังอยู่ในมือ ดวงตาจ้องมองไปยังคุณชายจูและคุณชายเกออู๋โหยวด้วยความดุร้าย คล้ายกับว่าต้องการระบายความโกรธแค้นของตนเองทั้งหมดลงไปที่บุคคลทั้งสองนี้
เพี๊ยะ !
มีความสุข
เจ้าหนูอสูรหางกุดยิ้มออกมาพลางฟาดแส้ใส่แผ่นหลังของคุณชายจู
ผู้ถูกโบยตีไม่แสดงท่าทีขัดขืน
ไต้อวี่เต๋อจ้องมองจนดวงตาแทบหลุดออกจากเบ้าแล้ว
นี่มัน…
คุณชายจู…
โดนหนูตัวนี้…
โบยแส้ ?
เจ้าหนูตัวนี้ยิ่งใหญ่มาจากไหน ?
เดี๋ยวก่อนนะ นี่มันไม่ถูกต้อง
บนใบหน้าของคุณชายจูมีรอยกำปั้นคนอย่างชัดเจน
เป็นรอยกำปั้นของผู้ใด ?
รอบดวงตาของคุณชายจูปรากฏรอยหมัดทั้งสองข้าง และสองแก้มก็ปรากฏรอยฝ่ามืออย่างชัดเจน… ลักษณะของรอยกำปั้นและรอยฝ่ามือเหล่านั้น บ่งบอกว่าเจ้าของฝ่ามือและกำปั้นนั้นน่าจะเป็นสตรีกระมัง ?
“นายท่านมาแล้ว อิอิ ภารกิจสำเร็จแล้วเจ้าค่ะ…”
เสียงใสปานระฆังดังขึ้นทำให้บรรยากาศสดใสในพริบตา
ไต้อวี่เต๋อหันหน้าไปมองทางต้นเสียง
และเขาก็ได้พบเข้ากับเด็กสาวหน้าตางดงามผิวพรรณผุดผ่องผู้หนึ่งรีบวิ่งปราดเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินด้วยท่าทางที่ทรงเสน่ห์
เด็กสาวนางนี้มีความงดงามมากเกินไป
ดูเหมือนว่า… นางคงเป็นสาวรับใช้ประจำตัวหลินเป่ยเฉินที่มีนามว่าเฉียนเหมย ?
นางก็มีวิทยายุทธ์เช่นกันหรือ ?
ไต้อวี่เต๋อมึนงงสงสัย
หลินเป่ยเฉินบีบสองแก้มของเฉียนเหมยจนนางปากจู๋ไม่ต่างไปจากปลาทองตัวหนึ่ง หลังจากนั้น เขาถึงได้ลูบแก้มนางอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันกลับมานั่งยอง ๆ อยู่ข้างกายจูจวิ้นหลาน
“นี่พวกเจ้าชักร้ายกาจเกินไปแล้วนะ กล้าดีอย่างไรถึงได้ลงมือต่อคุณชายจูรุนแรงขนาดนี้ เห็นเขาเป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่งหรืออย่างไร! คุณชายจูเป็นคนใหญ่คนโตจากจักรวรรดิต้าเกี๋ยนเชียวนะ เช่นนี้เขาจะไม่อับอายแย่เลย ?”
“ชายผู้นี้เป็นคนไม่ดี สมควรได้รับการสั่งสอนเจ้าค่ะ”
เฉียนเหมยรีบดึงแขนเสื้อของตนเองลงและแลบลิ้นใส่นายท่านแผล่บหนึ่งด้วยความยียวน ก่อนจะอธิบายด้วยน้ำเสียงออดอ้อนว่า “ดังนั้น ข้าน้อยจึงต้องใช้ไม้แข็งสักหน่อย”
เมื่อไต้อวี่เต๋อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวมากขึ้น
อารมณ์ดีกันจริง ๆ เชียว
เด็กสาวนางนี้เป็นผู้สั่งสอนคุณชายจูอย่างนั้นหรือ ?
ช่างโอหังเกินไปแล้ว !
“นายท่านเจ้าคะ ครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดของเฉียนเหมย เป็นชายผู้นี้ปากไม่ดีมากเกินไป เขากล่าวถ้อยคำสกปรกเกี่ยวกับนายท่าน” เฉียนเจินผู้ยืนอยู่เงียบๆ พลันส่งเสียงแก้ต่างแทนเฉียนเหมย
สิ่งที่เฉียนเจินยอมรับไม่ได้มากที่สุดก็คือการที่มีผู้คนมาพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับหลินเป่ยเฉิน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองสินะ ?”
หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนกลับมาเป็นพยักหน้าด้วยความชื่นชม “ถือว่าสั่งสอนได้ดี”
“ท่านพี่ขอรับ ข้าก็ช่วยสั่งสอนด้วยนะขอรับ”
เซียวปิงซึ่งยืนรับประทานน่องไก่ย่างอย่างเอร็ดอร่อยเมื่อได้ยินคำชมเชยจากหลินเป่ยเฉิน เขาก็ต้องรีบพูดออกมาทันที “ข้าเป็นคนเลาะฟันหน้าของเขาออกมาเอง อ้อ แต่เรื่องนี้จะโทษว่าเป็นความผิดข้าไม่ได้นะขอรับ ใครจะไปคิดว่าผู้มีพลังระดับเซียนจะอ่อนแอถึงเพียงนี้”
เมื่อได้ยินบทสนทนาเหล่านี้ ไต้อวี่เต๋อก็มีความคิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ให้ตายสิ!!
เสนาบดีแห่งกรมมือปราบรีบฟุบหน้าลงกับพื้น เสแสร้งแกล้งตายไม่ได้สติ
ไต้อวี่เต๋อไม่เสียเวลาคิดอีกแล้วว่าเหตุไฉนบุคคลข้างกายหลินเป่ยเฉินถึงได้มีแต่พวกยอดฝีมือพลังสูงส่ง และเขาก็ไม่คิดหาคำตอบอีกแล้วเช่นกันว่าเพราะเหตุใดผู้มีพลังระดับเซียนอย่างจูจวิ้นหลานถึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
ไต้อวี่เต๋อแค่อยากจะย้อนเวลากลับไปเท่านั้น
หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เขาก็จะเดินออกไปต้อนรับหลินเป่ยเฉินที่หน้ากรมมือปราบและขอหมอบกราบยอมแพ้แต่โดยดี
หากยอมรับผิดตั้งแต่แรก เรื่องราวอาจไม่เลวร้ายเช่นนี้
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยซึ่งติดตามเข้ามาอย่างใกล้ชิดก็อดตกตะลึงไม่ได้เช่นกัน หัวใจของพวกเขาปั่นป่วนราวกับมีพายุคุ้มคลั่งก่อตัวอยู่ในนั้น
เดิมทีพวกเขาเข้าใจว่าชายฉกรรจ์ชุดเกราะเงินเหล่านี้จะต้องตกตายเป็นแน่แท้
และแน่นอนว่าพวกของตู้กู่อู๋อิง เยวียนเหวินจวิ้นและเยวียนหนงก็คงถูกสังหารไปแล้ว
แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าในขณะนี้ก็คือ นอกจากอาการบาดเจ็บสาหัสของอาจารย์เยวียนเหวินจวิ้นแล้ว ตู้กู่อู๋อิงกับเยวียนหนงก็ได้รับการช่วยเหลือเป็นที่เรียบร้อย ไม่มีสิ่งใดน่าวิตกกังวล
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยพบว่าก่อนที่พวกเขาจะมาถึง ภายในห้องสอบสวนยืนไว้ด้วยเด็กสาวหน้าตางดงามคู่หนึ่งกับเด็กหนุ่มร่างอ้วนที่กำลังรับประทานน่องไก่ย่างอีกคนหนึ่ง
พวกเขาก็คือกลุ่มคนที่หลินเป่ยเฉินเคยแนะนำให้รู้จักวันเดินขบวนประท้วงใช่หรือไม่ ?
หลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุยคิดว่าต้องใช่
ปรากฏว่ากลุ่มคนเหล่านี้ก็มีพลังระดับเซียนเช่นกัน
หาไม่แล้ว พวกเขาจะสามารถช่วยเหลือพวกของอาจารย์เยวียนเหวินจวิ้นจากเงื้อมมือของศัตรูที่มีพลังระดับเซียนได้อย่างไร ?
หลินเป่ยเฉินคบหามิตรสหายฝีมือสูงส่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
ยิ่งย้อนนึกถึงการพบปะครั้งแรกในขบวนประท้วงมากเท่าไหร่ หลี่ซิวเยวียนก็ยิ่งรู้สึกว่านี่คือการเดินทางแห่งความฝันมากเท่านั้น
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกันอยู่นี้ หลินเป่ยเฉินก็ยกมือขึ้นโยนวงแหวนวารีครอบคลุมลงไปที่พวกของเยวียนเหวินจวิ้น ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บและฟื้นฟูความอ่อนล้าของร่างกาย
นอกจากแขนที่ขาดไปแล้วของเยวียนเหวินจวิ้น ก็ไม่มีสิ่งใดรักษาไม่ได้
วงแหวนวารีของหลินเป่ยเฉินยังคงไม่สามารถทำให้แขนขาผู้อื่นงอกกลับมาได้อยู่ดี
สถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายลงแล้ว