เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 954 การชดใช้ความผิด
ตอนที่ 954 การชดใช้ความผิด
เมื่อได้พบกับการขอโทษที่มี ‘ความจริงใจ’ ของจีหวูชวง เสี่ยวเย่จึงเลือกที่จะ ‘ให้อภัย’
อีกอย่าง เขาไม่ใช่หลินเป่ยเฉิน
เสี่ยวเย่ยังคงไม่รู้ว่าหลินเป่ยเฉินทำสิ่งใดถึงสามารถควบคุมจีหวูชวงได้เช่นนี้
สิ่งเดียวที่เสี่ยวเย่รู้ก็คือหลินเป่ยเฉินทำเช่นนี้ก็เพื่อช่วยเหลือเขา และนี่คือบุญคุณอันใหญ่หลวง ชีวิตนี้เสี่ยวเย่ไม่รู้จะทดแทนบุญคุณเด็กหนุ่มผู้นั้นอย่างไรได้หมด
“วันนี้ ข้าจะขอมอบคำอธิบายให้แก่ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนและคุณชายเสี่ยวเย่”
เทพสงครามเซียนมนุษย์จีหวูชวงหมุนตัวเดินกลับไปหาพวกของเสี่ยวอี้
“ท่านทูตจี…”
เสี่ยวอี้ เสี่ยวหยวน เสี่ยวเจิ้นและพรรคพวกรู้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แต่สายเกินไปที่จะคิดหลบหนี
ถึงหนี ก็หนีไม่รอด
“เอาโอสถของข้าคืนมา”
จีหวูชวงยื่นมือออกไป สีหน้าเย็นชาอำมหิต
หัวใจของเสี่ยวอี้กระตุกวูบ รีบปั้นหน้ายิ้มแย้ม กล่าวว่า “ใต้เท้าจี พวกเรา…”
“อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำอีกครั้ง”
จีหวูชวงกัดฟันกรอดและไม่พูดอะไรอีก
เสี่ยวอี้มีสีหน้าเคร่งเครียด ส่งเม็ดยาต้าหวนที่ได้รับมาก่อนหน้านี้กลับคืนไป
ความจริง จะมีเม็ดยานี้หรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว
เพราะว่าเสี่ยวอี้ไม่สนใจความเป็นความตายของหลานชายอีกต่อไป
ขณะนี้ ชายชราสนใจหาทางรอดให้แก่ตนเองมากกว่า
“เจ้าเข้าไปขออภัยผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนและคุณชายเสี่ยวเย่เดี๋ยวนี้”
เทพสงครามเซียนมนุษย์จีหวูชวงพูดด้วยน้ำเสียงออกคำสั่ง
เขาเลือกที่จะไม่สังหารพวกของเสี่ยวอี้โดยตรง เพราะนั่นจะถือเป็นการเข้าไปแทรกแซงเรื่องราวในตระกูลผู้อื่น ดังนั้น จีหวูชวงจึงปล่อยให้หน้าที่การจัดการพวกของเสี่ยวอี้ตกเป็นของผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน เรื่องราวเช่นนี้ มีแต่คนในตระกูลจัดการกันเองเท่านั้นจึงถูกต้องที่สุด
คำสั่งจากจีหวูชวงทำให้เสี่ยวอี้ เสี่ยวหยวนและพรรคพวกรู้สึกไม่ต่างจากตนเองถูกโยนลงสู่หุบเหวลึกไร้ก้นบึ้ง
ความหวังสุดท้ายในหัวใจพังทลาย
สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่พวกของเสี่ยวอี้โดยทันที
สายตาเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสะใจ
นี่นับว่าเป็นเสี่ยวอี้แส่หาความเดือดร้อนใส่ตนเองอย่างแท้จริง
หากเขาไม่สมคบคิดร่วมมือกับคนนอก พยายามแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนเก่าอย่างไม่เป็นธรรม เหตุการณ์ก็คงไม่ลงเอยเช่นนี้
นี่เท่ากับเป็นการตบหน้าชนชั้นขุนนางใหญ่อย่างไร้ความกลัวเกรง
แล้วยังจะมีผู้ใดทนทานได้อีก?
การทรยศตระกูลของตนเองมีโทษร้ายแรง
เสี่ยวอี้กัดฟันกรอด เดินออกมาข้างหน้าได้สามก้าว ก็เปลี่ยนเป็นวิ่งไปคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน เขายกมือขึ้นตบหน้าตนเองอยู่หลายครั้ง ก่อนจะขอร้องอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “พี่ใหญ่ ข้าผิดไปแล้ว ข้ามันหูหนวกตาบอด แต่เห็นแก่ที่พวกเรามีสายเลือดตระกูลเสี่ยวเช่นเดียวกัน ได้โปรดปล่อยปะละเว้นข้าไปสักครั้งได้หรือไม่”
“ท่านผู้เฒ่า ได้โปรดไว้ชีวิตพวกเราด้วย”
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยยินดีชดใช้ความผิดทั้งหมด ข้าน้อยจะสั่งสอนเสี่ยวเจิ้นและจับตัวเขาไปทรมาน…”
ตุบ! ตุบ!
ลูกสมุนของเสี่ยวอี้พร้อมใจกันคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง พวกเขาก้มตัวลงแนบหน้าผากกับพื้นหิน ไม่กล้าเงยหน้ามองขึ้นมาสบตาใครอีกต่อไป
ในแววตาของผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนเต็มไปด้วยความเศร้าโศก
ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา เขาทุ่มเทอย่างหนักเพื่อทำให้ตระกูลเสี่ยวเป็นที่พักพิงแก่คนกลุ่มนี้
คิดไม่ถึงเลยว่าในท้ายที่สุดแล้ว นั่นกลับเป็นการเลี้ยงงูเห่าเอาไว้ใกล้ตัว
ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนเป็นอดีตนายทหารใหญ่จากกองทัพ ที่ผ่านมานำผู้คนออกรบนับครั้งไม่ถ้วน เขาเห็นความตายและการฆ่าฟันบนสมรภูมิมาจนชินตา เมื่อเกษียณอายุราชการ ชายชราก็อุทิศตนเพื่อความสุขของตระกูลเสี่ยว ดังนั้น เขาจึงเป็นบุคคลสำคัญของตระกูลนี้เสมอมา และแม้ว่าจะไม่ได้มีอำนาจทางการทหารอีกแล้ว ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนก็ยังได้รับความเคารพจากทุกคนในตระกูลอยู่เสมอ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเหตุการณ์กลับลงเอยเช่นนี้ได้
ที่ผ่านมาเขาคงใจดีมากเกินไปจริง ๆ
ดวงตาของผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนเป็นประกายแวววาว
เขาชักกระบี่ออกมาจากฝัก
คมกระบี่สาดประกายวูบ
ฟู่! ฟู่!
ศีรษะของเสี่ยวอี้ เสี่ยวหยวนและเสี่ยวเจิ้นลอยสูงขึ้นไปในอากาศ
โลหิตพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ
ผู้ทรยศตระกูลทั้งสามถูกตัดศีรษะโดยผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน
แขกที่เข้าร่วมงานเลี้ยงย่อมตกตะลึง
บัดนี้ ทุกคนคล้ายกับได้ย้อนไปเห็นความแข็งแกร่งของชายชรายามอยู่ในสนามรบอีกครั้ง
ช่างเด็ดขาดเหลือเกิน!
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป ตระกูลเสี่ยวสาขาสอง สาขาสี่และสาขาหก ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลเสี่ยวอีกต่อไป ห้ามไม่ให้พวกเจ้าใช้ชื่อตระกูลเสี่ยวเป็นอันขาด ส่วนตระกูลเสี่ยวสาขาอื่น ๆ ขอเชิญอยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อไป”
ชายชรายืนถือกระบี่เปื้อนเลือด พูดเน้นย้ำทีละคำ “ผู้ใดฝ่าฝืนคำสั่งต้องถูกลงโทษโดยทันที”
ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายร้องขอความเมตตา
“นับจากวันนี้เป็นต้นไป หัวหน้าตระกูลเสี่ยวคนใหม่คือเสี่ยวเย่” ชายชราเดินมาหยุดยืนข้างกายเสี่ยวเย่ ก่อนจะส่งกระบี่เปื้อนเลือดให้แก่ชายหนุ่ม จากนั้นจึงใช้มือที่เปียกชุ่มไปด้วยคราบโลหิตสวมใส่มงกุฎให้แก่เสี่ยวเย่
คราวนี้ ใบหน้าของผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนมีรอยยิ้มแล้ว
“อนาคตของตระกูลเสี่ยว ต้องฝากเจ้าดูแลแล้วนะ”
ความเด็ดขาดอำมหิตหายวับไป หลงเหลือเพียงชายชราผู้หนึ่งเท่านั้น
จิตวิญญาณที่กล้าหาญถูกส่งต่อมาที่เสี่ยวเย่
ดวงตาของทุกคนจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน
ด้วยความเคารพเลื่อมใส เทิดทูนบูชา รวมไปถึงอิจฉาริษยา
พวกเขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ทุกคนรู้ดีว่าเมื่อเหตุการณ์ลงเอยเช่นนี้ ก็คงไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งความรุ่งเรืองของตระกูลเสี่ยวได้อีก
เกรงว่าหลังจากวันนี้เป็นต้นไป ลำดับชั้นของตระกูลเสี่ยวในบรรดาสิบตระกูลใหญ่คงเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ตระกูลเสี่ยวกำลังจะกลายเป็น ‘ตระกูลอันดับหนึ่งแห่งนครหลวง’
ไม่มีใครคัดค้านการขึ้นรับตำแหน่งของเสี่ยวเย่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบุรุษผู้หนุ่มผู้นี้กำลังจะกลายเป็นอีกหนึ่งบุคคลทรงอำนาจแห่งนครหลวง และอาจจะรวมไปถึงเป็นหนึ่งในผู้ทรงอำนาจแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ด้วยซ้ำ
ตราบใดที่หลินเป่ยเฉินยังมีชีวิตอยู่ ย่อมไม่มีผู้ใดทำอันตรายเสี่ยวเย่ได้เด็ดขาด
นั่นเป็นเพราะว่าจากเหตุการณ์ในวันนี้ ทุกคนล้วนรับรู้ถึงความน่ากลัวของหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มผู้ถูกเรียกขานว่าเป็นบุคคลสมองเสื่อม เป็นเด็กหนุ่มจอมเสเพล เป็นลูกที่ถูกทิ้ง ทว่า เขากลับอาศัยป้ายประจำตระกูลเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง พลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยที่ตนเองไม่ต้องปรากฏตัว…
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ทุกคนก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึงมากเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินมีความน่ากลัวอย่างคาดไม่ถึง
สุดท้ายแล้ว ป้ายประจำตระกูลชิ้นนั้นคืออะไรกันแน่? เหตุไฉนยอดฝีมือระดับเซียน ผู้เป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางอย่างจีหวูชวง ยังต้องยอมก้มหัวให้กับเขาราวกับเป็นสุนัขตัวหนึ่ง?
หลินเป่ยเฉินซุกซ่อนความลับใดอยู่กันแน่?
บรรดาแขกเหรื่อที่ร่วมงานเลี้ยงได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
แต่พวกเขาก็ไม่กล้าถามจีหวูชวง
แม้แต่ง้าวพิฆาตสวรรค์ลู่ซินก็ยังไม่กล้าถาม
เนื่องจากสถานะของเขาในคณะเดินทางครั้งนี้ ต่ำต้อยกว่าจีหวูชวงถึงสองขั้น
ลู่ซินโชคดีเหลือเกินที่ก่อนหน้านี้ตนเองไม่ได้พูดอะไรออกมา และไม่ได้คิดฉวยโอกาสเหยียบย่ำตระกูลเสี่ยวเพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตน และเขาโชคดียิ่งไปกว่านั้นอีกที่แม้แต่กงกงก็ไม่ได้สนใจในตัวเขาเลยตั้งแต่ต้นจนจบเหตุการณ์ความวุ่นวาย
ทว่า หัวใจของเขาทั้งตกตะลึงและหวาดกลัวไม่ต่างไปจากจีหวูชวง
“ไม่ได้การ เราต้องหาทางไปเข้าพบคุณชายหลิน หากเราสามารถเป็นพันธมิตรกับเด็กหนุ่มผู้นั้นได้ ไม่แน่นี่อาจจะเป็นโอกาสไต่เต้าขึ้นสู่อำนาจของเราแล้วกระมัง?”
ลู่ซินขบคิดและเห็นว่านี่คือโอกาสดีสำหรับตนเอง
เขารู้ดีว่าตนเองควรรีบทำอะไรสักอย่าง
“ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน คุณชายเสี่ยวเย่ พวกท่านทั้งสองพอใจกับความประพฤติของข้าหรือไม่?”
จีหวูชวงหันกลับมาทำตัวนอบน้อมอีกครั้ง
“ขอบคุณใต้เท้าจีสำหรับความยุติธรรม พวกเราซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน บนใบหน้าไม่ปรากฏความไม่พึงพอใจ
จีหวูชวงรีบกล่าวต่อ “หากเป็นเช่นนั้น รบกวนนายท่านทั้งสองยามพูดคุยกับคุณชายหลิน ช่วยบอกให้คุณชายทราบได้หรือไม่ ว่าข้าได้ช่วยเหลือตระกูลเสี่ยวของพวกท่านอย่างสุดความสามารถ”
คำพูดนี้สื่อสารได้ตรงไปตรงมา
ณ บัดนี้ จีหวูชวงไม่สนใจรักษาภาพลักษณ์ของตนเองอีกแล้ว
ตราบใดที่สามารถทำให้หลินเป่ยเฉินพึงพอใจได้ ไม่ว่าต้องทำสิ่งใด จีหวูชวงล้วนยินดีทำโดยไม่ปริปากบ่น
ซากศพและคราบเลือดในจวนตระกูลเสี่ยวถูกเก็บกวาดและทำความสะอาดอย่างรวดเร็ว
พิธีการส่งมอบตำแหน่งดำเนินต่อไป
บรรยากาศที่เคร่งขรึมและแปลกประหลาดถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความสงบสุขและความอบอุ่น
ทุกคนพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะทำตัวตีสนิทและใกล้ชิดกับตะกูลเสี่ยวเท่าที่จะทำได้
บัดนี้ จีหวูชวงได้เดินทางกลับออกจากจวนตระกูลเสี่ยวไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นเพียงหนึ่งก้านธูป เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลเสี่ยวก็แพร่กระจายไปทั่วนครหลวง
ชาวเมืองย่อมตกตะลึง
แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้รับทราบข่าวที่น่าตกตะลึงมากกว่าเดิม
ปรากฏว่าเทพสงครามเซียนมนุษย์จีหวูชวงได้ไปนั่งถอดเสื้อเปลือยกายท่อนบนตากแดดร้อนจ้า คุกเข่าอยู่หน้าประตูจวนซางจั้วหยวนอย่างไม่อายสายตาผู้ใดทั้งสิ้น!