เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 962 กระหม่อมมิได้ลุ่มหลงในศิลาบูชา
ตอนที่ 962 กระหม่อมมิได้ลุ่มหลงในศิลาบูชา
“ถ่ายทอดพระราชโองการออกไป เรียกระดมพลนายทหารฝีมือดีของพวกเรากลับมาทั้งหมด ยกเว้นเพียงหวังโซวเฉิงแห่งแดนเหนือคนเดียวเท่านั้น”
“และในเวลาเดียวกันนี้ ออกพระราชโองการเรียกตัวปรมาจารย์แห่งกระบี่จากเมืองไป๋หยุน เมืองเจี้ยนหยวน และเมืองจูเจี๋ยนเข้าสู่นครหลวงทั้งหมด”
องค์จักรพรรดิทรงตัดสินพระทัยอย่างรวดเร็วฉับไว
เขาตั้งใจเรียกระดมพลผู้มีพลังระดับเซียนของจักรวรรดิเป่ยไห่ เพื่อมาทำสงครามในครั้งนี้
จั่วเซียงลุกขึ้นประสานมือรับคำสั่ง “กระหม่อมรับคำบัญชา แล้วเราจะทำอย่างไรกับหลินเป่ยเฉินดีพ่ะย่ะค่ะ?”
องค์จักรพรรดินิ่งคิดเล็กน้อยก็ตอบว่า “เดี๋ยวข้าจะไปคุยกับเขาที่จวนซางจั้วหยวนเอง”
ในช่วงเวลาวิกฤตการณ์ของประเทศชาติ องค์จักรพรรดิถึงกับยอมก้มหัวอย่างไม่สนใจศักดิ์ศรีเพื่อความอยู่รอดของชาวประชา
และแน่นอนว่าในสายตาขององค์จักรพรรดิ ไม่มีผู้ใดจะทำให้จักรวรรดิเป่ยไห่รอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้นอกจากหลินเป่ยเฉิน
หัวใจของจั่วเซียงกระตุกวูบ
ชายชรารู้แล้วว่าไม่ใช่เพียงตนเองคนเดียวเท่านั้นที่ประเมินเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างสูงส่ง
คิดไม่ถึงเลยว่าแม้แต่องค์จักรพรรดิก็มองเห็นคุณค่าที่แท้จริงของหลินเป่ยเฉินเช่นกัน
“อันที่จริง ความยากระดับสามก็ดีเหมือนกันนะพ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้น จั่วเซียงยิ้มออกมาด้วยความฝืดฝืน “หากเราสามารถทำคะแนนในบททดสอบแรกได้สูง บททดสอบต่อไปก็ง่ายมากขึ้นแล้ว”
ชายชรากล่าวต่อในใจว่า …‘ตราบใดที่หลินเป่ยเฉินยังให้ความร่วมมืออยู่ก็ไม่เป็นปัญหา’
ทั้งองค์จักรพรรดิและอัครเสนาบดีต่างก็คิดไม่ถึงเลยว่า วันหนึ่งจักรวรรดิของพวกเขากลับต้องฝากความหวังเอาไว้ที่เด็กหนุ่มจอมเสเพลผู้นี้อย่างไม่มีทางเลือกเสียแล้ว
…
ณ สถานทูตจักรวรรดิจี้กวง
“เป็นความจริงหรือ?”
องค์ชายอวี่มีสีหน้าตกตะลึงสุดขีด “พวกเขาจะประเมินด้วยการทำสงครามชิงอาณาจักร?”
เซียนทะเลทรายชาซานถงที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะประชุมพลันคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ยังมีอะไรที่องค์ชายเป็นกังวลอยู่อีกหรือ?”
องค์ชายทรุดนั่งลงช้า ๆ นิ่งเงียบใช้ความคิดเล็กน้อย ก็กล่าวว่า “หากเป็นการประเมินด้วยการทำสงครามชิงอาณาจักรจริง พวกเป่ยไห่ก็คงผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดายด้วยความช่วยเหลือของหลินเป่ยเฉิน เด็กคนนี้มีระดับพลังไม่ต่ำต้อย เมื่อผนึกกำลังร่วมกับผู้มีพลังระดับเซียนคนอื่น ๆ ก็นับว่าน่ากลัวมากเกินไป การประเมินครั้งนี้ ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเป่ยไห่”
ชาซานถงหัวเราะในลำคอด้วยความชอบใจ “แต่ระดับความยากในการประเมินครั้งนี้ อยู่ขั้นที่สามเลยทีเดียว”
องค์ชายอวี่ส่ายหน้า “ต่อให้อยู่ในขั้นที่สาม แต่เมื่อมีหลินเป่ยเฉินอยู่ทั้งคน เป่ยไห่ก็มีโอกาสผ่านการประเมินได้ถึง 70 ส่วนแล้ว”
เด็กหนุ่มผู้นี้เปรียบดั่งอสูรกายของจักรวรรดิเป่ยไห่
เพียงกระบี่เดียวก็สามารถสะเทือนขวัญชาวจี้กวงได้ทั่วแผ่นดิน
แต่ที่น่ากลัวมากไปกว่านั้นก็คือ บรรดาผู้คนที่อยู่รอบตัวหลินเป่ยเฉินต่างก็มีความแข็งแกร่งไม่แพ้กัน
สถานการณ์เช่นนี้ จักรวรรดิจี้กวงของพวกเขาเป็นรองทุกประตู
และการประเมินในครั้งนี้จะยึดถือความแข็งแกร่งในการสู้รบเป็นหลัก
เว่ยชงเฟิงและมือสังหารธารน้ำแข็งถัวป่าล้วนเห็นด้วยกับความคิดขององค์ชายอวี่
บัดนี้ เป่ยไห่ไม่ได้มีผู้แข็งแกร่งเป็นหลินเป่ยเฉินเพียงผู้เดียวเท่านั้น
แต่บรรดาผู้ติดตามจำนวนมากของเด็กหนุ่มจอมเสเพลต่างก็มีฝีมือร้ายกาจน่าหวาดกลัวด้วยกันหมดทั้งสิ้น
นี่หมายความว่าอะไร?
นี่หมายความว่าเป่ยไห่มีความน่ากลัวมากกว่าเดิมหลายเท่า
เปรียบดั่งพยัคฆ์ติดปีก!
เกือบทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมขณะนี้ ต่างก็หวาดกลัวต่อหลินเป่ยเฉินโดยไม่มีข้อแม้
ชาซานถงยิ้มเย้ยหยันและกล่าวว่า “อะไรกัน? แค่จีหวูชวงไปคุกเข่าให้เจ้าลูกเต่าตัวนั้นเพียงคนเดียว พวกท่านก็ถึงกับขวัญเสียขนาดนี้เชียวหรือ? ถ้าอย่างนั้น พวกท่านก็รีบไปคุกเข่าเป็นเพื่อนจีหวูชวงเสียเถอะ อย่าได้คิดทำการใหญ่อื่นใดกันอีกเลย”
คำพูดเหล่านี้ทำให้เว่ยชงเฟิงใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น
หากผู้ที่พูดประโยคนี้ออกมามิใช่ชาซานถง ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะทูตจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางแล้วละก็ ผู้พูดก็คงล้มลงนอนตายเป็นซากศพไปนานแล้ว
“อิอิ ท่านอาชาพูดออกมาเช่นนี้ แสดงว่าคงแอบวางกับดักอันใดเอาไว้แล้วกระมัง?”
องค์หญิงอวี่เค่อผู้กอดตุ๊กตาหมีอยู่ในอ้อมแขนพลันเงยหน้าขาวนวลของนางขึ้นมายิ้มแย้มอ่อนหวาน คำพูดคำจาไพเราะเสนาะหู
นั่นทำให้เซียนทะเลทรายชาซานถงรู้สึกพึงพอใจ
“นายท่านฝากข้ามาบอกทุกท่านว่า ได้โปรดทำตามแผนการเดิมต่อไป แล้วทุกอย่างจะดีเอง”
ชาซานถงไม่ยอมบอกแผนการทั้งหมด
เขาเพียงเปิดเผยข้อมูลที่ควรพูดเท่านั้น
องค์ชายอวี่หยุดชะงัก ก่อนที่สีหน้าหมองคล้ำจะสดใสขึ้นมาในพริบตา
และเว่ยชงเฟิงกับมือสังหารธารน้ำแข็งถัวป่าก็ยิ้มแย้มออกมาเช่นกัน
ในที่สุด นายท่านของพวกเขาก็จะลงมือแล้วใช่หรือไม่?
หากเป็นเช่นนี้ จักรวรรดิเป่ยไห่ก็คงหนีหายนะไม่พ้นแล้วจริง ๆ
…
หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อกลับมาถึงจวนซางจั้วหยวน ตนเองจะได้พบว่าองค์จักรพรรดิมารอคอยอยู่ก่อนแล้ว
ก็พวกเขาเพิ่งพบกันไปเมื่อสักครู่นี้เองไม่ใช่หรือ?
ทำไมถึงตามมาที่นี่อีกล่ะ?
แม้แต่สุนัขกับเจ้าของก็ยังไม่ทำตัวติดกันถึงเพียงนี้เลยกระมัง?
อย่าบอกนะว่าองค์จักรพรรดิอยากจะได้กระบี่วิญญาณมรกตกลับคืน?
หากเป็นเช่นนั้น…
หลินเป่ยเฉินเริ่มต้นวางแผนการอย่างรวดเร็วว่าควรจะสร้างสถานการณ์อย่างไรให้องค์ชายเจ็ดขึ้นครองบัลลังก์ได้โดยไม่เป็นที่สงสัยของผู้คน
บัดนี้ องค์จักรพรรดิก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา เนื่องจากกำลังตกตะลึงมากเกินไป
เพราะระหว่างที่เดินผ่านประตูจวนเข้ามาก่อนหน้านี้ องค์จักรพรรดิได้พบเห็นเทพสงครามเซียนมนุษย์จีหวูชวงเปลือยกายอยู่ภายในกระโจมและกำลังถูกมหาเศรษฐีร่างอ้วนผู้หนึ่งทำร้ายทุบตีด้วยความทารุณ
องค์จักรพรรดิได้ยินมาว่ามหาเศรษฐีผู้นั้นจ่ายศิลาบูชา 100 ก้อน เพื่อเป็นค่าทำร้ายร่างกายผู้มีพลังระดับเซียนได้ตามใจชอบ
แต่จีหวูชวงกลับยินยอมรับชะตากรรม ไม่คิดตอบโต้สักนิด
ก่อนหน้านี้ องค์จักรพรรดิได้รับทราบเรื่องราวเกี่ยวกับจีหวูชวงมาทั้งหมดแล้ว
นับเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะทำถึงขนาดนี้
แม้แต่ผู้มีพลังระดับเซียนจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง ก็มีค่าเป็นเพียงเครื่องมือทำเงินให้กับหลินเป่ยเฉินเท่านั้น
ไม่ว่าผู้ใดต้องการเข้าไปเยี่ยมชม ถ่ายรูป ขอคำแนะนำด้านการฝึกวรยุทธ์ หรือใช้จีหวูชวงเป็นกระสอบทรายที่มีชีวิต ล้วนสามารถทำทั้งหมดนี้ได้ ด้วยการจ่ายศิลาบูชาให้ครบจำนวนที่กำหนดเท่านั้น
นี่คือครั้งแรกที่องค์จักรพรรดิทรงรู้สึกว่าตนเองแก่ชรามากเกินไปจนตามโลกนี้ไม่ทันเสียแล้ว
“ฝ่าบาทมาที่นี่ต้องการอะไรพ่ะย่ะค่ะ?” หลินเป่ยเฉินเป็นฝ่ายทำลายความเงียบ “แต่กระหม่อมขอบอกก่อนนะว่ากระหม่อมจะไม่คืนกระบี่วิญญาณมรกตเด็ดขาด”
องค์จักรพรรดิกลับมาได้สติอีกครั้งและรีบอธิบายรายละเอียดโดยเร็ว
“อ้อ… ว่าแต่การประเมินด้วยการทำสงครามชิงอาณาจักรคืออะไรพ่ะย่ะค่ะ?”
หลินเป่ยเฉินเปิดเผยความโง่เขลาของตนเองออกมาอีกครั้ง
“มันเป็นรูปแบบการประเมินที่เคยได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในอดีต แต่นั่นมันก็นานมาแล้ว พวกเราจะทำการประเมินด้วยการเปิดประตูมิติไปสู่อาณาเขตสนธยา ที่นั่นจะมีที่อยู่อาศัยเหมือนกับโลกของเราทุกประการ และภารกิจของจักรวรรดิเป่ยไห่ก็คือรักษาฐานที่มั่นของตนเองและสังหารศัตรูให้ได้เยอะที่สุด เมื่อจัดการได้ครบตามมาตรฐานการประเมินแล้ว ก็จะถือว่าเราผ่านบททดสอบการทำสงครามชิงอาณาจักรในที่สุด”
องค์จักรพรรดิทรงอธิบายใจความสำคัญ
หลินเป่ยเฉินเข้าใจเรื่องราวได้ไม่ยาก
ฟังดูก็คงคล้าย ๆ การเล่นเกมตีเมืองสินะ?
แต่ว่า…
“มนุษย์สามารถเดินทางผ่านประตูมิติได้ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เด็กหนุ่มถามออกมาด้วยความสงสัย
องค์จักรพรรดิตอบว่า “เมื่อมีเทพเจ้าคอยช่วยเหลือ การเปิดประตูมิติก็ไม่ใช่เรื่องยาก โดยเฉพาะการเปิดประตูมิติเข้าสู่อาณาเขตสนธยาเช่นนี้ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เผาผลาญทรัพยากรและระดับพลังไม่ใช่น้อย นั่นจึงเป็นเหตุผลที่รูปแบบการประเมินชนิดนี้ได้รับความนิยมลดน้อยลงเรื่อย ๆ และไม่มีใครเปิดใช้งานอาณาเขตสนธยามานานมากแล้ว ข้าเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้ กลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลางจะนำวิธีนี้กลับขึ้นมาใช้ประเมินพวกเราอีกครั้ง”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นนวดขมับของตนเอง
คำตอบขององค์จักรพรรดิเต็มไปด้วยความคลุมเครือ
แต่ที่ชัดเจนก็คือการเปิดประตูมิติไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ
“ไม่มีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ” หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหนักแน่น “ขอแค่ได้ค่าจ้างพิเศษก็พอแล้ว”
องค์จักรพรรดิคิดอยู่แล้วว่าเด็กหนุ่มต้องร้องขอเช่นนี้ จึงถามว่า “เจ้าต้องการเหรียญทองคำเท่าไหร่ โปรดบอกมาได้เลย”
“เหรียญทองคำเหล่านั้น หาได้มีค่าในสายตาของกระหม่อมไม่”
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าเหมือนกำลังโดนดูถูกและพูดด้วยความขุ่นเคืองใจ “กระหม่อมเองก็เป็นชาวเป่ยไห่คนนึงเช่นกัน ฝ่าบาททรงคิดว่ากระหม่อมจะทำเรื่องราวเหล่านี้เพื่อเรียกร้องเงินทองหรือ? เฮอะ แค่เห็นเหรียญทองคำเหล่านั้น กระหม่อมก็อยากจะอาเจียนแล้ว ฝ่าบาทกำลังดูถูกกระหม่อมอยู่ รู้ตัวหรือไม่…”
องค์จักรพรรดิมีสีหน้าแตกตื่นตกใจและจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความเลื่อมใสมากกว่าเดิม
ในยามที่ประเทศชาติเกิดวิกฤต หลินเป่ยเฉินยังนับว่าเป็นที่พึ่งพิงของประชาชนได้จริง ๆ
แต่ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็กล่าวต่ออีกหนึ่งประโยคว่า “กระหม่อมขอเปลี่ยนเป็นศิลาบูชาแทนดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิพูดอะไรไม่ออก
ความชื่นชมในแววตาที่มีต่อหลินเป่ยเฉินเมื่อสักครู่นี้หายวับไป
ให้ตายสิ!
ทีแรกคิดว่าเป็นคนดี!!
ที่แท้ก็หน้าเงินเหมือนเดิม!!!
ทั้งสองฝ่ายเจรจากัน สุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็ได้ค่าจ้างเป็นศิลาบูชา 2,000 ก้อน
“ฝ่าบาทอย่าได้เข้าใจกระหม่อมผิดไป”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “ความจริง กระหม่อมมิได้ลุ่มหลงในศิลาบูชาเหล่านี้ หากแต่กระหม่อมต้องนำไปแจกจ่ายให้แก่ผู้ติดตามของกระหม่อมที่นครเจาฮุย ตัวกระหม่อมเองนั้นไม่ต้องการสิ่งใดเลย ขอเพียงเหรียญทองคำสักสองสามร้อยเหรียญก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้แล้ว แต่หากผู้ติดตามของกระหม่อมไม่มีความสุข แล้วกระหม่อมจะมีความสุขได้อย่างไร”
องค์จักรพรรดิถึงกับพูดอะไรไม่ออก
สิ่งที่หลินเป่ยเฉินพูดออกมา พระองค์ท่านรู้ดีว่าไม่เป็นความจริง
แต่ก็นั่นแหละนะ พวกเขามีทางเลือกซะที่ไหน
หลินเป่ยเฉินปรับสีหน้าเป็นเคร่งเครียดจริงจังขณะกล่าวต่อ “ฝ่าบาทอาจจะไม่เชื่อกระหม่อม แต่สิ่งที่กระหม่อมพูดออกมาเป็นความจริงทุกประการ กระหม่อมขอรับปากว่าจะไม่เก็บศิลาบูชาเหล่านี้เอาไว้ใช้เองแม้แต่ก้อนเดียว… เพราะว่ากระหม่อมไม่ได้ลุ่มหลงพวกมันจริง ๆ”