เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 994 เผชิญหน้าความท้าทายใหม่ในทุก ๆ วัน
ตอนที่ 994 เผชิญหน้าความท้าทายใหม่ในทุก ๆ วัน
เผ่าจันทราขาว กระท่อมหินหลังน้อย
หลินเป่ยเฉินนอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่ง
เงาดำคืบคลานเข้ามาราวกับงูตัวหนึ่ง เงาดำนั้นมาหยุดอยู่เบื้องหลังหลินเป่ยเฉินก่อนจะเปลี่ยนร่างกลายเป็นกงกง ชายฉกรรจ์ร่างกายกำยำผู้มีคิ้วหนา ตาโตและไว้ผมจุกบนศีรษะ
“กราบเรียนนายท่าน จัดส่งโอสถและผลกวนเจี๋ยเรียบร้อยแล้วขอรับ”
เขารายงานด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพ “เมืองของพวกเรายังคงปลอดภัยดี ยอดผู้เสียชีวิตลดน้อยลงแล้ว”
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินได้จัดเตรียมผลกวนเจี๋ยหลายพันลูก เช่นเดียวกับวิตามินอาหารเสริมที่สั่งซื้อมาจากแอป Taobao เพื่อจัดส่งไปให้กองทัพเป่ยไห่ได้รับประทาน
“แล้วเรื่องเงินว่าอย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินสอบถามแผ่วเบา
กงกงประคองสัญญากู้ยืมด้วยสองมือยื่นส่งมาให้
“ฮะ? นี่เป่ยไห่ยากจนถึงขนาดกับต้องลงนามในสัญญากู้ยืมแล้วหรือ?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากด้วยความเหยียดหยาม
“ฝ่าบาททรงบอกว่าศิลาบูชาที่พระองค์มีอยู่นั้น ได้มอบให้แก่นายท่านเกือบหมดสิ้น และบัดนี้ ศิลาบูชาที่เหลืออยู่ก็จำเป็นต้องเอาไว้ใช้สำหรับเติมพลังให้แก่ปืนใหญ่อาคม เพื่อปกป้องกำแพงเมืองขอรับ”
กงกงให้คำอธิบาย
ในใจเขาอดรู้สึกสงสารองค์จักรพรรดิขึ้นมาไม่ได้
แต่นี่ก็เป็นอีกครั้งที่คุณชายหลินได้มอบโอสถล้ำค่าให้แก่กองทัพเป่ยไห่ และโอสถเหล่านั้นก็ไม่สามารถประเมินค่าได้ด้วยเงินทอง
“ฝ่าบาทยังทรงบอกอีกว่าหากคุณชายหลินไม่พอใจ คุณชายจะเปลี่ยนจากศิลาบูชาเป็นเลือกอภิเษกกับเจ้าหญิงองค์ใดก็ได้ขอรับ” กงกงผู้รับหน้าที่คนส่งสาส์นจากองค์จักรพรรดิกล่าวต่อ “พระองค์ทรงมีบุตรสาวอยู่หลายนาง แต่ละนางล้วนเป็นหญิงงามเลอค่า ต่อให้คุณชายต้องการอภิเษกกับองค์หญิงมากกว่าหนึ่งองค์ นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาขอรับ”
หืม?
หลินเป่ยเฉินยกมือจับคางอย่างใช้ความคิด
นี่องค์จักรพรรดิจนตรอกถึงกับขายลูกสาวกินแล้วหรือ?
“ฝ่าบาททรงเห็นข้าเป็นตัวอะไรถึงได้มอบข้อเสนอเช่นนี้”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยสีหน้าขุ่นเคืองใจชัดเจน “รอบหน้าเจ้ากลับไปบอกให้องค์จักรพรรดิทรงนำรายชื่อองค์หญิงมาให้ข้าดูด้วย อย่าลืมระบุรายละเอียด อายุ หน้าตา บุคลิกและคุณสมบัติพิเศษด้วยล่ะ เมื่อทำภารกิจเสร็จ ข้าจะค่อย ๆ พิจารณาดูอีกที”
มุมปากของกงกงกระตุกเล็กน้อย “รับทราบขอรับนายท่าน”
หลังจากหยุดชะงัก เขากล่าวต่อ “รบกวนนายท่านช่วยมอบป้ายประจำตัวให้แก่ข้าน้อยด้วยขอรับ ทุกครั้งที่ข้าน้อยไปที่นั่น ไม่มีใครจำข้าน้อยได้เลยสักคน ข้าน้อยต้องเสียเวลาอธิบายยาวนานทีเดียว”
“อ้อ เข้าใจแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยความสับสน “ว่าแต่ว่าเจ้าเป็นใครนะ?”
กงกงแทบจะพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“กราบเรียนนายท่าน หลังจากที่ข้าน้อยได้ติดตั้งแขนกลและขากลเทพเจ้าดาวเหนือ ท่านพ่อบ้านหวังจงก็ได้นำคัมภีร์เล่มหนึ่งมาให้ข้าน้อยฝึกฝน แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกคนถึงเริ่มจดจำข้าน้อยไม่ได้มากขึ้นเรื่อย ๆ แม้แต่คนที่เห็นหน้าข้าน้อยเมื่อไม่กี่ลมหายใจก่อน ผ่านไปเพียงครู่เดียว พวกเขากลับลืมเลือนข้าน้อยเสียแล้ว…”
กงกงพูดด้วยความเศร้า “บัดนี้แม้แต่ภรรยาและบุตรีของข้าน้อยก็จดจำข้าน้อยไม่ได้ด้วยซ้ำ”
หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาว
“มีวิชาเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ?”
เขารู้สึกสนใจขึ้นมาทันที “สุนัขเฒ่าหวังจงเอาคัมภีร์อะไรให้เจ้าฝึก?”
กงกงตอบว่า “เป็นคัมภีร์ที่ชื่อว่าเงากลืนวิญญาณขอรับ พ่อบ้านหวังจงบอกว่ามันเป็นคัมภีร์ที่พบเจอจากจวนผู้ว่าในนครเจาฮุย”
คัมภีร์เงากลืนวิญญาณ?
หรือว่าจะเป็นเคล็ดวิชาของพวกเผ่ามารโลหิต?
นับว่าเป็นวิชาที่น่ากลัวเหลือเกิน
แม้แต่เขาเองก็มีหลายครั้งที่จดจำกงกงไม่ได้
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่น แต่แล้วก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา…
หากเยว่เว่ยหยาง หลิงเฉิน เทพีกระบี่หิมะไร้นามและนักพรตหญิงชิน ฝึกฝนวิชาเงากลืนวิญญาณนี้ ด้วยทักษะที่ยอดเยี่ยมของพวกนาง ระดับพลังของเคล็ดวิชานี้จะต้องก้าวกระโดดขึ้นไปอีกขั้นอย่างแน่นอน
เขาอาจจะลืมรูปร่างหน้าตาของพวกนางในทุก ๆ วัน
นั่นจะน่าตื่นเต้นขนาดไหนกันนะ?
เท่ากับว่าเขาจะรู้สึกเหมือนได้เจอสาว ๆ สวย ๆ หน้าใหม่ทุกวันใช่หรือไม่?
โฮะโฮะโฮะ
หลินเป่ยเฉินหัวเราะคิกคักออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ไสหัวไปได้แล้ว”
เขาโบกมือไล่
แล้วร่างของกงกงก็สลายหายไปในเงาทางด้านหลังของหลินเป่ยเฉิน
หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋เสี่ยวเซียวก็มาปรากฏตัวขึ้นหน้ากระท่อมหินของเขาพร้อมกับตะกร้าใส่ผลกวนเจี๋ยตามคาด
เด็กสาวผิวเข้มนางนี้ตามติดหลินเป่ยเฉินแทบตลอดเวลา
หลินเป่ยเฉินย่อมรับรู้เจตนาของนางเป็นอย่างดี
‘พี่จู วันนี้เผ่าของเรามีขั้นเซียนคนใหม่กำเนิดขึ้นอีก 21 คนแล้ว แม้แต่ท่านปู่ก็บอกว่าตนเองสามารถเลื่อนระดับขึ้นมาเป็นขั้นเซียนระดับหนึ่งได้แล้วเช่นกัน’
ไป๋เสี่ยวเซียวเขียนข้อความบอกเล่าบนพื้นดิน
ยามที่เด็กสาวก้มตัวเขียนข้อความ อกภูเขาไฟก็นางก็ทะลักทะล้นเป็นอาหารตาให้หลินเป่ยเฉินจ้องมอง
‘อ้อ หลังจากนี้ พวกเขาคงต้องไปทำพิธีที่วิหารกันแล้วสินะ?’
หลินเป่ยเฉินถามผ่านทางตัวอักษร
‘ทำพิธี?’
ไป๋เสี่ยวเซียวถามกลับมาด้วยความมึนงง ‘ทำพิธีอะไรหรือเจ้าคะ?’
หลินเป่ยเฉินใช้กิ่งไม้เขียนข้อความอธิบายอย่างรวดเร็วว่า ‘เวลามีผู้ที่เลื่อนระดับเป็นขั้นเซียนได้สำเร็จ เผ่าจันทราขาวไม่ต้องไปทำพิธีเพื่อขอรับฉายานามของตนเองหรือ?’
ไป๋เสี่ยวเซียวส่ายหน้า
‘ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน’
นางเขียนข้อความตอบกลับมา
หลินเป่ยเฉินที่นอนเอกเขนกอยู่ค่อย ๆ ลุกขึ้นมานั่งหลังตรง
หรือจะเป็นเพราะว่าพวกเขาอยู่กันคนละโลก?
หรือว่า…
ความคิดบางอย่างปรากฏขึ้นในใจเด็กหนุ่มอีกครั้ง
เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังของเขา ไป๋เสี่ยวเซียวก็เข้าใจว่าคำตอบของนางอาจจะมีปัญหา หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็สอบถามเกี่ยวกับการเลื่อนระดับพลังของชาวเผ่าจันทราขาว และชาวเผ่าอื่น ๆ ในอาณาเขตดวงดาวที่เด็กสาวพอจะทราบข้อมูล…
ปรากฏว่านอกจากผู้คนบนแผ่นดินตงเต้าแล้ว ไม่มีที่ไหนต้องทำพิธีรับฉายานามเมื่อมีพลังอยู่ในขั้นเซียนทั้งสิ้น
“น่าสนใจแฮะ”
หลินเป่ยเฉินยกมือจับคางอย่างใช้ความคิด แต่ทันใดนั้นก็ต้องอุทานออกมาว่า “เฮ้ย ๆๆๆ เดี๋ยวก่อน…นี่เจ้าทำอะไรของเจ้าเนี่ย?”
บัดนี้ ไป๋เสี่ยวเซียวกระโดดเข้ามาราวกับเสือดาวสาว นางกางสองขาออกกว้างและนั่งคร่อมทับอยู่บนตักของหลินเป่ยเฉิน
สัมผัสแนบชิดติดใกล้อย่างน่าตื่นเต้น
คุณชายหลินไม่เข้าใจอีกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ข้าเป็นคนของท่าน”
ไป๋เสี่ยวเซียวพูดเสียงแข็งกร้าว พร้อมกับโอบกอดรอบลำคอของหลินเป่ยเฉิน “ท่านก็ต้องเป็นของข้า”
“นี่มันอะไรกันครับเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาเพราะไม่เข้าใจคำใดเลย “เจ้าพูดว่าไงนะ? นี่เจ้า…หืม?”
เฮ้ย
ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกโต
เพราะว่าริมฝีปากสีแดงสดของไป๋เสี่ยวเซียวได้ประทับลงบนเรียวปากของหลินเป่ยเฉินอย่างดูดดื่ม
รสจูบช่างอ่อนหวาน
อืม
เด็กสาวเริ่มลูบไล้ไปทั่วร่างกายหลินเป่ยเฉิน
เขารีบตั้งสติ ถอนริมฝีปากและดันไหล่ของนางออกห่าง “ใจเย็นก่อนสิ…”
หากมีใครสักคนผ่านมาเห็นเหตุการณ์นี้เข้า ก็คงคิดว่าเขาใช้กำลังบังคับขู่เข็ญนางแน่ ๆ
แต่ไม่รู้ไป๋เสี่ยวเซียวแข็งแรงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ นางโถมตัวลงมาพัวพันหลินเป่ยเฉินอย่างร้อนแรงอีกครั้ง
เดือดร้อนให้เขาต้องเพิ่มพละกำลังดันนางออกไป
แฮ่กแฮ่กแฮ่ก
ได้ยินเสียงหอบหายใจ
‘อีกไม่นาน ข้าก็ต้องจากไปแล้ว’
เขาเขียนข้อความบนพื้นดิน
ดวงตาของไป๋เสี่ยวเซียวเป็นประกายระยิบระยับ
‘ข้ารู้ดี’
นางเขียนข้อความตอบกลับมา
หลินเป่ยเฉินเขียนข้อความเพิ่มเติมว่า ‘เมื่อข้าไปแล้ว ข้าอาจจะไม่ได้กลับมาอีก’
‘ข้ารู้ดีว่าท่านอาจไม่กลับมาอีก’
ไป๋เสี่ยวเซียวกัดริมฝีปากล่างของตนเองแน่น
‘ถ้าอย่างนั้น เจ้าเห็นข้าเป็นบุคคลเช่นไร?’
หลินเป่ยเฉินเขียนข้อความถามกลับไป ‘เห็นข้าเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่ชมชอบเด็ดดอกไม้ริมทางหรือ?’
‘ชาวเผ่าจันทราขาวเราไม่สนใจสิ่งอื่นใดให้มากความ เมื่ออยากทำสิ่งใดแล้ว ก็ต้องทำให้สำเร็จ ดังนั้น ในเมื่อท่านไม่ใช่คนนอกเผ่าอีกต่อไป ท่านยังจะสนใจเหตุผลอันใดอยู่อีก’
ไป๋เสี่ยวเซียวเขียนข้อความนี้จบก็เชิดคางขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
หลินเป่ยเฉินถึงกับใจเต้นระทึกแล้วจริง ๆ
คิดไม่ถึงเลยนะว่าเศษสวะอย่างเขาจะทำให้สาวน้อยบริสุทธิ์เช่นนี้มาตกหลุมรักได้
ในเมื่อเชื้อเชิญขนาดนี้แล้วล่ะก็…
เขาเองก็ไม่มีปัญหา
ยิ่งไปกว่านั้น หากปฏิเสธ มันก็คงเป็นการทำร้ายจิตใจไป๋เสี่ยวเซียวเกินไปหน่อย
อีกอย่าง มีใครบ้างไม่อยากรับประทานผลไม้ป่าสักครั้งหนึ่งในชีวิต?