เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 165 ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร
บทที่ 165 ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร
“ต่อให้เขาจะเป็นนักศึกษาของเจ้ามันก็ไร้ความหมาย! นักศึกษาทุกคนในสถาบันนี้ล้วนต้องทำตามกฎของสถาบันเหมือนกันหมดทุกคน!” คิ้วของ ลู่เต๋อ กระตุกไม่หยุดหลังจากเห็นท่าทาง อันโอหังของ ไป๋ซู่ซู่ เขารู้สึกอยากจะกระโดดเข้าไปอัด ไป๋ซู่ซู่ ให้ลงไปนอนกองที่พื้น “ซูอัน ได้ละเมิดกฎของสถาบันเราด้วยการเล่นการพนันและเขายังกล้าเถียงกับอาจารย์ผู้สอนของสถาบัน อย่างเปิดเผย กฎพวกนี้แค่ผิดอย่างใดอย่างหนึ่งมันก็มากเกินพอที่จะให้เขาถูกไล่ออกจากสถาบัน ได้แล้ว!”
ทางด้านของ ซูอัน ในตอนนี้จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้กังวลเกี่ยวกับคำพูดของ ลู่เต๋อ มากเท่าไหร่ ต้องรู้ว่าวันนี้เขาเพิ่งบริจาคตั๋วหนี้ให้กับสถาบันไปซึ่งมูลค่าของมันเป็นเงินก้อนโต อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตอนนี้ ไป๋ซู่ซู่ ได้ก้าวออกมาช่วยเขา ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตอนนี้เขาจะขอดูเรื่องสนุกต่อไป อีกสักหน่อย
ไป๋ซู่ซู่ ส่ายหัวแล้วพูดว่า “พี่ลู่ ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าใจอะไรผิดไปอยู่บ้างสักหน่อย ถึงแม้ว่า ซูอัน จะเล่นการพนันจริงแต่เขาก็เล่นในบ่อนโกยเงินซึ่งอยู่นอกสถาบัน เท่าที่ข้ารู้ กฎของสถาบัน ใช้แต่เฉพาะภายในสถาบันเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ท่านบอกว่าเขาเถียงอาจารย์ผู้สอน เรื่องนี้ข้า ได้สอบถามรายละเอียดบรรดานักศึกษาที่ดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นมาแล้ว มันเป็น หยางเหว่ย ที่เป็นผู้เสนอการเดิมพัน และซูอันก็ถูกกดดันให้ยอมรับ ถ้าเจ้าจะลงโทษเขาในเรื่องนี้ คนอื่นจะไม่คิดว่าสถาบันของเราเข้าข้างอาจารย์อย่างไร้เหตุผลงั้นเหรอ โดยเฉพาะอาจารย์ผู้นั้นกลับกลายเป็น ผู้แพ้เดิมพันซะเอง? หากเรื่องนี้มันแพร่ออกไป มันจะเป็นเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่อย่างแท้จริงเมื่อถึงตอนนั้นคนทั้งอาณาจักรคนจะเอาสถาบันของเราไปนินทาได้ว่า อาจารย์ผู้สอนของ สถาบันจันทร์กระจ่าง เป็นคนสับปลับและหน้าด้านไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ทั้ง ๆ ที่ตัวเองอ่อนหัด”
คำพูดของ ไป๋ซู่ซู่ที่เรียก ลู่เต๋อ ว่า ‘พี่ลู่’ อย่างสนิทสนมมันทำให้ ลู่เต๋อ ตัวสั่นด้วยความรังเกียจ
ที่จริงแล้ว ลู่เต๋อ ก็เข้าใจดีว่าประเด็นของ ไป๋ซู่ซู่ นั้นมีเหตุผล แต่บังเอิญว่าคนพูดมันคือคู่ปรับเก่าของเขา มันจึงทำให้เขาเลือกที่จะเพิกเฉยต่อเหตุผลนี้ และยิ่งไปกว่านั้น มันเห็นได้ชัดว่า ไป๋ซู่ซู่ ไม่มีความสัมพันธ์พิเศษใด ๆ กับซูอันมาก่อนเลย ดังนั้นในสายตาของ ลู่เต๋อ จึงมองว่าการที่ ไป๋ซู่ซู่ ออกมาพูดตอนนี้มันเป็นเพียงเพราะแค่อยากจะก่อกวนเขาเท่านั้น ซึ่งมันยิ่งทำให้เขาไม่สามารถรับกับเหตุผลที่ฝั่งตรงข้ามพูดมาได้เข้าไปใหญ่ พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือเขาไม่อยากยอมแพ้การประชันฝีปากให้กับฝั่งตรงข้าม!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ลู่เต๋อ จึงยิ่งเสียงแข็งมากกว่าเดิม “ไม่ว่าเจ้าจะอ้างเหตุผลใด ๆ ก็ตาม แต่เจ้าน่าจะจำได้ว่าข้าคืออาจารย์ผู้คุมกฎของสถาบัน ดังนั้นคำพูดของข้าคือประกาศิต อาจารย์ไป๋ เจ้าอย่าได้เข้ามาก้าวก่ายการตัดสินใจของข้าที่นี่!”
ไป๋ซู่ซู่ เท้าสะเอวด้วยความไม่พอใจจากนั้นเขาตวาดใส่ ลู่เต๋อ เสียงดัง “เฮ้ นี่เจ้าคิดจะ ตัดสินโทษนักศึกษาโดยเพิกเฉยต่อหลักเหตุผลทั้งหมดแบบนี้ได้ยังไง? เจ้ากำลังใช้อำนาจในทาง ที่ผิด! อาจารย์ลู่ ถ้าเจ้าคิดจะทำแบบนี้จริง ๆ ข้าจะรายงานพฤติกรรมของเจ้าให้เบื้องบนทราบ!”
ลู่เต๋อ ระเบิดเสียงหัวเราะ “งั้นก็ไปเลย ฮ่าฮ่าฮ่า ต่อให้เจ้าจะรายงานเรื่องนี้ไปถึงเมืองหลวง เรื่องนี้ก็ยังอยู่ภายใต้เขตอำนาจของข้า แต่ถ้าหากเจ้าไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของข้าจริง ๆ งั้นเราก็มาสู้กันสักตั้งเพื่อตัดสินว่าใครถูกใครผิด!”
“ฮึ่ม! ได้เลยพวกเรามาสู้กันตัดสินไปว่าใครกันแน่ที่ถูก! ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก!” ไป๋ซู่ซู่ ตอบกลับเสียงดังลั่น
เมื่อพูดจบ ไป๋ซู่ซู่ หยิบดอกบ๊วยออกมาจากเสื้อคลุมของเขาพร้อมกับโคจรพลังเข้าไปด้านในส่งผลให้คลื่นพลังอันรุนแรงแผ่กระจายออกมารอบตัวเขาจนนักศึกษาทุกคนในบริเวณโดยรอบ ถูกบังคับให้ต้องล่าถอยอย่างเร่งรีบ
เมื่อเห็นว่านักศึกษาคนอื่น ๆ ถูกคลื่นพลังของ ไป๋ซู่ซู่ ซัดออกไปจนโกลาหลวุ่นวาย ซูอัน ก็รู้สึกประหลาดใจว่าทำไมมันถึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาเลย แต่แล้วในไม่ช้าเขาก็สังเกตเห็นว่า ซางหลิวอวี้ กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ เขา ซึ่งมันทำให้เขาจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองเกี่ยวกับนาง
ในขณะเดียวกัน เมื่อเห็นว่า ไป๋ซู่ซู่ เอาดอกบ๊วยออกมา สีหน้าของ ลู่เต๋อ ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด เขารีบตั้งท่าเตรียมต่อสู้โดยกำไม้บรรทัดคู่ใจเอาไว้แน่นพร้อมที่จะฟาดใส่คู่ต่อสู้ทุกเมื่อ
ตรงกันข้ามกับบรรดานักศึกษาชั้นเรียนสีดำและชั้นเรียนสีเหลืองที่กำลังรู้สึกตื่นตระหนกและวุ่นวาย บรรดานักศึกษาของชั้นเรียนนภาและชั้นเรียนปฐพี กลับมองดูการต่อสู้นี้ด้วยความตื่นเต้น
อาจารย์สองคนนี้เป็นผู้บ่มเพาะระดับ 6 ซึ่งการต่อสู้ระหว่างผู้บ่มเพาะระดับ 6 นั้น ย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หลายคนตั้งแต่เกิดจนตายอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นภาพการต่อสู้ ของผู้บ่มเพาะระดับนี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นมันเป็นเรื่องแน่นอนว่าพวกเขาจะไม่มีทางพลาดโอกาสอันล้ำค่านี้ที่จะได้เห็นการต่อสู้จริงของผู้บ่มเพาะระดับนี้
หยวนเหวินตง จ้องมองอาจารย์ผู้สอนทั้งสองอย่างไม่กะพริบตา ลุ้นให้การต่อสู้เริ่มขึ้นเร็วๆ เขาหวังว่าจะได้รับแรงบันดาลใจจากการต่อสู้นี้เพื่อเอามาใช้พัฒนาการบ่มเพาะของเขาเองในอนาคต แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของพวกเขาจะต่างกันแค่เพียง 1 ระดับ แต่มันมีผู้บ่มเพาะจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกนี้ที่ติดอยู่ในระดับ 5 ไปตลอดชีวิตของพวกเขา ไม่อาจหาวิธีระดับขึ้นไปได้ต่อได้
มีเพียง เพ่ยเหมียนหมาน เท่านั้นที่อ้าปากหาวด้วยความเบื่อหน่ายขณะที่นางเหลือบมอง ไปทาง ซูอัน ซึ่งนางก็สังเกตเห็นว่าฝั่งตรงข้ามแทบไม่ได้สนใจการต่อสู้อะไรเลย ชายผู้นี้เอาแต่จ้องมองไปที่ ซางหลิวอวี้ ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
เพ่ยเหมียนหมาน ส่ายหัวด้วยความละอายใจพลางคิดในใจ ชายผู้นี้ช่างเป็นคนที่เขาเป็นคนที่ไร้ยางอายอะไรได้ขนาดนี้…
บรรยากาศที่ตึงเครียดในตอนนี้ทำให้สีหน้าของ ไป๋ซู่ซู่ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ส่วน ลู่เต๋อ ก็แสดงสีหน้าราวกับว่าเขากำลังเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจที่สุดในชีวิต ทั้งสองประเมินกันและกัน อย่างมีสมาธิ มองหาช่องว่างที่จะโจมตี
“พวกท่านจ้องหน้ากันตั้งนานแล้ว สรุปพวกท่านจะสู้กันจริง ๆ หรือเปล่าหรือแค่อยากจ้องหน้ากันเฉย ๆ ?”
ในช่วงเวลานี้ที่ทุกคนกำลังรู้สึกทั้งตึงเครียดและตื่นเต้น จู่ ๆ เสียงที่ดูเกียจคร้านก็ทำลายบรรยากาศทุกอย่างลงอย่างย่อยยับ ฝูงชนหันไปมองต้นเสียงทันที ซึ่งทุกคนก็เห็นว่าคนที่พูดไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก ซูอัน ที่กำลังบิดขี้เกียจอยู่บนเก้าอี้
ท่านยั่วยุ ไป๋ซู่ซู่ สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +666!
ท่านยั่วยุ ลู่เต๋อ สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น +666!
ทุกคนต่างตะลึงใจกับคำพูดของ ซูอัน
ไอ้คนผู้นี้มันกล้าปากดีกับ ลู่เต๋อ และ ไป๋ซู่ซู่ พร้อม ๆ กันเลยงั้นหรือ ช่างเป็นคนที่กล้าหาญอะไรอย่างนี้!
ซูอัน ก็รู้สึกหมดหนทางเช่นกัน เขาจำเป็นต้องได้แต้มความโกรธแค้นมาพัฒนาตัวเองและเหตุการณ์เมื่อครู่มันก็เป็นโอกาสที่งามเป็นอย่างมาก เขาอดไม่ได้ที่จะปล่อยให้มันหลุดลอยไป ดังนั้นเขาจำเป็นต้องกระโดดเข้าไปร่วมด้วย
ไป๋ซู่ซู่และลู่เต๋อ ส่งสัญญาณกันทางสายตา จากนั้นพวกเขาทำสิ่งที่พวกเขาไม่เคยทำต่อกันมาก่อนก็คือการโทรจิตคุยกัน ‘เฮ้ เอาเป็นว่าเรื่องของเราเอาไว้ก่อนจะดีกว่า ตอนนี้พวกเรามาช่วยกันจัดการกับไอ้เด็กเวรนี่ก่อนเป็นอันดับแรกจะดีที่สุด ตกลงไหม?’
แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้เคลื่อนไหว เสียงที่เย็นชาและเต็มเปี่ยมไปด้วยอำนาจก็ดังขึ้น “พวกเจ้าทำอะไรกัน!?”
ไป๋ซู่ซู่ และ ลู่เต๋อ เบิกตากว้างด้วยความตกใจและรีบเก็บอาวุธของพวกเขาทันที พวกเขา โค้งคำนับเจ้าของเสียงที่กำลังเดินเข้ามาหาด้วยท่าทางเคารพ “ขอคารวะท่านอาจารย์ใหญ่!”
“คารวะท่านอาจารย์ใหญ่!”
“คารวะท่านอาจารย์ใหญ่!”
…
อาจารย์ผู้สอนและนักศึกษาคนอื่น ๆ ต่างก็โค้งเคารพแทบจะพร้อมเพรียงกัน
ซูอัน ค่อนข้างประหลาดใจกับภาพนี้ เขาไม่เคยคิดว่าอาจารย์ใหญ่คนสวยจะมีอำนาจ มากขนาดนี้ในสถาบัน
แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าคนเหล่านี้ทั้งหมดจงใจโค้งตัวลงเพื่อแอบมองขาของนางมากกว่าการเคารพหรือเปล่า? แต่อย่างน้อยที่สุด เขาก็มั่นใจได้ว่าหนึ่งในนั้นที่แกล้งโค้งเคารพจะต้องเป็นไอ้เว่ยสั่วแน่นอน!
แน่นอนว่าความเป็นจริงไม่ได้ต่างจากที่ ซูอัน คิดเลยแม้แต่น้อย สายตาของ เว่ยสั่ว จ้องเขม็งไปขาของ เจียงลั่วฝู จริง ๆ ด้วยสายตาที่เร่าร้อน เขาดูตื่นเต้นอย่างไม่น่าเชื่อ
นั่นไง บัดซบเอ๊ย!
ซูอัน ขมวดคิ้วด้วยความรังเกียจ แต่แล้วเขาเองก็มองไปที่ ซางหลิวอวี้ อย่างไม่รู้ตัว และสังเกตว่าวันนี้นางสวมกระโปรงยาวกว่าที่เคย ซึ่งเผยให้เห็นแค่เพียงข้อเท้าของนางเท่านั้น เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนที่พวกเขาเจอกันที่ศาลาซึ่งในวันนั้นนางใส่กระโปรงสั้นจนเห็น ต้นขาเนียน ๆ ของนาง ถ้าเขาเปรียบเทียบระหว่างขาของ ซางหลิวอวี้ กับ เจียงลั่วฝู แล้วขาของทั้งคู่นั้นงดงามไม่ต่างกันเลย
“เจ้ากำลังมองหาอะไร?” ซางหลิวอวี้ ถามขึ้นด้วยความสงสัย
ซูอัน ตอบกลับพร้อมกับยิ้ม “จริง ๆ แล้ว เจ้าควรใส่กระโปรงสั้นกว่านี้สักหน่อย มันน่าเสียดายที่เจ้าใส่กระโปรงยาวขนาดนี้ซึ่งมันปิดขาที่สวยงามของเจ้าจนหมด”
ซางหลิวอวี้ อึ้งไปชั่วขณะก่อนจะหัวเราะเบา ๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกเราเจอกันมาแล้ว ที่ศาลา ป่านนี้ข้าคงจับเจ้าโยนออกไปนอกสถาบันแน่นอน อย่าลืมสิว่าเจ้าเป็นนักศึกษาดังนั้น เจ้าควรทำตัวเหมือนนักศึกษาสักหน่อย เจ้าจะมาล้อเล่นกับข้าที่เป็นอาจารย์ผู้สอนของเจ้า ไม่ได้”
“นี่เจ้าหมายความว่าถ้าข้าไม่ล้อเล่นกับเจ้ามันคงจะไม่เป็นไรใช่ไหม?” ซูอัน ถามกลับด้วยสายตาเปล่งประกาย