เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 208 ลาภลอย
เมื่อได้ยินว่าคนต่อไปคือเยว่ซาน ฉินหว่านหรูก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เยว่ซานเป็นหัวหน้าทหารองครักษ์ของ ตระกูลฉู่ และเขายังเคยอยู่ในความดูแลของกองทัพผ้าคลุมสีชาด ที่สำคัญที่สุดระดับการบ่มเพาะของเขาตอนนี้อยู่ที่จุดสูงสุดที่ของระดับ 5 แล้ว ด้วยสถานะของเขา เขามักจะไม่เข้าร่วมกิจกรรมประเภทงานประลองระหว่างตระกูล แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไปเพราะมีตระกูลอู๋เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ดังนั้นฉู่จงเทียนจึงจงใจใส่ชื่อเยว่ซานลงไปเพื่อเป็นการรับประกันเพิ่มเติมว่าพวกเขาจะได้รับชัยชนะแน่นอน
เมื่อนึกย้อนกลับไป ถือว่าโชคดีที่พวกเขาทำเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นตระกูลฉู่ คงอยู่ในจุดที่เรียกได้ว่าวิกฤตแน่ๆ
คู่ต่อสู้ของเยว่ซานเป็นหนึ่งในลูกหลานของตระกูลหยวน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องลุ้นอะไรเลย เยว่ซานคว้าชัยชนะมาได้ในพริบตา และมันทำให้เสียงตะโกนโห่ร้องฝั่งตระกูลฉู่ดังขึ้นเป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ตาม คิ้วของฉู่ชูเหยียนยังคงขมวดแน่น มันจะเป็นการดีกว่านี้หากเยว่ซานเผชิญกับผู้บ่มเพาะระดับสูงของฝั่งตระกูลหยวน เพราะมันจะช่วยลดแรงกดดันต่อผู้ลงประลองฝั่งตระกูลนางที่เหลือ ทว่าคู่ต่อสู้ของเขากลับกลายเป็นคนอ่อนแอกว่าผู้บ่มเพาะที่ตระกูลหยวนส่งออกมาในสองรอบก่อนหน้านี้
ทำไมมันเหมือนกับว่าตระกูลหยวนรู้ล่วงหน้าว่านางจะส่งใครขึ้นไปประลองก่อนหลัง?
คู่ที่สี่ ฉู่อวี้เฉิงของตระกูลฉู่ ต้องเผชิญกับหยวนเปาของตระกูลหยวน
แม้ว่าฉู่อวี้เฉิงจะมีรูปร่างหน้าตาอ้วนท้วนน่ารัก แต่เมื่อเขาต่อสู้เขากลับกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกรงขาม! ไม่ต่างอะไรกับรถถังขนาดเล็ก เจ้าอ้วนพุ่งชนคู่ต่อสู้ไปทั่วเวทีประลอง และใช้เวลาไม่นานในการทำให้คู่ต่อสู้กระเด็นออกจากสังเวียนอย่างหมดสภาพ
คู่ที่ห้า ฉู่ฮงไฉของตระกูลฉู่ ต้องเผชิญกับหยวนหยาของตระกูลหยวน
เพลงกระบี่ของฉู่ฮงไฉนั้นเฉียบคมและเด็ดขาด เขาสามารถเอาชนะหยวนหยาได้อย่างรวดเร็ว บังคับให้อีกฝ่ายยอมจำนนหมดรูป
ชัยชนะสามครั้งติดต่อกันของตระกูลฉู่ ทำให้ฝูงชนพยักหน้ายอมรับ ราวกับว่ามันควรจะเป็นแบบนี้ อันที่จริงตระกูลฉู่นั้นคือยักษ์ใหญ่ของเมืองจันทร์กระจ่าง!
มีเพียงคิ้วของฉู่ชูเหยียนที่ขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ชัยชนะที่ผ่านมานั้นมาจากการเจอกับพวกลูกหลานตระกูลหยวนที่อ่อนแอซึ่งถูกบังคับให้เข้าร่วมการประลองเนื่องจากมีกฎระบุว่าลูกหลานของสาขาหลักทุกคนจะต้องเข้าร่วมในงานประลองระหว่างตระกูล ด้วยเหตุนี้ ตระกูลหยวนจึงไม่สามารถแทนที่พวกเขากับคนอื่นจากตระกูลอู๋ได้
เห็นได้ชัดว่าเป็นการจับคู่ระหว่างผู้อ่อนแอที่สุดกับผู้แข็งแกร่งที่สุดของเรา… มันมีเรื่องบังเอิญแบบนี้จริง ๆ งั้นเหรอ…
อย่างที่คาดไว้ สถานการณ์ที่น่ากังวลที่สุดก็เกิดขึ้น ในคู่ที่หก ตระกูลฉู่ประสบกับความพ่ายแพ้
ด้วยเหตุนี้ ผลการประลองจึงเสมอกันที่ 3:3! สำหรับคู่ที่เจ็ด ฉู่ชูเหยียนส่งผู้บ่มเพาะของตระกูลที่ชื่อหลานหลีคังขึ้นไปประลอง แต่ก่อนที่น่างจะส่งเขาขึ้นไป นางพยายามพูดกระตุ้นเขาเป็นพิเศษ เพราะถ้าเขาแพ้การประลองขึ้นมา แม้ว่าฉู่ชูเหยียนจะชนะคู่ของนาง น้องสาวของนางก็ยังคงต้องขึ้นเวทีประลอง และมีความเป็นไปได้สูงว่าซูอันก็คงต้องขึ้นประลองด้วย ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นปีนี้ตระกูลฉู่คงจะหนีไม่พ้นความพ่ายแพ้
ฉู่ชูเหยียนเป็นคนที่ได้รับการยอมรับจากทุกคนในตระกูลฉู่ โดยเฉพาะพวกคนรุ่นเยาว์ต่างมองนางไม่ต่างจากการเป็นเทพธิดาที่ตกลงมาจากสรวงสวรรค์ ดังนั้นหลังจากได้รับการให้กำลังใจแบบเป็นส่วนตัวแล้ว หลานหลีคังก็ยิ่งรู้สึกฮึกเหิมมากขึ้น ความสามารถในการต่อสู้ของเขาพุ่งขึ้นสูงมาอีก 2 ส่วนทันที!
แต่น่าเสียดายที่ผู้บ่มเพาะที่ตระกูลหยวนส่งมานั้นแข็งแกร่งกว่าเขา 1 ระดับเต็ม ดังนั้นทุก ๆ ครั้งหลังจากปะทะกัน หลานหลีคังจึงตกเป็นรองตลอด แต่ด้วยความหวังว่าจะทำได้ตามความคาดหวังของฉู่ชูเหยียน เขาจึงกัดฟันและรีดเค้นพลังออกจากทุกอณูของร่างกายเข้าปะทะกับฝั่งตรงข้ามหวังว่าจะกุมชัยชนะมาให้ได้ แต่ท้ายที่สุดทั้งเขาและคู่ต่อสู้ก็กระเด็นออกจากเวทีประลองพร้อมกัน ส่วนตัวเขานั้นก็บาดเจ็บไปไม่น้อย
ผลออกมาเป็นเสมอ!
ฝูงชนต่างอ้าปากค้างตกตะลึงกับความรุนแรงของการต่อสู้ที่เพิ่งบังเกิด มันเป็นการต่อสู้นองเลือดอย่างแท้จริงโดยทั้งสองฝ่ายต่างต่อสู้กันอย่างสุดชีวิต แม้แต่ผู้คนระดับสูงที่เฝ้าดูการประลองอยู่ต่างก็สัมผัสได้ถึงความตึงเครียดในอากาศรอบ ๆ พวกเขาต่างเพ่งความสนใจไปบนเวทีเป็นพิเศษ เพราะต้องคอยระวังไม่ให้ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างโดนลูกหลงไปด้วย หากมีผู้บาดเจ็บเกิดขึ้นภายใต้การดูแลของพวกเขา ชื่อเสียงของพวกเขาจะเสียหาย
หลังจากการประลองคู่ที่ 7 จบลง ฉู่จงเทียนก็รีบเดินไปหาหลานหลีคังพร้อมกับหมอคนหนึ่งของตระกูลฉู่
สำหรับหลานหลีคังที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าเขาจะเจ็บจนแทบเป็นลม แต่เขาก็ยังหลั่งน้ำตาออกมาในขณะที่เขามองไปที่ฉู่ชูเหยียนด้วยใบหน้าที่ละอายใจ “อภัยให้ข้าด้วยคุณหนูใหญ่ ข้าทำให้ท่านผิดหวัง ข้าไม่สามารถเอาชนะคู่ประลองของข้าได้!”
ฉู่ชูเหยียนตอบกลับอย่างอ่อนโยน “ระดับการบ่มเพาะของเขาสูงกว่าเจ้า เจ้าทำได้ดีแล้วกับผลเสมอที่ออกมา นับจากนี้เจ้าจงพักฟื้นให้สบายใจและอย่าคิดถึงเรื่องอื่น จงปล่อยเรื่องที่เหลือเป็นหน้าที่ของข้าเอง”
ถึงเวลาที่นางจะต้องขึ้นไปประลองแล้ว ศัตรูของนางคืออู๋ตี้ ของตระกูลหยวน ชายหนุ่มที่มีผิวซีดขาวอย่างแปลกประหลาด!
“ผู้อาวุโสอู๋ ระวังฉู่ชูเหยียน นางได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของคนรุ่นเยาว์ นางคืออัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ท่านอย่าได้ประมาทนางเด็ดขาด” หยวนเหวินตงเอ่ยเตือน
เขาได้วางลำดับให้อู๋ตี้กับฉู่ชูเหยียนเจอกันเพราะอีกฝ่ายเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลฉู่ นางเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งของรุ่นเยาว์ตระกูลฉู่ทั้งหมด หากพวกเขาสามารถเอาชนะนางในที่สาธารณะได้ พวกเขาจะสามารถทำลายชื่อเสียงของตระกูลฉู่ได้อย่างรุนแรง และทำให้ตระกูลหยวน โด่งดังมากขึ้นในอนาคต
“วางใจเถอะ ข้าแข็งแกร่งกว่านางแน่นอน การเอาชนะนางไม่ต่างกับการเดินเล่นในสวนสำหรับข้า!” อู๋ตี้ตอบกลับอย่างใจเย็น
ตอนนี้ สิ่งที่เขากังวลก็คือว่าเขาควรจะชนะการต่อสู้อย่างไรโดยไม่เปิดเผยระดับการบ่มเพาะของเขา ถึงผู้ตรวจการซ่างหงจะไม่เป็นปัญหา แต่มันเป็นการยากที่จะตบตาฉู่จงเทียนหรืออาจารย์ใหญ่เจียง หากทั้งสองคนนี้สังเกตเห็นบางอย่างที่ผิดปกติ ปัญหาที่ตามมามันจะใหญ่โตจนเขาแบกรับไม่ไหว
ในมุมตรงข้าม เยว่ซานก็ได้ให้คำแนะนำฉู่ชูเหยียนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณหนูใหญ่ คู่ประลองของท่านคือคนที่เราไม่เคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์แล้ว ข้าคิดว่าเขาจะต้องแข็งแกร่งกว่าทุกคนที่ตระกูลหยวนส่งลงมาประลองก่อนหน้านี้แน่นอน ท่านต้องระมัดระวังให้มาก”
ฉู่ชูเหยียนพยักหน้าอย่างใจเย็น
เยว่ซานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ ข้าเดาว่าข้าคงกังวลมากเกินไป คุณหนูใหญ่จะแพ้คนรุ่นเดียวกันได้อย่างไร?
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเตรียมการ ฉินหว่านหรูก็พูดคุยกับสามีของนางด้วยสีหน้ากังวล “สามี แม้ว่าชูเหยียนจะเป็นผู้ชนะ แต่เราก็จะขึ้นนำด้วย 4:3 ซึ่งมันยังเหลืออีกถึง 2 คู่กว่าการประลองจะจบลง เราจะแพ้แบบนั้นจริง ๆ เหรอ?”
นางมีความมั่นใจในลูกสาวคนโตของนาง แต่สำหรับ 2 คู่ที่เหลือนางไม่มีความมั่นใจเลย โดยเฉพาะคู่ของซูอันที่นางมองว่าแพ้แน่นอน
ฉู่จงเทียนไม่สามารถซ่อนความกังวลของเขาได้เช่นกัน
“หลังจากประลองคู่นี้จบมันก็นับได้ว่าตระกูลหยวนได้ส่งผู้บ่มเพาะที่ไม่ใช่สายเลือดของตระกูลหยวนโดยตรงออกไปหมดแล้ว ดังนั้นคู่ต่อสู้ของฮวนเจาก็ไม่ควรจะแข็งแกร่งเกินไปและด้วยคุณสมบัติพิเศษของแส้คร่ำครวญ นางน่าจะมีโอกาสชนะ” ฉู่จงเทียนตอบกลับ แต่น้ำเสียงของเขานั้นฟังดูไม่มั่นใจเอาซะเลย เขารู้ว่าลูกสาวคนรองของเขาเป็นคนที่เกียจคร้านในเรื่องการบ่มเพาะเป็นอย่างมาก นางแทบไม่ใส่ใจเรื่องการบ่มเพาะของนางเลย
ส่วนการประลองคู่ของซูอัน เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ที่ซูอันจะชนะ เขารู้สึกว่างานประลองครั้งนี้แปลกประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ แม้ด้วยความช่วยเหลือของตระกูลอู๋ ตระกูลหยวนก็ไม่น่าจะเทียบได้กับตระกูลฉู่ของเขา อีกฝ่ายมีผู้บ่มเพาะมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร? สิ่งนี้ทำให้เขางงงวยอย่างแท้จริง
…
ขณะที่พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ ฉู่ชูเหยียนก็เดินขึ้นไปบนเวทีอย่างสง่างาม ฝีเท้าของนางเบาและไหลลื่น ชุดของนางกระพือไปกับสายลมเบา ๆ เสริมให้บุคลิกของนางยิ่งโดดเด่นต่อหน้าฝูงชน
การปรากฏตัวที่สง่างามของนางเรียกเสียงโห่ร้องได้อย่างอื้ออึง
“คุณหนูใหญ่ฉู่ ข้าขอส่งกำลังใจให้ท่าน!”
“คุณหนูใหญ่ฉู่ช่างงดงามเหลือเกิน ซูอันช่างโชคดีเหลือเกินที่มีนางเป็นภรรยาของเขา!”
“พวกเจ้าสมองผิดปกติกันรึไง? ทำไมพวกเจ้าถึงทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นที่เจอผู้หญิงเป็นครั้งแรก?”
…
ซือคุนยิ้มเมื่อได้ยินเสียงตะโกนสรรเสริญฉู่ชูเหยียนดังจากทั่วทุกมุมของด้านล่างเวที อย่างที่คาดไว้ผู้หญิงคนที่ข้าหมายปองย่อมได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจากผู้คนทั่วไป แต่มีเพียงข้าเท่านั้นที่คู่ควรกับผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบอย่างนาง!
อย่างไรก็ตามภาพหน้าของชายที่ทำให้เขาเสียอารมณ์อย่างซูอันกลับปรากฏขึ้นมาขัดจังหวะความคิดของเขาอย่างน่าหงุดหงิด รอยยิ้มของเขาเปลี่ยนเป็นแข็งค้างและจากนั้นมันก็เปลี่ยนเป็นความรังเกียจ เขารู้สึกเหมือนเพิ่งกินแมลงวันตัวเป้ง ๆ เข้าไปยังไงยังงั้น
ซูอัน ผู้ซึ่งตั้งใจจะดูการประลองอย่างเงียบ ๆ รู้สึกประหลาดใจกับคลื่นคะแนนความโกรธแค้นลูกใหญ่ที่ถาโถมเข้าหา …เป็นอีกครั้งที่ความงามของฉู่ชูเหยียนได้สร้างประโยชน์ให้เขาอีกแล้ว ความอิจฉาของผู้ชายทั้งหลายช่างมีประโยชน์ต่อเขาจริงๆ
“ฮ่า! ทั้งที่ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย แต่กลับมีลาภเข้ามาเรื่อย ๆ ซะงั้น!” ซูอันเผลออุทาน
ฉู่ฮวนเจาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถูกกระตุ้นความสนใจทันที “ลาภ ? เข้ามาเรื่อย ๆ? ลาภอะไรพี่เขย?” นางถามขึ้นพร้อมกับกระตุกแขนเสื้อของซูอัน เสียงของนางเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ซูอันมองนางอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่จะส่ายหัว ดูเหมือนว่าสาวน้อยคนนี้จะติดใจเรื่องที่นางสามารถหาเงินได้ง่าย ๆ จากเรื่องครั้งที่แล้ว…
“ไม่ เจ้าได้ยินผิด” เพื่อที่จะทำให้นางเสียสมาธิ เขาจึงเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว “จริงสิตอนนี้พี่สาวของเจ้ามีระดับการบ่มเพาะอยู่ระดับไหน?”
“นางน่าจะอยู่ในระดับที่ 5 เอาจริง ๆ ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่านางทะลวงระดับขึ้นไปอีกรึยัง” ฉู่ฮวนเจาตอบกลับ
ซูอันรู้สึกขบขัน “นางเป็นพี่สาวของเจ้าแท้ ๆ แต่เจ้ากลับไม่รู้ระดับการบ่มเพาะของพี่สาวตัวเองเนี่ยนะ?”