เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 312 อุกกาบาต
บทที่ 312 อุกกาบาต
“ตระกูลฉู่ปฏิบัติต่อเจ้าค่อนข้างดีเช่นกัน แต่ข้าก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะมีปัญหาในการหักหลังพวกเขา” ซูอันเย้ยหยันเมื่อเห็นว่านางแสดงท่าทางเห็นใจพวกชาวบ้านที่เพิ่งรู้จัก
เฉียวเสวี่ยอิงระเบิดอารมณ์ทันที “ถากถางพอหรือยัง? ปากของเจ้านี่มันน่าเอากระบี่ฟันจริง ๆ!”
“แล้วมันใช่ไหมล่ะ? ข้าแค่พูดความจริง” ซูอันตอบพร้อมกับยักไหล่ก่อนจะเมินหน้าหนี
เฉียวเสวี่ยอิงก็หัวเราะออกมาทันที “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าอิจฉาข้าเพราะพวกเขาดีกับข้าแต่กลับไม่สนใจเจ้าใช่ไหมล่ะ ฮ่า ๆๆ!”
“ไร้สาระ! ข้าจะสนใจเรื่องนั้นทำไม?” ซูอันปฏิเสธขณะที่เขาเดินออกไป “เราเดินสำรวจพื้นที่รอบ ๆ หมู่บ้านกันก่อน พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว”
ชายหนุ่มไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเวลาที่นี่มากนักเพราะตระหนักว่าการไหลของเวลาในผนึกนั้นแตกต่างจากโลกภายนอก ตราบใดที่ตนไม่ใช้เวลานานมากเกินไปมันก็น่าจะไม่มีปัญหา
“ข้าคิดไม่ผิดหรอก! ฮึ เจ้าคนใจแคบขี้อิจฉา!” เฉียวเสวี่ยอิงเดินตามอีกฝ่ายไปด้วยรอยยิ้มขบขัน นางอารมณ์ดีขึ้นกว่าตอนแรกมาก
หมู่บ้านเฉินแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป มีชาวบ้านประมาณสิบครอบครัวเท่านั้น
เมื่อพวกเขาสำรวจรอบบริเวณหมู่บ้านจนเสร็จก็ถึงเวลาพลบค่ำผู้ชายที่ทำงานในทุ่งนากลับบ้านแล้ว ได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงแว่วมาจากบ้านบางหลัง แน่นอนว่าบางหลังก็มีเสียงตะโกนดุด่าเช่นกัน
นี่เป็นหมู่บ้านตามประวัติศาสตร์ทั่วไป
ทั้งสองแอบเข้าไปในหมู่บ้านและฟังบทสนทนาของครอบครัวต่าง ๆ โดยหวังว่าจะรวบรวมเบาะแสบางอย่างได้
“หืม? มีเสียงแปลก ๆ มาจากทางนั้น!” เฉียวเสวี่ยอิงดึงแขนเสื้อของซูอันไปยังบ้านหลังหนึ่ง
ไม่นาน เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้บ้าน ในที่สุดก็หาได้ว่าเสียงประหลาด ๆ คืออะไร เสียงลมหายใจแรงและเสียงเอี๊ยดอ๊าดของเตียง นอกจากนี้ยังมีเสียงกระซิบกระซาบระหว่างชายหญิงด้วย…
เฉียวเสวี่ยอิงหน้าแดง นางเดาะลิ้นและพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ช่างน่าอายจริง ๆ เพิ่งจะมืดก็ทำเรื่องน่าอายกันซะแล้ว!”
“เจ้าอยู่กับตระกูลร่ำรวยจนเคยชินกับชีวิตฟุ่มเฟือย ไม่เข้าใจความลำบากของสามัญชน ชาวบ้านส่วนใหญ่ยากจนเกินไปที่จะซื้อตะเกียงน้ำมัน เจ้าคาดหวังให้พวกเขาทำอะไรอย่างอื่นอีกหลังจากพระอาทิตย์ตกดินงั้นเหรอ?” ซูอันตอบกลับ
เฉียวเสวี่ยอิงเอามือปิดหูขณะที่นางเย้ยหยัน “เจ้าพูดเหมือนเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้จริง ๆ นะ พอแล้ว ไปบ้านอื่นเถอะ”
“อา…นี่ทำให้ข้านึกคำถามอะไรออก เจ้าอยากลองตอบดูมั้ย?” ซูอันถาม
“คำถามอะไร? ว่ามาสิ” เฉียวเสวี่ยอิงย่อมไม่ปฏิเสธว่านางเป็นคนมีสติปัญญา และบรรยากาศก็ยังค่อนข้างอึดอัดหลังจากได้ยินเสียงพลอดรักเหล่านั้น ดังนั้นนางจึงตัดสินใจลองดู
“หมอเทวะจี้คิดค้นยาที่ผู้หญิงจะยอมจำนนถ้าผู้ชายกินมัน และผู้ชายจะยอมจำนนถ้าผู้หญิงกินมัน ถ้าทั้งชายและหญิงกินยาทั้งคู่ เจ้าคิดว่าใครจะยอมจำนนเป็นคนแรก” ซูอันถาม
เฉียวเสวี่ยอิงหน้าแดง นางสาปแช่งเบา ๆ “บัดซบ! ข้าหลงคิดว่าเขาเป็นหมอเทวะที่มีคุณธรรม! ทำไมเขาไม่เลือกที่จะสอนวิธีเอาชนะใจเพศตรงข้ามให้กับผู้อื่นแทนที่จะปรุงยาผิดศีลธรรมพวกนี้ออกมา!”
ชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะ “เจ้าสามารถวิจารณ์จี้เติ้งถูได้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการเมื่อเจ้ากลับไปที่เมืองจันทร์กระจ่าง ว่าแต่คำตอบของเจ้าคืออะไร?”
“ข้าจะรู้คำตอบของคำถามแบบนี้ได้ยังไง!” เฉียวเสวี่ยอิงเมินหน้าหนี ใบหน้ายังคงแดงก่ำ
“เฮอะ! เดาไม่ผิดเลยเลยจริง ๆ ข้านึกอยู่แล้วเชียวว่าไม่มีทางที่เจ้าจะคิดออกด้วยสมองเล็ก ๆ ของเจ้า เอาล่ะนะ ข้าจะให้คำตอบเจ้า ย่อมเป็นขาเตียงที่ยอมจำนนก่อน!” ซูอันหัวเราะอย่างเต็มที่
เฉียวเสวี่ยอิงจ้องไปที่ชายหนุ่มและพูดเสียงเขียว “ถ้าเจ้ากล้าพูดเรื่องตลกที่หยาบคายพวกนี้ต่อหน้าฉู่ชูเหยียน นางไล่เจ้าออกจากตระกูลฉู่แน่ ๆ”
“เฮอะ นางอาจจะไล่ใครก็ตามออกจากตระกูลฉู่ได้ แต่ไม่ใช่ข้าแน่นอน!” ซูอันตอบ
“ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน?” เฉียวเสวี่ยอิงส่งเสียงจิ๊จ๊ะก่อนจะออกเดิน
ชายหนุ่มยักไหล่อย่างสบาย ๆ ขณะที่เขาตามนางไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งบังเอิญเป็นพ่อของชายร่างกำยำเฉินเว่ย
ในฐานะหัวหน้าหมู่บ้าน ครอบครัวของเขาย่อมมีฐานะมากกว่าชาวบ้านคนอื่น อย่างน้อยที่สุด พวกเขาก็สามารถซื้อตะเกียงน้ำมันได้ เงาของพวกเขาสามารถมองเห็นได้บนผนังขณะที่พวกเขาพูดคุยกันใกล้หน้าต่าง
หัวหน้าหมู่บ้านพูดด้วยน้ำเสียงที่หวาดกลัว “ดาวปาริชาตกลืนดวงใจปรากฏ! นี่เป็นลางบอกเหตุของวิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้น!”
อย่างไรก็ตาม เฉินเว่ยไม่ได้คิดอะไร “พ่อ ‘ดาวปาริชาตกลืนดวงใจ’ ไม่มีอะไรมากไปกว่าตำนานโบราณที่ผู้มีอำนาจใช้เพื่อบรรลุเป้าหมาย เรื่องหลอกลวงแบบนี้จะเอามาทำนายภัยพิบัติได้อย่างไร?”
“เจ้ายังเด็กเจ้าไม่เข้าใจ… เมื่อโลกเชื่อในเรื่องนี้ แม้แต่เรื่องเท็จก็สามารถกลายเป็นความจริงได้ วิกฤตเกิดขึ้นได้ด้วยเจตจำนงของมนุษย์” หัวหน้าหมู่บ้านตอบพร้อมกับส่ายหัว
“แม้ว่า ‘ดาวปาริชาตกลืนดวงใจ’ จะเกิดขึ้นตามที่ตำนานทำนายไว้ แต่คนที่ได้รับผลของมันก็คือองค์จักรพรรดิเท่านั้น เกี่ยวอะไรกับชาวบ้านธรรมดาอย่างเรา อันที่จริง มันจะเป็นวันที่น่าฉลองมากกว่า หากทรราชนั่นตาย ๆ ไปซะ!”
“ชู่ว!! เจ้าเบื่อชีวิตมากหรือไง!” หัวหน้าหมู่บ้านที่ตกใจรีบเอามือปิดปากลูกชายของเขาทันที “ถ้ามีคนได้ยินคำพูดของเจ้าและรายงานเจ้าหน้าที่ทางการ เราทุกคนในหมู่บ้านจะต้องโทษประหารเก้าชั่วโคตร!”
เฉินเว่ยตอบโต้เสียงดัง “ข้าพูดผิดตรงไหน ปรากฏการณ์ ‘ดาวปาริชาตกลืนดวงใจ’ เป็นสิ่งที่จักรพรรดิและพวกขุนนางต้องกังวล มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา!”
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น…” เสียงของหัวหน้าหมู่บ้านเต็มไปด้วยความกังวล
ทั้งสองหมดอารมณ์ที่จะสนทนาต่อ ในไม่ช้าแสงสว่างในบ้านก็ดับลง
“ ‘ดาวปาริชาตกลืนดวงใจ’ หมายถึงอะไร? ซูอันรู้สึกงุนงงกับบทสนทนา เขากำลังจะถามเฉียวเสวี่ยอิง แต่ก็ได้เห็นว่านางกำลังจ้องมองท้องฟ้าด้วยความงุนงง
“มีอะไรเหรอ?” ซูอันเงยหน้ามองท้องฟ้าเห็นเพียงดวงดาวกระจัดกระจายท่ามกลางความมืดมิด เขามองไม่เห็นสิ่งผิดปกติ
เมื่อนึกย้อนกลับไป เขาไม่ได้เห็นดาวเต็มท้องฟ้าแบบนี้มานานแล้ว เพราะแสงอันเจิดจ้าและควันมากมายที่ปกคลุมท้องฟ้าของเมืองใหญ่เมื่อชีวิตก่อน
เฉียวเสวี่ยอิงชี้ไปที่จุดหนึ่งบนท้องฟ้าด้วยสีหน้ากังวลใจ แล้วพูดว่า “เจ้าเห็นดาวสองดวงที่สว่างที่สุดนั่นไหม?”
ซูอันมองไปในทิศทางที่นางชี้ไปและเห็นดาวสองดวงที่สว่างกว่าดาวดวงอื่นอย่างเห็นได้ชัด
“ดวงที่ด้านซ้ายบนคือ ดาวปาริชาต ดาวลางร้ายที่เป็นลางบอกเหตุของภัยพิบัติและความตาย มีดาวสามดวงที่ด้านขวาล่างของมัน ดวงที่สว่างที่สุดตรงกลางหมายถึงบุตรแห่งสวรรค์ซึ่งก็คือองค์จักรพรรดิ ในขณะที่ทั้งสองข้างหมายถึงรัชทายาทและประชาชนทั่วไป ตอนนี้ดาวปาริชาตได้หยุดอยู่ตรงกลางด้านข้างดาวตัวแทนของจักรพรรดิ นี่เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ท้องฟ้าที่เป็นลางร้ายที่สุด มีชื่อเรียกว่าดาวปาริชาตกลืนดวงใจ”
“ลางร้ายจากสวรรค์?” ซูอันเยาะเย้ย “เจ้าเชื่อเรื่องงมงายพวกนี้ด้วยเหรอ?”
ไม่มีทางที่เขาจะเชื่อเรื่องคำทำนายจากดวงดาว เพราะตัวเขาเองเติบโตมาในโลกแห่งวิทยาศาสตร์เมื่อชีวิตก่อนหน้านี้ แต่พอลองคิดถึงระบบคีย์บอร์ดของเขา การมีอยู่ของการบ่มเพาะ และเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งหมดในโลกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถอธิบายได้ในทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน
“จะเรียกว่าเป็นเรื่องงมงายได้อย่างไร? เกิดปรากฏการณ์นี้ทีไร มันจะจบลงด้วยการสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันของจักรพรรดิหรือขุนนางใหญ่ ๆ ที่สำคัญ บางครั้งมันอาจส่งผลให้เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่เลยนะ!” เฉียวเสวี่ยอิงไม่พอใจกับความไม่ใส่ใจของซูอัน
นี่เป็นเรื่องที่คนทั่วไปรู้กันดี ทำไมไอ้คน ๆ นี้ถึงทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ได้?
จู่ ๆ ก็มีความคิดผุดขึ้นในใจของซูอัน “เดี๋ยวนะ ผนึกสวรรค์นี่ เกี่ยวข้องกับดาวปาริชาตกลืนดวงใจนี้ไหม?”
เฉียวเสวี่ยอิงขมวดคิ้วด้วยความกังวล “หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น ไม่เช่นนั้นเราอาจจะตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง”
ขณะที่นางพูด นางก็เห็นว่าจู่ ๆ ซูอันเบิกตากว้างมองไปบนท้องฟ้า นางรีบแหงนหน้ามองตามทันทีและเห็นว่าขณะนี้กำลังมีเปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ตกลงมาจากท้องฟ้า
“อุกกาบาต!” เฉียวเสวี่ยอิงอุทาน
“เจ้ารู้จักอุกกาบาตด้วยเหรอ?” ซูอันถามด้วยความประหลาดใจ
“แน่นอน! เจ้าไม่รู้หรือว่าผู้บ่มเพาะธาตุไฟและธาตุดินมีวิชาต้องห้ามที่สามารถเรียกอุกกาบาตได้” เฉียวเสวี่ยอิงรู้สึกสงสัยว่ามีอะไรให้ซูอัน ตื่นเต้นกัน?
อุกกาบาตมีขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา พวกเขายืนมองมันตกลงมาซึ่งทำให้พวกเขามองเห็นชั้นของเปลวไฟที่ปกคลุมพื้นผิวของมันในท้ายที่สุด
“เจ้าคิดว่ามันจะตกที่ไหน? คงไม่ใช่ตกตรงพวกเราใช่มั้ย? เราคงไม่โชคร้ายถึงขนาดนั้นหรอกถูกต้องไหม?”
หลังจากที่ซูอันพูดคำเหล่านั้นได้ไม่นาน อุกกาบาตก็ระเบิดแตกกระจายออกเป็นเศษขนาดเล็กหลายลูก การระเบิดดูเหมือนจะส่งผลกระทบต่อวิถีของมัน ดังนั้นเศษบางส่วนจึงพุ่งลงมาในทิศทางของพวกเขาแทน
“ปากเจ้านี่มันพาซวยจริง ๆ ไอ้คนบ้าเอ๊ย!!” เฉียวเสวี่ยอิงคำรามด้วยความโกรธ นางคว้าแขนเขาและรีบหนีทันที