เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 381 เจ้าโง่หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้
บทที่ 381 เจ้าโง่หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้?
บทที่ 381 เจ้าโง่หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้?
“ซูอัน… เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
“ก่อนหน้านี้ข้าบอกท่านแล้ว ให้เรียกข้าว่า อาซู แทน” ซูอันพูดขณะที่เขาเปลี่ยนอิริยาบทกลับมายืนเป็นท่าปกติเหมือนคนทั่วไป
“อ…อู้ววว! ช่วยข้าด้วย! เอวของข้า… เอว…”
ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะอวดคนอื่น ซูอันยืนแอ็กท่าทางที่เขาคิดว่าเท่สุดชีวิตซึ่งมันเป็นท่าที่ยากลำบากอย่างเหลือเชื่อ แต่มันกลับทำให้กล้ามเนื้อของเขาตอนนี้ตึงและเจ็บปวด
“…” ฉินหว่านหรู
นางมีคำถามมากมายที่อยากจะซักถาม แต่ก่อนที่จะได้ทำตามต้องการ ซูอันก็ได้หวนกลับไปเป็นไอ้ตัวหน้าด้านเหมือนเดิมอีกแล้ว
ข้าจะถามอะไรมันอีก! ไอ้เวรนี่ทำให้ข้าลืมความซาบซึ้งในใจไปจนหมด!
ฉินหว่านหรูมองซูอันอย่างเงียบ ๆ สักครู่ ก่อนที่นางจะสามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้และถามว่า “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่? ตอนนี้เจ้ารู้สึกยังไง? ข้าเห็นชายคนนั้นต่อยเข้าเต็ม ๆ ที่หน้าอกของเจ้า…”
หากชายชุดดำเป็นผู้บ่มเพาะระดับแปดจริง ๆ แม้แต่ฉู่จงเทียน สามีของนางที่เป็นผู้บ่มเพาะอันดับหนึ่งของเมืองจันทร์กระจ่าง อย่างน้อยที่สุดก็จะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ นางจึงกังวลมากว่าซูอันจะเป็นอะไรไป
“ได้รับบาดเจ็บ? อา ใช่ ข้าบาดเจ็บ!” ซูอันทำท่าจับหน้าอกอย่างเจ็บปวดในขณะที่เขาเริ่มตะโกนด้วยท่าทางเกินจริงและล้มลงไปทางนาง
แต่เมื่อผ่านไปได้ครึ่งทาง เขาก็นึกขึ้นได้ว่าข้าง ๆ เขาไม่ใช่ภรรยาแต่เป็นแม่ยาย จึงรีบหยุดท่าทางล้มที่ทำอยู่ด้วยความตกใจและเกาหัวอย่างเชื่องช้า
“เอาหินพลังชี่ระดับสวรรค์ออกมาที! แต่ถ้าหากไม่มีหินพลังชี่ระดับสวรรค์ ท่านเอาระดับปฐพีมาให้ข้าก็ได้เช่นกัน เตรียมยาคุณภาพดีที่สุดและสมุนไพรบำรุงด้วยทุกชนิดเอาไว้ด้วย! ข้าต้องพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ!”
“…” ฉินหว่านหรู
เมื่อได้ยินข้อเรียกร้องที่ไร้สาระของซูอันแล้ว ฉินหว่านหรูก็รู้ตัวช้าว่าจริง ๆ แล้วเขาไม่ได้รับบาดเจ็บเลย อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาว่าเขาเพิ่งทำประโยชน์มหาศาลให้กับตระกูลฉู่ นางรู้ว่าไม่ใช่เวลาที่จะตำหนิเขาดังนั้นจึงหันไปสนใจเยว่ซานแทน
“เจ้ารู้ตัวตนของผู้บุกรุกแล้วหรือยัง?”
เยว่ซานส่ายหัวและตอบว่า “ยังเลย นายหญิง ในร่างของเขาไม่มีสิ่งของที่สามารถระบุตัวตนของเขาได้เลย ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้าของเขา…”
เขาเหลือบมองซูอันอย่างเกรงกลัวก่อนที่จะพูดว่า “ดัชนีกระบี่หกชีพจร ของนายน้อยมีพลังมากเกินไปจนใบหน้าของผู้บุกรุกเละไปหมด เราจำรูปพรรณเขาไม่ได้เลย”
ซูอันรู้สึกแย่อย่างเหลือเชื่อ ผู้เฒ่ามี่ไม่โหดเหี้ยมไปหน่อยเหรอ? การฆ่าเขาเข้าใจได้ แต่ทำไมต้องอัดหน้าอีกฝ่ายให้เละแบบนี้ด้วย?
ซูอันรีบเช็ดมือบนเสื้อผ้าของเขา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้จิ้มนิ้วไปที่หน้าของซือเล่อจื่อเพื่อที่จะอวดคนอื่น เขารู้สึกเหนียว ๆ ที่ปลายนิ้ว และเริ่มคิดว่าที่เปื้อนนิ้วอยู่อาจจะเป็นเลือดหรือเศษสมอง
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มรู้สึกสนุกกับการอาการตกตะลึง 10% ความกลัว 20%, ความชื่นชม 30% และความเคารพ 40% จากทหารยามที่จ้องมองมาที่เขา เขารู้สึกกระปรี้กระเปร่าท่ามกลางสายตาเหล่านี้ ราวกับว่าเพิ่งได้กินโสมมนุษย์ไปกองหนึ่ง
รู้สึกดีมาก มีแต่คนชื่นชมข้า! ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องโกหกแต่มันก็เป็นสิ่งได้ที่มาจากทักษะการเสแสร้งของข้าเอง!
“ซู…” ฉินหว่านหรูชะงัก นางจำสิ่งที่ซูอันพูดก่อนหน้านี้ได้อย่างรวดเร็วและเปลี่ยนวิธีเรียกขานของนาง “อาซู เจ้ารู้ตัวตนของบุคคลนี้หรือไม่?”
ซูอันลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว “ข้าไม่แน่ใจ ข้ามัวแต่กังวลมากเกินไปเรื่องที่ชูเหยียนได้รับบาดเจ็บ ข้านอนไม่หลับ ดังนั้นจึงเริ่มเดินไปรอบ ๆ อย่างไร้จุดหมาย แล้วชายผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นจากที่ไหนก็ไม่รู้และโจมตีข้า”
ซูอันไม่ได้เปิดเผยตัวตนของซือเล่อจื่อ เนื่องจากรู้ว่ามันอาจทำให้เกิดความยุ่งยากตามมามากมาย ซือเล่อจื่อเป็นผู้บ่มเพาะระดับแปดที่มีชื่อเสียง และถ้าคนอื่นรู้ว่าซือเล่อจื่อเสียชีวิตด้วยมือของเขา ชายหนุ่มจะกลายเป็นที่สนใจของขั้วอำนาจอื่น ๆ ในเมืองจันทร์กระจ่างโดยไม่ต้องการ
นั่นน่าจะสร้างปัญหาให้กับเขาอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อชายหนุ่มยังไม่มีกำลังพอที่จะปกป้องตัวเองได้ นอกจากนี้ มันไม่ใช่สไตล์ของซูอันที่จะทำตัวเป็นจุดเด่นในที่โล่ง เขาค่อนข้างที่จะชอบซ่อนตัวอยู่ในเงามืดและคอยหาโอกาสโจมตีศัตรูอย่างลับ ๆ มากกว่า
ข้าอยากให้ซือคุนรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับการตายของลูกน้องตัวเอง
เมื่อฉินหว่านหรูได้ยินว่าเขากังวลเรื่องความปลอดภัยของลูกสาวนาง ก็พยักหน้าอย่างพอใจ อย่างน้อยเจ้าก็มีสติเป็นห่วงลูกสาวข้า!
อย่างไรก็ตามนางยังคงสงสัยในตัวซูอัน “ทำไมจู่ ๆ ก็มีคนโผล่ออกมาและพยายามจะปลิดชีวิตเจ้า?”
ซูอันยักไหล่และตอบว่า “ข้าจะรู้ได้ยังไง? แต่คนที่โดดเด่นอย่างข้ามักจะดึงดูดสายตาที่ชื่นชมจากสาวสวยทั่ว ๆ ไปอยู่แล้ว ดังนั้นบางทีผู้ชายบางคนอาจรู้สึกอิจฉาข้าเลยอยากกลั่นแกล้งข้า จนไปถึงพยายามสังหารข้าก็ได้”
“…” ฉินหว่านหรู
“…” เยว่ซาน
“…” ทหารยาม
พวกเขาเข้าใจในทันใดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนตามล่าเอาชีวิตของ ซูอัน ตรงกันข้าม มันจะยิ่งแปลกถ้าไม่มีใครพยายามจะฆ่าคนหน้าด้านเช่นนี้
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของฝูงชนรอบ ๆ ซูอันก็รู้ว่าพวกเขาสงสัยเกี่ยวกับคำตอบของตัวเอง ฮ่า ๆ! พวกเจ้าเชื่อข้าทันทีทุกครั้งที่ข้าโกหก แต่ทันทีที่ข้าพูดความจริง เจ้ากลับสงสัยในตัวข้าซะอย่างงั้น
“เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเขาอาจจะเป็นผู้บ่มเพาะระดับแปด?” ฉินหว่านหรู ถาม
“ข้าเดาว่าถ้าไม่ใช่ก็ใกล้เคียง เขาดูแข็งแกร่งมาก” ซูอันตอบพร้อมกับกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา
ฉินหว่านหรูยิ่งงุนงงมากกว่าเดิม เพราะด้วยความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะระดับ 7 ขั้นปลายหรือ 8 นั้นเป็นตัวตนที่ซูอันไม่สามารถรับมือได้อย่างแน่นอน นางจึงถามต่ออีก “เจ้าฆ่าเขาได้ยังไง?”
“ยังไง? ข้าแค่แข็งแกร่งกว่าเขา” ซูอันตอบพร้อมกับยักไหล่ “ท่านไม่เห็นเหรอว่าข้าเจ๋งแค่ไหนในงานประลองระหว่างตระกูล? ข้าเองก็เป็นผู้บ่มเพาะเหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องปกติเหรอที่ข้าจะฆ่าผู้บ่มเพาะคนอื่นได้?”
ฉินหว่านหรูบ่นงึมงัมเมื่อได้ยินคำตอบของเขา นางคิดว่าเขาแค่ไม่เต็มใจที่จะเปิดเผยไพ่เด็ดของเขากับนาง ดังนั้นจึงเลิกความสนใจในการตรวจสอบเขาอีก
“ว่าแต่ผู้หญิงคนนั้นอยู่ไหน?”
ทันใดนั้นนางก็จำได้ว่าเห็นซูอันถูกผู้หญิงคนหนึ่งจูงมือ ซึ่งมันทำให้ใบหน้าของนางมืดลงทันที
“อา ผู้หญิงคนนั้นนั่นเอง แค่คนที่บังเอิญผ่านมาละมั้ง” ซูอันตอบ จากนั้นก็ตบมือของเขาขณะที่เขาตั้งข้อสังเกตว่า “อา ข้าแค่สงสัยว่ามันแปลกแค่ไหนที่มีคนจะเอาชีวิตของข้า พอมาคิดดูแล้ว ชายชุดดำคงกำลังไล่ตามผู้หญิงคนนั้นอยู่ ฮ่า ๆ น่าเสียดายที่นางวิ่งหนีเร็วเกินไป ข้าไม่ทันได้ถามชื่อนางเลยด้วยซ้ำ! แต่อย่างน้อยที่สุดที่นางควรทำคือหมั้นกับข้าเพื่อตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตใช่ไหม?”
เยว่ซานจ้องมองซูอันด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม ช่างเป็นผู้ชายที่เหลือเชื่อจริง ๆ นายน้อยของเรา เขาช่างกล้าพูดว่าจะให้หญิงอื่นมาหมั้นหมายตัวเองต่อหน้าแม่ยาย!
ในทางกลับกัน ความคิดของฉินหว่านหรูกลับเปลี่ยนไปในทางที่ต่างออกไป ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้รับการช่วยเหลือจากเขาเช่นกัน นี่เขาจะให้ข้าหมั้นแทนบุญคุณด้วยหรือเปล่า หืม?
‘ฮึ่ม! ข้าคิดว่าไอ้เด็กนี่ไม่มีทางกล้าลามปามข้าถึงขนาดนั้นแน่นอน!’
ความคิดของนางทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นจึงรีบหันไปสนใจพวกทหารยามและเริ่มออกคำสั่ง นางสั่งให้ตรวจค้นพื้นที่เพื่อตรวจสอบว่ามีผู้บุกรุกรายอื่น ๆ อยู่ในพื้นที่หรือไม่ และมอบหมายให้เพิ่มทหารยามเพื่อลาดตระเวนบริเวณรอบนอกของตระกูลฉู่
หลังจากนั้น นางจึงเรียกคนอื่น เช่น เยว่ซาน หงจง และผู้ช่วยใกล้ชิดคนอื่น ๆ ของตระกูลฉู่ มาหารือเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้
ในไม่ช้า คนเดียวที่เหลืออยู่ในลานโล่งคือซูอัน หลังจากแน่ใจว่าทุกคนออกไปแล้ว เขาจึงอุ้มเฉียวเสวี่ยอิงออกจากพุ่มไม้ และพบว่าร่างกายของนางร้อนจัด ราวกับว่าออกมาจากเตาหลอม
ด้วยกังวลว่าคนอื่นจะสังเกตเห็น เขาจึงรีบอุ้มนางกลับไปที่ห้องของเขาทันที
โชคดีที่ทหารยามที่ได้รับมอบหมายให้ประจำอยู่ใกล้ห้องของเขาถูกส่งไปที่อื่นเนื่องจากเหตุการณ์ผู้บุกรุก ซึ่งทำให้ง่ายในการพาเฉียวเสวี่ยอิงเข้าไปในห้องโดยไม่มีใครจับได้
ซูอันรีบรินชาเย็น ๆ หนึ่งถ้วยและป้อนให้เฉียวเสวี่ยอิงที่นั่งอยู่บนเตียง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล เขาจำได้ว่าผู้ป่วยไข้ในโลกก่อนหน้าของเขามักจะเอาผ้าชุบน้ำมาวางบนหน้าผากเพื่อลดอุณหภูมิของร่างกาย ดังนั้นชายหนุ่มจึงออกไปตักน้ำ ทว่าก่อนที่ซูอันจะเดินออกไป จู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีมือมาคว้าแขนของเขาไว้
เขาหันศีรษะไปมอง และเห็นว่าเฉียวเสวี่ยอิงตื่นขึ้นแล้ว ดวงตาของนางไม่ชัดเจนเหมือนปกติ แต่แวววาวไปด้วยความเสน่หา “อย่าไป…”
“ข้าแค่จะออกไปหยิบผ้าชุบน้ำมาโปะหน้าผากเจ้าให้เย็นลง หรือว่าเจ้าจะให้ข้าพาเจ้าไปที่สระน้ำเพื่อให้เจ้าได้อาบน้ำเย็นดี? นั่นน่าจะช่วยบรรเทาผลกระทบของพิษได้ใช่ไหม?” ซูอันถามอย่างกังวล
อย่างไรก็ตาม เฉียวเสวี่ยอิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่มีทางที่พิษของตระกูลซือจะสามารถแก้ไขได้ง่ายขนาดนั้น”
“อา…เจ้ายังมียาสงบใจที่เสี่ยวซีมอบให้เจ้าก่อนหน้านี้เหลืออยู่บ้างไหม?” ซูอันถาม
“ข้าไม่มี” เฉียวเสวี่ยอิงส่ายหัวในขณะที่จับตาดูเขาอย่างตั้งใจ
“แล้วเราจะทำยังไงดี?” ซูอันขมวดคิ้ว “ข้าควรพาเจ้าไปที่บ้านของเสี่ยวซีตอนนี้เลยหรือเปล่า?“
“เจ้าโง่หรือแกล้งทำเป็นไม่รู้?” เสียงที่เฉียบคมเด็ดขาดตามปกติของ เฉียวเสวี่ยอิง ฟังดูหวานและน่ารื่นรมย์อย่างไม่น่าเชื่อ ราวกับว่าปากของนางอาบไปด้วยน้ำผึ้ง