เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 393 ชายในหน้ากาก
บทที่ 393 ชายในหน้ากาก
บทที่ 393 ชายในหน้ากาก
“ระดับที่เก้า…” ซ่างหงยังคงเงียบอยู่เป็นเวลานาน ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ลึก ๆ
ซ่างเชียนพูดในความเงียบ “นายน้อยซือ ไม่มีผู้บ่มเพาะระดับเก้าแม้แต่คนเดียวในเมืองจันทร์กระจ่าง ท่านอาจจะได้ข้อมูลบางอย่างมาผิด”
เมื่อรู้ว่าซ่างเชียนไม่เชื่อเขา ซือคุนก็กล่าวเย้ยหยันว่า “ข้าได้บอกเจ้าทุกอย่างที่ข้าควรบอกไปแล้ว มันขึ้นอยู่กับเจ้าสองคนว่าต้องการที่จะเชื่อหรือไม่ เพราะไม่ว่ายังไง ตอนนี้ข้าก็กำลังจะกลับไปที่เมืองหลวง ถ้ามีอะไรผิดพลาดกับพวกเจ้า มันจะไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย”
“นายน้อยซือกำลังจะกลับไปที่เมืองหลวง?” ซ่างหงถามกลับ
“ถูกต้อง ตระกูลซือได้ติดต่อมาและสั่งให้ข้ากลับไปก่อนเวลา” ไม่มีทางที่ซือคุนจะยอมรับว่าตัวเองกลัว ดังนั้นเขาจึงต้องคิดหาเหตุผลมาอ้างต่อสองพ่อลูกตระกูลซ่าง
ด้วยเหตุนี้เขาจึงแสดงความห่วงใยครั้งสุดท้ายก่อนจะจากไปอย่างเร่งรีบ
เมื่อซือคุนจากไป ซ่างเชียนก็กล่าวด้วยความงงงวยว่า “ท่านพ่อ ทำไมตระกูลซือถึงสั่งให้เขากลับไปในเวลาเช่นนี้?”
ซ่างหงกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “แผนของซือคุนถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นการอยู่ที่นี่จึงไม่มีความหมายสำหรับเขา ยิ่งไปกว่านั้น การตายของซือเล่อจื่อคงทำให้เขาสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาใช้ตระกูลซือเป็นข้ออ้างในการจากไป”
“ท่านคิดยังไงกับสิ่งที่เขาพูด? จะมีผู้บ่มเพาะระดับเก้าเร้นกายอยู่ที่นี่จริงเหรอ?” ซ่างเชียนถามด้วยความสงสัย
“จะมีจริงหรือไม่ ถ้าได้ถามเดี๋ยวก็รู้” ซ่างหงลุกขึ้นยืน เขาเอื้อมมือไปเปิดสลักบนตู้หนังสือที่อยู่ใกล้เคียง ตู้หนังสือเปิดออกเผยให้เห็นห้องลับส่วนตัว
ชายสวมหน้ากากผู้หนึ่งก้าวออกมาจากภายใน ซ่างเชียนมองชายสวมหน้ากากตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพิจารณา เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อของเขาถึงปิดบังอะไรบางอย่างเอาไว้ แม้แต่ในตอนนี้ ก็ยังให้ชายคนนี้สวมหน้ากาก
ซ่างหงกล่าวเสียงต่ำ “เจ้าคงได้ยินคำพูดของซือคุนเมื่อครู่แล้ว เจ้าคิดยังไง?”
“ระดับเก้า? ไม่ควรมีใครแบบนั้นในตระกูลฉู่” ชายคนนั้นส่ายหัวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “ถ้าพวกเขามีพันธมิตรเป็นผู้บ่มเพาะระดับเก้าจริง ๆ คนที่เป็นผู้นำตระกูลฉู่ย่อมไม่ใช่ฉู่จงเทียน”
ซ่างหงพยักหน้า “นั่นคือความคิดของข้าเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การตายของซือเล่อจื่อในคฤหาสน์ตระกูลฉู่ดูเหมือนจะไม่ใช่ข้อมูลลวง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ชายสวมหน้ากากลูบคางตัวเอง “ข้าจำได้บางอย่าง ในระหว่างงานประลองระหว่างตระกูลครั้งก่อน ซูอันกลายเป็นคนดังในชั่วข้ามคืน เขาถูกนายหญิงแห่งตระกูลฉู่ซักถาม ซึ่งถัดมาเธอก็ได้รู้ว่า ซูอันได้รับทักษะบางอย่างจากบุคคลลึกลับที่ถ่ายทอดความรู้เรื่องการบ่มเพาะให้ แต่หลังจากถ่ายทอดความรู้ให้เสร็จบุคคลลึกลับผู้นั้นก็จากไป แต่มันเป็นไปได้ว่าซูอันอาจไม่ได้พูดความจริง และบุคคลลึกลับคนนี้ไม่ได้จากไป แต่คอยอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา?”
ซ่างหงพยักหน้า “นี่เป็นไปได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังสามารถอธิบายได้ว่า ทำไมซือเล่อจื่อถึงได้ตายอย่างเงียบ ๆ ในคฤหาสน์ตระกูลฉู่ ข้าเชื่อว่าหลังจากที่ซือเล่อจื่อรู้ว่าฉู่จงเทียนออกจากเมืองไปแล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะใช้โอกาสนี้บุกเข้าไปในคฤหาสน์ตระกูลฉู่ แต่แล้วกลับบังเอิญเจอกับซูอันพอดี ต้องรู้ว่าไอ้เด็กเหลือขอคนนั้นเคยทำให้ซือคุนอยู่ในสภาพที่น่าอับอายในที่สาธารณะ ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าในทันทีที่เห็นหน้าซูอัน ความคิดต้องการแก้แค้นก็ต้องแล่นเข้ามาในหัวของซือเล่อจื่อทันที
“แต่สุดท้าย ใครจะคาดคิดว่าซูอันกลับมีผู้บ่มเพาะลึกลับคอยช่วยเหลือ? หากซือเล่อจื่อถูกบุคคลลึกลับนี้ซุ่มโจมตี แม้ว่าการบ่มเพาะของเขาจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับซือเล่อจื่อ เขาก็อาจจะฆ่าซือเล่อจื่อได้แบบไม่ยากเย็นนัก”
หลังจากเข้าใจสถานการณ์คร่าว ๆ แล้ว ซ่างหงก็มองไปที่บุคคลที่สวมหน้ากาก “ปัญหาตอนนี้คือ ใครกันแน่ที่เป็นผู้บ่มเพาะลึกลับคนนั้น?”
นัยน์ตาของบุคคลที่สวมหน้ากากเต็มไปด้วยความงุนงง “ข้าอยู่ในตระกูลฉู่ มาหลายปีแล้ว แต่ข้าไม่เคยสังเกตเห็นใครแบบนั้นมาก่อน… เป็นไปได้ไหมที่พ่อของซูอันจะมีความเกี่ยวข้องกับคนผู้นี้ซึ่งไม่ได้เป็นคนของตระกูลฉู่?”
ซ่างเชียนพูดขึ้น “เมื่อตอนที่ตระกูลฉู่เลือกซูอันเป็นลูกเขย เราสงสัยว่าเขาอาจมีภูมิหลังพิเศษบางอย่าง เราจึงตรวจสอบภูมิหลังของเขาอย่างละเอียด แต่กลับกลายเป็นว่าเขาเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกเลี้ยงดูโดยลุงซึ่งจากไปแล้วเมื่อไม่นานมานี้
“เราได้ตรวจสอบลุงของเขาด้วย เขาเป็นเพียงคนธรรมดาและไม่มีอะไรเป็นพิเศษ”
“เด็กกำพร้า…” ซ่างหงครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ไม่พบอะไรเกี่ยวกับพ่อแม่ของเขาเลยเหรอ?”
“ไม่มี เราไม่เจอข้อมูลเกี่ยวกับพ่อแม่ของเขาเลย” ซ่างเชียนส่ายหัว ก่อนที่ความคิดที่น่าตกใจจะผุดขึ้นในหัวของเขา “เดี๋ยวนะ? นี่ไอ้เวรนั่นมันมีภูมิหลังลึกลับบางอย่างจริง ๆ เหรอ?”
“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น” ซ่างหงกะพริบตา “ไม่มีความเมตตาใดที่ปราศจากเหตุและผลในโลกนี้ ข้าไม่เชื่อว่าเศษขยะอย่างซูอัน อยู่ ๆ จะได้รับการอุปถัมภ์จากผู้บ่มเพาะลึกลับได้ เชียนเอ๋อร์…เจ้าสืบภูมิหลังของเขาให้ลึกลงไปอีก ดูว่าเจ้าสามารถหาเบาะแสเกี่ยวกับพ่อแม่ของเขาได้หรือไม่?”
“เข้าใจแล้ว!” ซ่างเชียนตอบรับในทันที แต่เขามีสีหน้ากังวลเล็กน้อย “ท่านพ่อ ข้ากลัวว่าเราอาจจะไม่พบอะไรเพิ่มเติมอีก เพราะการตรวจสอบในครั้งก่อนก็ทำกันอย่างละเอียดไปแล้ว”
“ครั้งก่อนเราตรวจสอบแบบเหวี่ยงแหไปในวงกว้าง แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราต้องการอะไร ดังนั้นเราอาจพบบางสิ่งโดยไม่คาดคิด” ซ่างหงมีประสบการณ์มากมายในด้านนี้ เขาหันกลับมามองคนสวมหน้ากาก
“แน่นอนว่านอกจากเชียนเอ๋อร์แล้ว ข้ายังต้องสร้างตัวตนอันโดดเด่นให้เจ้ามีบทบาทในการตรวจสอบภายในตระกูลฉู่ด้วย เพื่อดูว่าเจ้าสามารถเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับบุคคลลึกลับนั้นได้บ้าง หากมันมีอยู่ในโลกนี้จริง ๆ ก็ย่อมจะทิ้งร่องรอยไว้อย่างแน่นอน ไม่ว่ามันจะลึกลับแค่ไหน หากเราตรวจสอบทุกอย่างอย่างรอบคอบ เราก็จะสามารถเจอเบาะแสบางอย่างได้”
ดวงตาของชายสวมหน้ากากฉายแววจริงจัง “ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะค้นหาให้ได้ว่าผู้บ่มเพาะประเภทใดซ่อนอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลฉู่”
หากมีผู้บ่มเพาะระดับสูงซ่อนอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลฉู่จริง ๆ เขาจะรู้สึกสบายใจได้อย่างไร?
“ขอบคุณสำหรับความพยายามของเจ้า” ซ่างหงได้เปลี่ยนคำถามที่แตกต่างออกไปจากเดิม “ว่าแต่…มีกี่คนที่รู้เรื่องคาราวานพ่อค้าของตระกูลฉู่ และตระกูลหวัง? พวกเขาจะสงสัยเจ้าหรือไม่?”
บุคคลที่สวมหน้ากากกำหมัด “ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง แต่ไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนั้น มันเป็นสิ่งที่ข้าได้ยินมาจากช่องทางอื่น แม้ว่าพวกเขาจะเริ่มสืบสวน พวกเขาก็จะไม่สามารถติดตามอะไรกลับมาถึงข้าได้”
ซ่างหงยิ้ม “ข้าตัดสินใจไม่ผิดจริง ๆ ที่ข้าไว้ใจชายผู้มากประสบการณ์อย่างเจ้า!”
“ในเมื่อข้าต้องดูแลเรื่องต่าง ๆ เพื่อท่านที่ข้าเคารพนับถือ เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ” บุคคลที่สวมหน้ากากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสริมว่า “อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับสิ่งที่ท่านเคยสัญญากับข้าไว้ก่อนหน้านี้…”
“อย่ากังวล ข้าเป็นคนรักษาคำพูดเสมอ” ซ่างหงตอบ “ในเมื่อฉู่จงเทียน ไม่เข้าใจว่าเวลาไหนที่เขาควรตัดสินใจเลือกอะไรให้เด็ดขาด ดังนั้นฟ้าจึงลิขิตให้เขาถูกกำจัด เมื่อถึงเวลานั้น ตระกูลฉู่จะเป็นของเจ้าเช่นเดียวกับสาวงามที่เจ้าใฝ่ฝัน”
ชายสวมหน้ากากรู้สึกอับอายอย่างเห็นได้ชัด “ข้าปล่อยให้ท่าน คนที่ข้าเคารพนับถือเห็นด้านที่น่าละอายของข้าไปซะแล้ว”
“สตรีที่สง่างาม และมีคุณธรรมสูงส่ง ไม่มีอะไรผิดปกติถ้าผู้ชายจะพากันใฝ่ฝันถึง ข้าจะมีอะไรไปเยาะเย้ยเจ้า?” ซ่างหงเผยรอยยิ้มจาง ๆ “ว่าแต่ทำไมในตอนนัั้น ฉู่จงเทียนถึงรีบเดินทางออกจากเมืองไปในทันที? มันเกี่ยวกับข่าวลือที่ฉู่ชูเหยียนล้มป่วยลงใช่ไหม? เขาใช้เวลาทั้งคืนเพื่อตามหาหมอเทวะจี้ถูกต้องหรือเปล่า?”
“อันที่จริง มีบางอย่างเกิดขึ้นกับสุขภาพของฉู่ชูเหยียน” ชายสวมหน้ากากได้ตอบกลับ “น่าเสียดายที่ฮูหยินตระกูลฉู่ได้เก็บรายละเอียดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถยืนยันข่าวนี้ให้กับท่านได้มากนัก”
“มันอาจจะเป็นผลข้างเคียงจากดอกบัวเร้นลักษณ์ก็ได้” ซ่างหงจมอยู่ในห้วงความคิด หลังจากกลับจากมิติลับหยกจรัส ความแข็งแกร่งของ ฉู่ชูเหยียนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การกินดอกบัวเร้นลักษณ์ของนางนั้นไม่ใช่ความลับที่ผู้อื่นไม่รู้
“ข้าได้ส่งคนไปหาซูอัน เพื่อสอบถามเกี่ยวกับฉู่ชูเหยียนแล้ว ข้าจะติดต่อท่านที่เคารพทันทีเมื่อได้รับข่าวเพิ่มเติม” ชายสวมหน้ากากกล่าว
ซ่างหงพยักหน้าเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ข้าไว้ใจให้เรื่องนี้อยู่ในมือคนที่มีความสามารถอย่างเจ้า”
“ท่านซ่าง ชมเกินไปแล้ว” ชายสวมหน้ากากรีบลุกขึ้นโค้งคำนับ
หลังจากพูดคุยกันสักพัก ชายสวมหน้ากากก็บอกลาและจากไป
เมื่อเขาจากไป ซ่างเชียนก็บ่นขึ้น “ท่านพ่อ คนนั้นเป็นใคร? ทำไมท่านต้องซ่อนตัวตนของเขาจากข้าด้วย”
ซ่างหงตอบกลับ “นั่นเป็นคำขอของเขา ตัวตนของเขานั้นอ่อนไหว และเขาเต็มใจที่จะเปิดเผยให้ข้ารู้เพียงคนเดียวเท่านั้น เนื่องจากข้ารับปากตามคำขอของเขาไว้แล้ว จะให้ผิดสัญญาก็คงไม่เหมาะ”
เมื่อรู้ว่าพ่อของเขาเป็นคนหนึ่งที่รักษาคำพูดเป็นอย่างมาก ซ่างเชียน จึงไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่ก็เริ่มพึมพำกับตัวเองและใคร่ครวญว่าใครคือชายลึกลับคนนั้น และทำไมการรักษาตัวตนจึงเป็นความลับที่สำคัญสำหรับคนผู้นั้น?
เมื่อเห็นปฏิกริยาของลูกชาย ซ่างหงก็ถอนหายใจ บุคลิกของลูกชายเขานั้นใจร้อนและประมาทเกินไป ไม่น่าแปลกใจเลยที่ชายสวมหน้ากากจะร้องขอออกมาเช่นนั้น
จู่ ๆ เขาก็นึกถึงเรื่องอื่นขึ้นมาได้ “จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าให้เจิ้งตานเข้าหาซูอันใช่ไหม?” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา