เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 662 ความสงบก่อนพายุ
บทที่ 662 ความสงบก่อนพายุ
บทที่ 662 ความสงบก่อนพายุ
ซูอันพูดไม่ออก ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีใครสามารถหารังของค่ายเมฆาทมิฬได้ มีอะไรผิดปกติกับสมองของพวกเจ้าหรือไง? ทำไมพวกเจ้าต้องถ่อมาตายถึงที่นี่?
และที่สำคัญเจ้านายของพวกเจ้า เฉินเซวียนก็เป็นผู้บ่มเพาะระดับหกเท่านั้น แต่พวกเจ้ากลับโง่เง่าคิดที่จะต่อสู้กับกองกำลังติดอาวุธที่นำโดยผู้บ่มเพาะระดับปรมาจารย์ พวกเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?!
เมื่อเห็นว่าจะไม่ได้รับข้อมูลใด ๆ เพิ่มเติมจากพวกมัน หลิวเหย่าก็จับเชลยทั้งหมดหักคอและโยนร่างทิ้งไป “เดินทางต่อ!”
เหตุการณ์เล็ก ๆ นี้ไม่สมควรได้รับความสนใจอีกต่อไป
ขณะที่ขบวนรถเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้ง ซ่างหงก็พูดจากในรถม้าของเขาว่า “เชียนเอ๋อร์ เจ้าสังเกตเห็นอะไรจากเรื่องนี้บ้าง?”
“พวกโจรค่ายเมฆาทมิฬ ประเมินตัวเองสูงเกินไป?” ซ่างเชียนได้ตอบกลับ นี่คือกลุ่มที่เขาเคยเผชิญมาก่อน น่าเสียดายที่หลังจากการตายของเฉินเซวียน โจรเหล่านี้ก็ได้สลายไปเป็นกลุ่มที่ไม่มีระเบียบแบบแผน ความแข็งแกร่งของพวกมันลดลงอย่างมาก
ซ่างหงส่ายหัวและพูดเบา ๆ “ไม่เพียงแค่เจ้า อ๋องเหลียงและหลิวเหย่าต่างก็มองข้ามสิ่งที่สำคัญกันไปหมด ก่อนหน้านี้ พวกโจรเอ่ยว่าได้ยินข่าวซูอันกำลังผ่านทางมา แต่พวกมันไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนแจ้งข่าว อีกทั้งยังไม่ได้บอกว่าทำไมพวกมันถึงไว้ใจคนคนนั้น”
ยังมีเสียงดังโหวกเหวกอยู่หลังจากความโกลาหลของการโจมตี ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลว่าคนอื่นจะได้ยินสิ่งที่เขาพูดมากเกินไป
ซ่างเชียนตกใจ “ท่านพ่อ ท่านกำลังพูดว่ามีคนอื่นอยู่เบื้องหลังพวกมันเหรอ?”
“แน่นอน” ซ่างหงสูดหายใจเข้า “บุคคลนั้นคงต้องการใช้ค่ายเมฆาทมิฬเป็นเหยื่อทดสอบ สิ่งนี้จะช่วยให้พวกเขามีข้อมูลเพียงพอเพื่อวางแผนของตนเองได้”
แม้ว่าระดับการบ่มเพาะของอ๋องเหลียงและหลิวเหย่าจะสูงส่ง แต่ดูเหมือนว่าทั้งคู่นั้นอ่อนด้อยในเรื่องการศึกเป็นอย่างมาก ก่อนหน้าที่จะเข้าหุบเขานี้ พวกเขาทำเพียงแค่ส่งหน่วยสอดแนมเข้ามาสำรวจอย่างคร่าว ๆ เท่านั้น ในความเห็นของซ่างหง มันเป็นความผิดพลาดที่โง่เง่าอย่างยิ่ง
แถมตอนนี้พวกเขายังพลาดเบาะแสที่คนของค่ายเมฆาทมิฬเผยหลุดพูดออกมา…
ดูเหมือนว่าเราจะมีเรื่องที่น่าประหลาดใจรอเราอยู่บ้างในระหว่างการเดินทางครั้งนี้
รอยยิ้มบนใบหน้าของพ่อตนเองทำให้ซ่างเชียนสับสน “ท่านพ่อ ทำไมท่านจึงมีความสุขนัก? ถ้าพวกเขาไม่ระวังเท่าที่ควร เราจะไม่แย่เหรอ? เรามีศัตรูมากมาย หากหนึ่งในนั้นใช้ประโยชน์จากสถานการณ์มาโจมตีเราล่ะ?”
“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลย” ซ่างหงบ่น “ถ้าพวกเขาฉลาดเกินไป เราคงไม่ได้โอกาสนี้”
เมื่อกลับเข้าไปในรถม้าซูอันยิ้มให้เจิ้งตาน “เราต่อกันเลยไหม?”
“ไม่!” เจิ้งตานส่ายหัว เหตุการณ์เมื่อครู่นี้ยังทำให้นางขวัญหายอยู่เลย หากเมื่อครู่นางผละตัวออกจากซูอันช้ามากกว่านั้นสักเล็กน้อย พวกนางจะถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน และนางจะต้องตายเพราะความอับอายอย่างไม่ต้องสงสัย
“ไม่ต้องกังวล เรื่องที่ไม่คาดคิดไม่เกิดขึ้นซ้ำอีกง่าย ๆ หรอก” ซูอันยังคงเซ้าซี้นางต่อไป
อย่างไรก็ตาม เจิ้งตานยังคงส่ายหัว ไม่ว่าเขาจะพยายามเกลี้ยกล่อมนางอย่างไร
ในขณะเดียวกันนอกรถม้า หวงฮุ่ยฮงขมวดคิ้ว คงจะมีเพียงวายร้ายอย่างซูอันเท่านั้นที่จะทำให้กุลสตรีซึ่งเป็นเจ้าสาวใหม่ยอมนวดขาให้สำเร็จ
จากนั้นหวงฮุ่ยฮงส่ายหัว ขณะนี้ไม่ใช่เวลาจะมาสงสัยอะไรที่ไร้สาระ
การซุ่มโจมตีนั้นได้ส่งสัญญาณเตือนภัยบางอย่าง กลุ่มคนปริศนาเกือบประสบความสำเร็จในการลอบสังหารซูอัน เขาจึงไม่กล้าประมาทอีกต่อไป
มันไม่ใช่แค่เขาเช่นกัน กองทหารราชองครักษ์ทั้งหมดดูเหมือนจะมีความกังวลใจไม่น้อยไปกว่าเขา
อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันถัดมาก็ผ่านไปอย่างสงบ การซุ่มโจมตีครั้งที่สองที่พวกเขากังวลไม่ได้เกิดขึ้นจริง…
อันที่จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นซูอันหรือซ่างหง ต่างก็เข้าใจว่านี่เป็นเพียงความสงบก่อนเกิดพายุ ในทางกลับกัน อ๋องเหลียงและหลิวเหย่าเพียงเฝ้าระแวดระวังในช่วงสองสามวันแรก หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ภายในครึ่งเดือน ขบวนรถม้าของพวกเขาก็ออกจากมณฑลหลินชวน และเข้าสู่ดินแดนของอ๋องอู๋
ในระยะไกล พวกเขาสังเกตเห็นกองทหารม้าพุ่งเข้าหาพวกเขา และความกระวนกระวายใจก็ห่อหุ้มขบวนรถอีกครั้งในทันที
อ๋องเหลียงและหลิวเหย่าออกจากรถม้าด้วยท่าทางจริงจังและระมัดระวัง
หลังจากสังเกตมาระยะหนึ่งแล้ว พวกเขาเห็นว่ากองทหารม้าผู้มาใหม่ไม่ได้แสดงท่าทีคุกคามแต่อย่างใด
ในไม่ช้า กองทหารม้าก็ควบคุมม้าของพวกเขาเหยาะเข้ามาใกล้ โดยมีทหารม้าสามคนหยุดอยู่ต่อหน้าอ๋องเหลียง นำโดยชายวัยกลางคน เขากล่าวว่า “ผู้น้อยชุนปู้ฉี ขอแสดงความเคารพต่ออ๋องเหลียงและแม่ทัพหลิว”
“ชุนปู้ฉี? ชื่อนี้ฟังดูคุ้นๆ” อ๋องเหลียงลูบเคราของเขา
ข้างเขาหลิวเหย่ากล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าและเฉิงหงทำหน้าที่ประหนึ่งเป็นมือขวาและซ้ายของอ๋องอู๋ คนหนึ่งบุ๋น อีกคนหนึ่งบู๊ เป็นเพราะเจ้าสองคนที่ทำให้เขตแดนของอ๋องอู๋มีการจัดการที่ดี”
ตระกูลหลิวมักให้ความสนใจกับบุคคลใด ๆ ที่มีโอกาสคุกคามตำแหน่งของรัชทายาทอย่างมาก ในฐานะที่อ๋องอู๋มีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นจึงถูกหาข้อมูลมาแล้วอย่างถี่ถ้วน
“แม่ทัพหลิวชมข้าเกินไปแล้ว” ชายวัยกลางคนหัวเราะ “ข้าแค่ช่วยเรื่องเล็กน้อยบางอย่างให้กับท่านอ๋องของข้าก็เท่านั้น ไม่สมควรได้รับคำชมใด ๆ ทั้งสิ้น ข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อต้อนรับท่านในนามของท่านอ๋องอู๋ของข้าผู้น้อย ท่านอ๋องของข้าต้องการต้อนรับท่านเป็นการส่วนตัว แต่เขากำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมการต้อนรับให้สมกับฐานะของพวกท่าน ดังนั้นเขาจึงส่งข้าออกมารับพวกท่านแทน ข้าหวังว่าผู้สูงศักดิ์ทั้งสองจะไม่รังเกียจ”
อ๋องเหลียงยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องมากพิธีกับเราหรอก เราไม่ใช่คนใจแคบขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม เรากำลังคุ้มกันอาชญากรกลับสู่เมืองหลวง ดังนั้นข้าเกรงว่าเราจะอยู่ได้ไม่นานเกินไป เราคงต้องขอรับน้ำใจของอ๋องอู๋ด้วยใจเอาไว้ก่อน”
ชุนปู้ฉีประสานมือของเขาและกล่าวว่า “อ๋องอู๋ได้ออกคำสั่งแก่ข้าผู้น้อยเป็นพิเศษให้ต้อนรับพวกท่านอย่างเหมาะสม พวกท่านอดทนกับการเดินทางที่ยาวนานและต้องใช้พลังกายอย่างมากในขณะที่คุ้มกันอาชญากรเหล่านี้ ท่านอ๋องอู๋จึงปรารถนาที่จะช่วยเหลือพวกท่านให้ได้รับความสะดวกสบายบ้าง มันจะไม่ดีกว่าหรือหากพวกท่านจะได้ผ่อนคลายสักเล็กน้อย…”
อ๋องเหลียงเป็นอาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ขณะที่หลิวเหย่าเป็นอาของจักรพรรดินี ว่ากันตามลำดับอาวุโส ทั้งสองเป็นผู้อาวุโสของอ๋องอู๋ ชุนปู้ฉีจึงใช้ความสัมพันธ์นี้เพื่อวิงวอนพวกเขาอย่างเต็มที่ นอกจากนี้ อ๋องเหลียงและหลิวเหย่ามักจะใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือยและหรูหรา การเดินทางครั้งนี้นับได้ว่ายากแค้นพอสมควร การโน้มน้าวให้หยุดพักนี้จึงไม่ถือว่าไร้เหตุผล
นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับหลิวเหย่า รถม้าของเขาถูกซูอันครอบครองอยู่ เขาต้องใช้เวลาทั้งวันในรถม้าเดียวกับอ๋องเหลียง ทั้งสองคนรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ใกล้ ๆ กัน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะขอรถม้าจากอ๋องอู๋เพื่อหลีกเลี่ยงความรำคาญใด ๆ ในอนาคต
อ๋องเหลียงเองก็ตระหนักถึงปัญหา “เรามีผู้คนมากมาย หากเข้าเมืองเช่นนี้มันจะสะดวกอย่างนั้นเหรอ?”
ชุนปู้ฉีตอบอย่างรวดเร็วว่า “อ๋องเหลียงไม่จำเป็นต้องกังวล ท่านอ๋องของเราตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้เรียบร้อยแล้วในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ที่พักหลายแห่งได้รับการจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าใกล้กับจวนของท่านอ๋องอู๋ นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ฝึกซ้อมทหารในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งใหญ่เพียงพอสำหรับให้กองทหารราชองครักษ์ไปตั้งค่ายได้ชั่วคราว”