เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 116 วิหคสุริยันจากประจิมทิศ
สิ่งนี้ทำให้เม่ยเอ๋อร์ที่กำลังต่อสู้อยู่กลางอากาศถอนหายใจโล่งอก ทว่าหยางเทียนชื่อที่กำลังต่อสู้กับนางก็อดก่นด่าขึ้นไม่ได้ “สมควรตาย!”
“คนที่สมควรตายคือเจ้า” เม่ยเอ๋อร์เพ่งสมาธิกลับมาที่ผู้เฒ่าตรงหน้า เพลิงไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชนขึ้นในดวงตาอีกครั้ง
หยางเทียนชื่อขมวดคิ้ว “เจ้าคือผู้ใดกันแน่ เจ้าได้รับบัญชาจากต้าซือมิ่งมาแย่งชิงวิชาลับชางอู๋หรือ”
หยางเทียนชื่อเชื่อมั่นในเบื้องต้นไปแล้วว่า แม่นางตรงหน้าคนนี้เป็นคนของต้าซือมิ่ง ไม่เช่นนั้นจะมีฝีมือเก่งกาจเช่นนี้ได้อย่างไร หรือจะเป็นยอดฝีมือนิรนาม
แต่เม่ยเอ๋อร์ที่ถูกถามนั้น นางไม่ต้องการตอบคำถามแม้เพียงน้อย นางตวัดดาบลงไปที่หยางเทียนชื่ออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยอีกครั้ง “มอบศาตราเวทมาเสียดีๆ เพ้อเจ้ออะไรนักหนา!”
“เจ้าไม่พูด ก็อย่าหาว่าข้าไร้ความปรานี!” หยางเทียนชื่อเดือดดาลแล้ว เขาปล่อยพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ทำให้อสูรสีเลือดมหึมาดุจม้าบินตัวนั้นขยายใหญ่ขึ้นเท่าตัวในทันที
นอกจากนี้ มงกุฎสีดำทองที่เป็นสัญลักษณ์แห่งจุดสูงสุดของพลังอสูรตัวนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีทองคำบริสุทธิ์ “กรรร…”
หินหลอมเหลวน่าสะพรึงกว่าเดิมจากปากของอสูรพวยพุ่งไปทางเม่ยเอ๋อร์อีกครั้ง ทุกที่ที่มันผ่าน ก็กัดกร่อนอากาศเสียจนควันโขมง
“นังเด็กบ้า! ไปตายซะ!” หยางเทียนชื่อที่ปลุกวิญญาณอสูรอย่างชั่วร้าย รอบตัวก็แผ่ซ่านรังสีสีเลือด ปิดกั้นอากาศบริเวณรอบๆ ทั้งหมด
แซ่ดๆ พลังกัดกร่อนที่เกิดขึ้นทำเอาอากาศปรากฏรอยร้าว อีกเพียงไม่นานก็จะกลืนกินเม่ยเอ๋อร์แล้ว ฝ่ายหลังกลับจ้องอสูรโอวปาซือและหยางเทียนชื่อที่ยืนอยู่บนมงกุฎของมันอย่างไม่เกรงกลัว
เมื่อต่อสู้กันถึงตรงนี้ เม่ยเอ๋อร์ก็หมดความอดทน ดวงตาสีดำขลับดวงนั้นของนาง ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน รังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านรอบตัวนาง ก็ค่อยๆ กลายเป็นสีแดงเพลิงเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้หินหลอมเหลวที่จู่โจมเม่ยเอ๋อร์ก่อนหน้านั้น ถูกคลื่นพลังของเม่ยเอ๋อร์สั่นสะเทือนจนถอยกรูด และสลายตัวเป็นหมอกควันสีดำก่อนจะมลายหายไป…
หยางเทียนชื่อ ผู้ผ่านการสู้รบนับร้อยครั้งก็รู้สึกประหม่า เขาตะโกนขึ้น “โอวปาซือ! ฆ่านางซะ!”
“กรร!” โอวปาซือขยับปีก ก่อนจะดีดตัวเข้าใส่เม่ยเอ๋อร์ มวลอากาศถูกฉีกจนเกิดรอยร้าว
แต่แล้ว… ปัง เม่ยเอ๋อร์ที่ระเบิดเมฆสีแดงออก นางก็ถือดาบเล่มใหญ่โผล่กลางอากาศ นางเหินตัวขึ้นลงอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะตวัดดาบฟันลงไปที่มงกุฎของโอวปาซืออย่างรวดเร็ว
ฉับ!
รังสีอำมหิตสีเลือดดุเดือดแสนทรงพลังนั้นพลันแหวกอากาศออกในทันที ก่อนจะบดขยี้อสูรโอวปาซือ เกร้ง ดาบฟันลงไปกลางมงกุฎของมันทันที
“กรร…”
โอวปาซือร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด หมอกควันสีดำจากหินหลอมเหลวก็พุ่งออกมากลางอากาศ กระแสหินหลอมเหลวยังคงพยายามหลอมละลายเม่ยเอ๋อร์ไม่ขาดสาย ฝ่ายหลังสู้ไม่ถอย นางยังใช้ฝ่ามือตบลงไปที่สันดาบอย่างรุนแรง!
ฉึบ!
โอวปาซือล้มลงในทันที!
“เศษสวะ!”
หยางเทียนชื่อปล่อยพลังจิตวิญญาณมหาศาลเข้าไปในวิญญาณสัตว์ร้าย
“กรร…”
โอวปาซือก็ปล่อยพลังการต่อสู้น่ากลัวกว่าเดิม!
“ล้มลงไปซะ!”
เม่ยเอ๋อร์จับดาบไว้แน่น นางออกแรงกดดาบลงไปสุดแรงเกิด ราวกับว่าไม่ตายไม่ปล่อยอย่างไรอย่างนั้น
“กรร…”
โอวปาซือถูกโจมตีจนค่อยๆ ล้มลง จนคนในเมืองชางอู๋เห็นเข้า!
หลายคนจึงเพิ่งรู้ว่า กลางอากาศยังมีศึกสงคราม…
“ดูเร็ว!”
“นั่น นั่นมันสาวใช้ชุดดำ คนข้างกายของคุณหนูใหญ่มิใช่หรือ”
“คุณหนูใหญ่กลับมาแล้วหรือ?!”
ผู้คนไม่น้อยในสำนักชางอู๋จำเม่ยเอ๋อร์ได้ดี นางต่อสู้เก่งเหลือเกิน
“เหตุใดเม่ยเอ๋อร์กลับมาแล้วเล่า!?” เยี่ยนชิงไม่เข้าใจ “นางควรจะอยู่ข้างกายเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์มิใช่หรือ นางไม่อยู่แล้วเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จะทำอย่างไร”
“ท่านประมุข ตอนนี้สถานการณ์ที่นี่อาจจะฉุกเฉินกว่า” ประมุขหอสัตว์แห่งบรรพกาลอดย้ำเตือนขึ้นไม่ได้
เยี่ยนชิงกลับไม่คิดเช่นนั้น “เม่ยเอ๋อร์ไม่ใช่คนในสำนักของเราเสียหน่อย นางเป็นสาวใช้ของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ นางควรปกป้องเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จึงจะถูกต้อง!”
“…” ประมุขหอสัตว์แห่งบรรพกาลหมดคำพูด
ในขณะเดียวกัน…
วั่วปู้เหลยและปู่เย่าเหลียนที่ลอยกระเด็นออกไปก็กลับมาแล้ว สีหน้าของพวกเขาไม่สู้ดีนัก “ให้ตายเถอะ! สำนักชางอู๋ไม่เพียงแต่มีปรมาจารย์วิญญาณที่แกร่งกว่าที่เราคิดไว้ ยังมีผู้แข็งแกร่งน่ากลัวเช่นนี้ด้วยหรือ!”
“…ยอดฝีมือคนนั้นปล่อยให้ท่านประมุขสูงสุดจัดการเถอะ เรามาจัดการค่ายกล ทำลายเกราะคุ้มกันนั่นกันเถอะ” หยางถิงอวิ๋นพูดพลางถอนหายใจ เขาไม่คาดคิดเลยว่า สำนักชางอู๋จะรับมือยากเช่นนี้ โชคดีที่พวกเขาเตรียมตัวไว้พร้อมแล้ว
“เสี่ยวปาพูดถูก” ปู่เย่าเหลียนพยักหน้า ก่อนจะใช้เพลิงไฟวาดแผนภาพจัดทัพออกมา
กองกำลังทหารใต้บังคับบัญชาหมื่นนายก็จัดทัพทันที พวกเขาให้ความร่วมมือกับผู้พิทักษ์สองท่าน เพื่อเริ่มการโจมตีรอบใหม่!
สำหรับกองกำลังทหารใต้บังคับบัญชาคุนอู๋ที่เคยถูกปลุกเสกเบิกเนตรด้วยวิชาบงกชแล้ว การผนึกอวกาศนั้นไม่มีผลใดๆ ต่อพวกเขา สิ่งที่ขัดขวางพวกเขามีเพียงเกราะคุ้มกันของสำนักชางอู๋เท่านั้น ในขณะที่ค่ายกลของพวกเขาเพิ่งจะก่อร่างขึ้น เยี่ยนหงชวนสีหน้าพลันเปลี่ยน เขารู้ได้ทันที พูดขึ้นว่า “ค่ายกลทะลวงอากาศธาตุสองลักษณ์! เกรงว่าค่ายกลนี้อาจจะทำลายเกราะคุ้มกันสำนักข้าได้”
“ปรมาจารย์วิญญาณต้านไม่ไหวหรือ” หยางชีซานไม่ค่อยเชื่อนัก
“เกรงว่าจะไม่สามารถต้านได้” เยี่ยนหงชวนรู้จักความแข็งแกร่งของค่ายกลทะลวงอากาศธาตุสองลักษณ์ดี มิหนำซ้ำ เขายังเห็นผู้พิทักษ์ทั้งสองนายสังเวยศาสตราเวทของตนเองแล้ว
“ค้อนอัสนีบาต! เพลิงอินทนิล! นี่มันศาสตราเวทในตำนานทั้งนั้น! สำนักคุนอู๋มองเราไว้สูงส่งเสียเหลือเกิน มารดามันเถอะ…” เยี่ยนหงชวนอดพูดคำหยาบไม่ได้ เขารู้ว่าปรมาจารย์วิญญาณที่กำลังเติบโตอยู่นั้น มิสามารถรับมือการโจมตีของสำนักคุนอู๋ได้แน่
“นี่มัน…” หยางชีซานรู้สึกหายใจลำบาก เขามองไปที่ประตูเมืองทิศเหนือ และในบริเวณนั้นเอง ก็มีพลังแสงสีดำและสีแดงกำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว
กลิ่นอายเช่นนั้นทำให้ต้นอู๋ถงที่เพิ่งเติบโตเป็นต้นอ่อนหยุดงอกเงย มันสั่นสะท้านเล็กน้อย เพราะมันสัมผัสได้ว่า พลังที่รวมตัวกันนั้นสามารถระงับพลังมันได้
และในขณะเดียวกัน…
“หือ?”
เยี่ยนอวี๋ที่เพิ่งเร่งเดินทางจากทิศตะวันตกของเขตชางอู๋ นางก็รับรู้ถึงความไม่สงบจากสำนักตนเอง จนนางเดินออกมาจากเกี้ยววิหคสุริยัน
“วี้ดด…”