เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 301 ต้าซือมิ่งในโลงศพ
ตอนที่ 301 ต้าซือมิ่งในโลงศพ!
“หมายความว่าอย่างไร” เยี่ยนจื่อเยี่ยขมวดคิ้วถาม รู้สึกได้ว่ามีความหมายมากกว่านั้น
โหย่วฮู่ปั๋วกลับส่ายศีรษะ “กล่าวเช่นนี้แล้ว มากกว่านี้ข้าบอกมิได้”
เยี่ยนจื่อเยี่ยอดมองโหย่วฮู่ปั๋วอย่างลึกซึ้งไม่ได้ สบตาเค้นถาม ทำให้โหย่วฮู่ปั๋วยิ้มลำบากใจ “เจ้าอย่ามองข้าเช่นนี้เลย หากบอกมากกว่านี้ได้ ข้าก็คงไม่ปิดบังเจ้าและครอบครัวของเจ้าหรอก เรื่องนี้รู้ให้น้อยเป็นการดีที่สุด อย่างไรก็ตามพวกเจ้าต้องระวัง”
อินสวินอี้ครุ่นคิด ต้าซือมิ่งที่อุ้มบุตรก็กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ตระกูลโหย่วฮู่ดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถิด”
คำพูดนี้ไม่มีความเกรงใจสักเท่าไรนัก ทำให้สีหน้าฮู่ปั๋วแปรเปลี่ยนเล็กน้อย แต่เขาก็มิได้พูดอะไร เพียงแค่กล่าวลาทุกคน “ข้ามีธุระต้องกลับจวน”
“ให้ข้าไปกับเจ้าหรือไม่” เฟิงจื่ออวิ๋นถาม
“มิต้อง เจ้าอยู่กับจื่อเยี่ยเถิด พรุ่งนี้ข้าจะกลับสำนักศึกษา” โหย่วฮู่ปั๋วอำลาทุกคนก่อนจะหันหลังเดินไปทางรถม้าของตระกูลโหย่วฮู่
“พิลึกคนจริงๆ พี่ใหญ่ เพื่อนสนิทของพี่คนนี้เชื่อได้หรือไม่” เยี่ยนจื่อเสาอดถามไม่ได้
เฟิงจื่ออวิ๋นกลับชิงตอบว่า “โหย่วฮู่เป็นบุตรคนโต ต้องแบกรับหน้าที่ฟื้นฟูตระกูลโหย่วฮู่อันหนักหนา บางครั้งอาจจะไม่จริงใจเท่าไรนัก แต่เขาก็ปฏิบัติต่อข้าและจื่อเยี่ยไม่เลว”
“อืม” เยี่ยนจื่อเยี่ยเห็นด้วย
“เขาอาจจะต้องการเตือนพวกเราว่าฮ่องเต้ยังมีแผนรับมือ แต่ก็กลัวว่าพูดออกมาแล้วจะทำให้พวกเราตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นจึงได้แต่ย้ำเตือนเช่นนี้” อินหลิวเฟิงที่ไตร่ตรองเสร็จแล้วก็กล่าวถึงข้อเท็จจริง ทำให้ต้าซือมิ่งเหลือบมองเล็กน้อย “ใช่แล้ว”
“เจ้ารู้หรือ” เยี่ยนจื่อเยี่ยแววตาวูบไหว
เยี่ยนอวี๋จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์จากด้านข้างว่า “เรื่องชัดแจ้งนัก ที่ต้าซือมิ่งท่านนี้ทำให้หยวนคังฮ่องเต้โมโหซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็แค่ต้องการบีบคั้นให้เขาขุดความสามารถเบื้องลึกของเขาออกมา แต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อหยวนคังฮ่องเต้อดทนเก่งอย่างกับเต่าพันปี”
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์รู้ใจข้าที่สุด” ต้าซือมิ่งยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ยอมปล่อยมือนางเลย นี่จึงเป็นเหตุผลที่เยี่ยนอวี๋อารมณ์ไม่ดีนัก
ตอนนี้นางรู้สึก… เสียใจที่จูงมือเขาจริงๆ ผ่านไปนานเช่นนี้แล้ว ยังไม่ยอมปล่อยอีก
เยี่ยนอวี๋ใช้สายตาต่อต้านเงียบๆ คอยส่งสัญญาณให้ต้าซือมิ่งว่า ‘พอเสียที!’
ทว่าต้าซือมิ่งแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขายังคงบีบมือของนางไว้ไม่ปล่อย ท่าทีไร้เดียงสานั่นทำให้เยี่ยนอวี๋อดคิดถึงเด็กน้อยที่แกล้งทำเป็นฟังไม่รู้เรื่องไม่ได้ พวกเขาสองคนเหมือนกันจริงๆ! สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน
อีกทั้งต้าซือมิ่งที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นยังตอบพี่ใหญ่ด้วยท่าทีจริงจังว่า “แม้ซย่าโหวกุ่ยจะดื้อรั้นและตั้งตนเป็นใหญ่ แต่เขาก็มีความสามารถพอตัว ครานั้นที่มาโจมตีข้า เขาเตรียมพร้อมรอบด้าน ทำให้ข้าบาดเจ็บ ไม่มีทางที่ในวันนี้เขาจะมีความสามารถเพียงเท่านี้ แต่เหมือนกับว่าเขายังรู้สึกหวาดกลัว ทำให้เขาลังเลตลอดเวลาว่าจะแสดงท่าไม้ตายออกมาหรือไม่ ความหวาดกลัวนี้ ข้าเดาว่าเป็นเพราะเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ แต่ถึงอย่างไรก็ยังต้องตรวจสอบให้แน่ชัด”
“หืม?” เยี่ยนอวี๋คิดไม่ถึงว่าจะเกี่ยวข้องกับตนเอง
ต้าซือมิ่งกลับรู้ดี “พวกเจ้าคิดว่า สิ่งที่เขาบอกว่าเขาฝันเห็นเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์เป็นเรื่องโกหกหรือ”
“ไม่ใช่รึ!? ก็แค่หมกมุ่นฝักใฝ่ในกาม! แม่เจ้า! แม้แต่คำว่านางในฝัน คำขยะแขยงเช่นนี้ยังพูดออกมาได้ น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ!” อินหลิวเฟิงรู้สึกขยะแขยงพลางถูหลังมือของตนเอง เพราะเขาขนลุกขนชันไปหมดแล้ว
“นายท่านน้อย! เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ” เอ้อร์เหมาที่รออยู่ที่รถม้าเพราะเข้าไปในราชสำนักไม่ได้ก็กระตือรือร้นขึ้นมา “เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าพลาดละครใหญ่ไปร้อยเรื่อง!?”
“ไปไกลๆ!” อินหลิวเฟิงโบกมือไล่เจ้าคนซื่อบื้อออกไป ก่อนจะมองไปที่ต้าซือมิ่ง “หรือว่าเป็นเรื่องจริง”
เยี่ยนอวี๋ขมวดคิ้วอย่างไม่รู้ตัว “ข้าไม่อยากถูกเขาฝันถึง” น่าขยะแขยง!
“อืม ต่อไปไม่ให้เขาฝันแล้ว ข้าฝันเอง” หรงอี้กล่าวต่อไปอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
“หยุด!” เยี่ยนจื่อเสาทนไม่ไหว “น้องเขย จริงจังหน่อยได้หรือไม่!”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าก็ไม่พอใจขึ้นมา “อ้ะเนะเนะ!?” ท่านพ่อรูปงามของข้าไม่จริงจังตรงไหน
เยี่ยนจื่อเสา “…”
น้องเขยหน้าไม่อายคนนี้มักจะมีหลานชายน้อยคอยออกหน้าให้
โชคดีที่หลังจากต้าซือมิ่งพูดแทะโลมและโอ้อวดความรักต่อหน้าคนโสดแล้ว เขาก็พูดอย่างจริงจังว่า “เขาคงฝันเห็นเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์แล้วจริงๆ แต่เขาไม่เห็นหน้าตาของเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ชัดเจน ยังจำได้หรือไม่ว่าเขาคัดเลือกหญิงงามตั้งแต่เมื่อใด”
“ปีที่แล้ว? ปีก่อน?” เยี่ยนจื่อเสาจำไม่ค่อยได้
“ต้นฤดูใบไม่ผลิของปีที่แล้ว!” เอ้อร์เหมาจำได้ดี “เพราะว่าครานั้นนายท่านน้อยของเราชอบสาวงามคนหนึ่ง แต่สุดท้ายสาวงามคนนั้นกลับถูกขุนนางคัดเลือกสาวงามเลือกไปแล้ว”
อินหลิวเฟิง “…”
ลูกน้องที่เก็บความลับเจ้านายไม่ได้จะมีไว้ทำอะไร!
“อ๋อ!” เยี่ยนจื่อเสาและคนอื่นๆ ต่างมองอินหลิวเฟิงด้วยสายตากระจ่างแจ้ง
“ไม่ใช่ อายุน้อยด้อยประสบการณ์ เสเพลจนเคยตัว ได้มาจากท่านพ่อข้าทั้งนั้น” อินหลิวเฟิงจึงโยนความผิดให้ท่านพ่อ “แต่ข้าก็แค่ชอบชื่นชมความงาม เสเพลแต่ไม่ลามก!”
เยี่ยนอวี๋มิได้สนใจเรื่องไร้สาระเหล่านี้ นางขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม “เขาฝันเห็นข้าจริงๆ หรือ!” หากคิดตามเวลานั้นแล้วก็เป็นเวลาที่นางเกิดใหม่พอดี
“อืม” หรงอี้ยืนยันสิ่งที่เยี่ยนอวี๋คาดเดา และรู้แก่ใจว่าปฐมราชินีเยี่ยนสถิตลงสำนักชางอู๋ในห้วงจังหวะเดียวกัน เพราะถึงอย่างไรเขาก็… อืม… ช่วงเวลานั้นเช่นกัน
“เขาฝันเห็นความลับของสวรรค์ได้หรือ” เยี่ยนอวี๋แสดงสีหน้าเคร่งขรึม ด้วยสถานะของนาง แม้จะเป็นการเกิดใหม่ คนทั่วไปก็ไม่สามารถรู้ได้ แต่หยวนคังฮ่องเต้องค์นี้ดูท่าจะมีกึ๋น คลื่นไส้! น่ารังเกียจ! อยากอาเจียน! ไม่อยากเป็นนางในฝันของเขาหรอก!
หรงอี้ที่สัมผัสถึงความรังเกียจของนาง เขาก็จับมือของนางขึ้นมาทาบบริเวณหน้าอก “ไม่เหมือนข้า” ถึงแม้เมื่อครั้นเขาใช้วิชาเหนือธรรมชาติก็ไม่เห็นหน้าตาของนางเช่นกัน แต่เขาก็เห็นเด็กน้อยตัวมอมแมม จึงรู้ว่านางคือใคร
น่าเสียดายที่ครานั้นเขาไม่ได้เจอนางตั้งแต่แรก และยังเย้าแหย่นางเช่นนั้น ทำให้นางระแวดระวังเขา ทั้งสองเกือบจะพลาดโอกาส โชคดีที่เขายอมรับ ‘สภาพการณ์ได้’ มิเช่นนั้น…
“พอแล้ว! ขึ้นรถแล้วค่อยว่ากัน” เยี่ยนจื่อเยี่ยทนดูต่อไปไม่ไหว ตั้งแต่ที่น้องเล็กถือวิสาสะ ‘จู่โจม’ เขา น้องเขยคนนี้ก็ได้ใจจนตัวลอย ดูแล้วระคายเคืองตานัก
“ไม่รอท่านพ่อข้าหรือ” อินหลิวเฟิงเห็นว่าท่านพ่อของเขากำลังส่งแขกกลับไปอย่างรู้หน้าที่ เขารู้สึกว่าหากทิ้งท่านพ่อเขาไว้เช่นนี้ เหมือนจะไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
ส่วนอีจี้จิ่ว เขาก็กลับสำนักศึกษาไปก่อนที่งานเลี้ยงยังไม่เลิกแล้ว เขายังอนุโลมให้เยี่ยนจื่อเยี่ยพวกเขาทั้งสามคนลาได้หนึ่งวัน ค่อยกลับมาวันพรุ่งนี้
“รอประเดี๋ยวเถิด ข้ากลัวว่าเขาจะถูกลอบฆ่า” ในที่สุดอินหลิวเฟิงก็รอท่านพ่ออย่างมีจิตสำนึก
เมื่อคนทั้งขบวนกลับถึงจวนอินอ๋อง ก็เป็นยามกุนแล้ว เจ้าตัวน้อยก็นอนหลับเป็นลูกหมูตัวน้อยๆ แล้ว
ส่วนเรื่องที่ถกกันก่อนหน้านี้ ก็ไม่มีผู้ใดพูดถึงอีก คนที่ ‘ทึกทัก’ ว่ารู้ย่อมรู้สถานะของเยี่ยนอวี๋ดี ซึ่งก็คือทายาทสืบทอดปฐมราชินีเยี่ยน หยวนคังฮ่องเต้ก็น่าจะเดาออกแล้ว?
ส่วนคนที่ไม่รู้เช่นเฟิงจื่ออวิ๋น เขาก็ไม่ได้สนิทกับทุกคนขนาดที่จะกล้าถามได้
ทว่าสิ่งที่ทุกคนคาดคิดไม่ถึงคือ…
“มีพระราชโองการ!”
ราชโองการจากราชสำนักมาถึงแทบจะเวลาเดียวกันกับที่พวกเขาถึงจวนอินอ๋อง ทำให้ทุกคนที่ครุ่นคิดเรื่องของตนเองต่างมองหน้ากันไปมา
ขันทีที่มาส่งราชโองการก็อ่านราชโองการอย่างคล่องแคล่ว อาจจะเป็นเพราะรู้ว่าจวนอินอ๋องล้วนเป็นผู้ต่อต้าน ไม่มีผู้ใดคุกเข่ารับราชโองการเสียด้วยซ้ำ
“ด้วยควาเมตตาของฟ้า ฮ่องเต้มีรับสั่งว่า…” เมื่อขันทีอ่านพระบัญชายาวเหยียดของฮ่องเต้เสร็จแล้ว ทุกคนเพิ่งรู้ว่าข่าวของโหย่วฉู่ปั๋วเชื่อถือได้!
นี่เป็นพระราชโองการที่ประสงค์เลื่อนพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักเร็วขึ้นเกือบสองเดือน อีกทั้งเหมือนกับว่าจะกำหนดไว้แต่แรกแล้ว หยวนคังฮ่องเต้คงคิดจะประกาศในงานเลี้ยง แต่กลับโมโหเพราะต้าซือมิ่งเสียก่อน
“นี่มัน…” อินหลิวเฟิงชะงักเล็กน้อย เมื่ออินสวินอี้เดินขึ้นไปรับราชโองการแล้ว ขันทีคนนั้นก็จากไปโดยไม่กล่าวลา เพราะว่าเขาต้องรีบไปส่งสารต่อที่อื่น
“เลื่อนขึ้นมาจริงๆ ด้วย!” เยี่ยนจื่อเสาขมวดคิ้ว “เกรงว่าท่านพ่อคงไม่ทันแล้ว”
“ท่านพ่อทำไมหรือ” เยี่ยนจื่อเยี่ยนไม่เข้าใจ
“อืม น้องเล็กเรียกหงส์เพลิงตัวจริงมาให้สำนัก ให้ท่านพ่อตั้งใจฝึกบำเพ็ญ เพื่อเลื่อนขั้นให้ตนกลายเป็นนักอัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่บรรลุขั้นถอดจิต ก่อนจะถึงวันแต่งตั้งเจ็ดสำนัก” เยี่ยนจื่อเสาอธิบาย
เฟิงจื่ออวิ๋นเหงื่อแตก “หงส์เพลิงตัวจริง?”
“?” เยี่ยนจื่อเยี่ยก็มองน้องรองของเขาอย่างตะลึงงัน
อินหลิวเฟิงและคนอื่นๆ ก็เบิกตาโพลง พวกเขาไม่รู้เรื่องนี้เลยจริงๆ!
ทว่าจู่ๆ หัวหน้าผู้พิทักษ์ก็เข้ามารายงาน “เรียนท่านปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน มีชายตระกูลกู้จากสำนักเหยาไถเซียนขอเข้าพบท่าน มิทราบว่าท่านอนุญาตหรือไม่ขอรับ”
“ชุนซิ่นจวิน?” อินหลิวเฟิงชะงัก
ต้าซือมิ่งบีบมือนางแน่น แต่ปฐมราชินีกลับพูดว่า “ได้”
…
ในขณะเดียวกัน ณ ราชสำนัก
หยวนคังฮ่องเต้ที่แต่เดิมควรพักผ่อนในห้องบรรทม กลับอยู่ในวังใต้ดินที่ต้าซือมิ่งและเยี่ยนอวี๋เคยมา ทว่าวังใต้ดินในยามนี้กลับมีโลงศพสีดำดุจหมึกโลงหนึ่งอยู่ในนั้น!?
และเมื่อหยวนคังฮ่องเต้เปิดฝาโลงออก!
“…”
ในโลงมีต้าซือมิ่งที่กำลังนอนหลับอยู่ในนั้น!?
อย่างน้อยก็มีหน้าตาเหมือนต้าซือมิ่ง เป็นหรงต้าซือมิ่งที่สวมชุดสีขาวดุจหิมะ มีผมสีแดงดั่งเพลิงนรก แผ่ซ่านความโหดเหี้ยมและพลังทำลายล้างไปทั้งกาย
นี่มัน…