เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 302 ต้อนต้าซือมิ่งเข้ามุม
ตอนที่ 302 ต้อนต้าซือมิ่งเข้ามุม!
นี่เป็นโลงศพที่ไม่เคยปรากฏเมื่อครั้นเยี่ยนอวี๋และต้าซือมิ่งมา และเป็นโลงศพที่เยี่ยนอวี๋ไม่เคยเห็นตั้งแต่ที่นางเกิดใหม่ ทว่าบัดนี้มันอยู่ตรงนี้! ในวังใต้ดินแห่งนี้ ‘คน’ ที่หลับอยู่ในโลงศพก็อยู่ในนี้มาตลอด!
“แค่ก”
หยวนคังฮ่องเต้กระแอม แสดงสีหน้าผวาอย่างยิ่ง แต่เขายังคงนั่งขัดสมาธิลงข้างหน้า ‘ต้าซือมิ่ง’ ที่หลับใหลคนนี้เพื่อพักฟื้นตัว ทว่าก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่กล้าเข้าใกล้ ‘ต้าซือมิ่ง’ ท่านนี้เลย
นอกจากนี้ กลิ่นอายทำลายล้างและโหดเหี้ยมที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของ ‘ต้าซือมิ่ง’ ผู้หลับใหล หยวนคังฮ่องเต้มิสามารถซึมซับโดยตรงได้ ดังนั้นจึงมีลูกแก้วลวดลายอักษรโบราณประกายแสงสีม่วงชั้นหนึ่งปกป้องเขาไว้ข้างหน้า
กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจาก ‘ต้าซือมิ่ง’ ที่หลับใหลอยู่ในโลงศพ มีเพียงพลังน้อยนิดถูกลูกแก้วกลืนกิน ก่อนจะถูกหยวนคังฮ่องเต้ซึมซับต่ออีกทอดหนึ่ง
“…” ในช่วงเวลาเงียบสงัดนี้ ลมปราณของหยวนคังฮ่องเต้ก็ค่อยๆ ดีขึ้น สีหน้าแต่เดิมที่ซีดเหมือนเถ้าถ่านก็ค่อยๆ มีเลือดฝาด ถือว่าฟื้นจากความตายอีกครั้งแล้ว
มิเช่นนี้ด้วยพลังสวรรค์พิพากษาของต้าซือมิ่งที่ไม่คิดจะไว้ชีวิตเขา หยวนคังฮ่องเต้รู้ดีว่าคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินหนึ่งเดือน ถึงแม้อีจี้จิ่วจะมาช่วยเขาไว้ก็คงไม่ได้ทำให้เขาดีขึ้นไปกว่านี้
เมื่อพ้นขีดอันตรายแล้ว หยวนคังฮ่องเต้ก็ลืมตาที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นขึ้น “หรงอี้! แค้นชิงรักนี้ เราจะบดกระดูกของเจ้าให้กกลายเป็นเถ้าถ่าน!”
สำหรับหยวนคังฮ่องเต้แล้ว เขาและเยี่ยนอวี๋เป็นคู่ชะตาฟ้าลิขิต มิเช่นนั้นเขาคงไม่ฝันถึงเทพธิดาสถิตบนโลกได้อย่างแม่นยำเช่นนี้ และด้วยคุณสมบัติของเขา เทพธิดาที่งดงามที่สุดย่อมต้องเป็นสตรีของฮ่องเต้ผู้ปกครองใต้หล้าท่านนี้เท่านั้น!
น่าเสียดาย…
เมื่อสิ้นเสียงพูด
ฟื้ว!
จู่ๆ กลิ่นอายอันโหดเหี้ยมก็พุ่งออกมาจากระหว่างคิ้วของ ‘ต้าซือมิ่ง’ ที่อยู่ในโลงศพ!
ตู้ม!
หยวนคังฮ่องเต้ได้แต่เบิกตาโพลงหลบไม่ทัน เขาถูกยิงเข้าอย่างจัง!
อัก…
หยวนคังฮ่องเต้ล้มลงบนกองเลือดก่อนจะหมดสติไปราวกับไม่มีลมหายใจแล้ว เหลือเพียงลูกแก้วประกายแสงสีม่วงระยิบระยับ ส่วน ‘ต้าซือมิ่ง’ ผู้โหดเหี้ยมองค์นั้นยังคงหลับใหล…
…
ในขณะเดียวกัน ณ จวนอินอ๋อง
กู้หยวนหมิงที่ถูกพามาในเรือนรับแขก เขาก็รีบกล่าวขอโทษก่อนว่า “ขออภัย จื่ออวี๋ ข้าขอโทษแทนทุกๆ การกระทำของสำนักเหยาไถเซียนด้วย”
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าการขอโทษครั้งนี้มิสามารถลบล้างสิ่งที่สำนักเหยาไถเซียนและตระกลูกู้ทำลงไปได้ แต่กู้หยวนหมิงก็รู้สึกผิดอยู่ดีและทำได้เพียงขอโทษ
“มิเป็นไร ไม่เกี่ยวกับเจ้า” เยี่ยนอวี๋ไม่ใช่คนที่โมโหแล้วพาลผู้อื่น ส่วนกู้หยวนหมิงเองก็ไม่เคยทำร้าย ‘นาง’ ตั้งแต่แรกจวบจนตอนนี้ ถือได้ว่าเป็นคนที่มีจิตใจดีเพียงผู้เดียวในตระกูลกู้
กู้หยวนหมิงกลับรู้สึกละอายใจและเจ็บปวดใจมาก “ข้าไม่รู้ว่าพี่ใหญ่และชีหลางเป็นอะไรไป เมื่อก่อนพวกเขามิได้เป็นเช่นนี้ ถึงแม้พี่ใหญ่จะทะนงตนและละโมบไปหน่อยและชีหลางก็ประมาทเลินเล่อ แต่เมื่อก่อนพวกเขามิได้เป็นคนจิตใจชั่วร้ายเช่นนี้”
เยี่ยนอวี๋มิได้ตอบ กู้หยวนหมิงก็ไม่ได้ต้องการให้นางตอบอะไร เขาเพียงรู้สึกผิด และอยากจะอธิบาย “ช่วงที่ข้าอยู่ในสำนัก ข้าสืบข่าวเล็กๆน้อยๆมาได้ ข้าคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้า”
“ข่าวอะไรหรือ” เยี่ยนอวี๋ประหลาดใจ
กู้หยวนหมิงก็พูดอย่างไม่ลังเลว่า “เจ้ารู้จักสตรีที่ชื่อเยี่ยนซูซูหรือไม่”
“รู้จัก” เยี่ยนอวี๋จำคนๆ นี้ได้
“เช่นนั้นก็ดี” กู้หยวนหมิงพูดต่อว่า “ได้ยินมาว่าสตรีนางนี้เป็นคนเกิดใหม่เช่นกัน สามารถล่วงรู้อนาคต รู้อายุขัยของทุกคน เหมือนว่านางจะเป็นคนที่บอกหยวนซูว่าหยวนซูจะถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮา ส่วนเจ้า…”
กู้หยวนหมิงชะงักเล็กน้อยก่อนจะกล่าวอย่างสัตย์ซื่อว่า “แต่เดิมเจ้าต้องแต่งงานกับชีหลาง แต่ไร้ทายาท ชีหลางจึงแต่งงานกับอวิ๋นอวิ๋น ลูกพี่ลูกน้องของเจ้า”
“ฮึ” ต้าซือมิ่งผู้ที่ไม่เคยปล่อยมือของภรรยาก็พ่นหัวเราะเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งออกมา ทำให้ชั่วจังหวะหนึ่งกู้หยวนหมิงไม่กล้าพูดต่อไป
เยี่ยนอวี๋ชำเลืองมองเขา นางถูกต้าซือมิ่งไร้ยางอายคนนี้ทรมานจนอารมณ์บูดบึ้งหมดแล้ว แต่เขาก็ยังคิดจะจูงนางเช่นนี้ต่อไป!?
“แค่ก” กู้หยวนหมิงกระแอมในลำคอ ก่อนจะเล่าต่อไปได้อย่างราบรื่นว่า “ในภายหลังสตรีนางนี้ถูกหยวนซูพาเข้าวัง หลังจากนั้นหยวนซูก็ได้ขึ้นเป็นฮองเฮาจริงๆ แม้จะแค่วันเดียว… แต่เห็นได้ชัดว่าหยวนซูเชื่อคำพูดของสตรีนางนี้ จึง…”
อันที่จริงกู้หยวนหมิงก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน เขาไม่รู้จริงๆ ว่าหากไม่มีเยี่ยนซูซู พี่สาวคนนั้นของเขาจะคบกับคุณหนูใหญ่เยี่ยนได้อย่างสันติหรือไม่
เกรงว่าก็คงไม่ได้อยู่ดี ถึงอย่างไรคุณหนูใหญ่เยี่ยนโฉมงามเช่นนี้ พี่สาวท่านนั้นของเขาก็รู้แต่แรกแล้วว่าตนเป็นยอดหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าซย่า นางย่อมไม่ปล่อยให้สตรีอื่นมาแย่งชิง
กู้หยวนหมิงที่คิดได้ในที่สุดก็พูดได้เพียงว่า “เอาเป็นว่าขอโทษจริงๆ”
“ขอบใจเจ้าที่บอกข้าเรื่องเหล่านี้” ถึงแม้เยี่ยนอวี๋มิได้สนใจว่าสุดท้ายเยี่ยนซูซูจะเป็นอย่างไร ถึงอย่างไรสำหรับนางแล้วเยี่ยนซูซูก็ไร้ประโยชน์แล้ว
ทว่าเยี่ยนซูซูช่างโง่เขลานัก เยี่ยนอวี๋คิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องการเกิดใหม่ หากไม่ใช่เพราะนางก็คงไม่มีผู้ใดรู้ เยี่ยนซูซูคนนี้โง่ได้เป็นที่โดดเด่นจริงๆ
“เป็นเพียงคำบอกเล่า หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้า” กู้หยวนหมิงคิดเพียงว่าเยี่ยนอวี๋มีสิทธิที่จะรู้เรื่องนี้ว่าเหตุใดคนในครอบครัวจึงกระทำกับนางเช่นนี้ นางควรรับรู้ไว้
ส่วนเรื่องอื่น…
“ข้ามาหากลางดึก พล่ามเสียมากมาย เมื่อครู่นี้ลืมคารวะท่านทั้งสอง ในฐานะที่เป็นสหาย… หากยังนับข้าเป็นเพื่อน ข้าขอแสดงความยินดีกับความรักของทั้งสอง วันข้างหน้าจะส่งของขวัญมาให้ วันนี้ข้าขอลาไปก่อนแล้ว”
แม้จะรู้สึกว่ากะทันหันไปเล็กน้อย แต่กู้หยวนหมิงก็ต้องการแสดงความยินดีจากใจจริง ถึงแม้จะรู้สึกปวดใจแปลบๆ แต่เขาก็รู้ดีว่าเมื่อเทียบกับต้าซือมิ่งผู้แข็งแกร่งแล้ว เขาไม่สามารถให้ชีวิตที่ดีกว่าแก่คุณหนูใหญ่เยี่ยนได้ เขาควรจะดีใจด้วยซ้ำที่ต้าซือมิ่งเข้ามาข้องเกี่ยวเรื่องนี้ ครอบครัวของเขาจึงเอาชนะไม่ได้
“ขอบใจ” เยี่ยนอวี๋ลุกขึ้นขอบใจ “ขอเพียงเจ้าเห็นข้าเป็นเพื่อน เจ้า หลิวเฟิง เอ้อร์เหมาล้วนเป็นสหายของข้า”
“เป็นเกียรตินัก!” กู้หยวนหมิงยิ้มได้ในที่สุด เหมือนกับฝนที่ตกปรอยๆ ในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้สิ่งต่างๆเปียกปอนอย่างเงียบๆ แต่มันก็นำพาความงามมามากมาย ต้าซือมิ่งที่เห็นดังนั้นก็อดลุกยืนตามมิได้ นัยน์ตาเขาขรึมลงเล็กน้อย
อินหลิวเฟิง สง่างามรักอิสระ
กู้หยวนหมิง งดงามประหนึ่งฤดูใบไม้ผลิ
…
เมื่อส่งกู้หยวนหมิงกลับไปแล้ว เยี่ยนอวี๋ที่ถูกต้าซือมิ่ง ‘จูง’ ตลอดเวลาเตรียมจะกลับเรือน นางอดยกมือขึ้นมาดูมือเรียวยาวที่สอดประสานจับกับแน่นนั้นไม่ได้ นางกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “จะจับถึงเมื่อไร”
“ตลอดไป” เห็นได้ชัดว่าหรงต้าซือมิ่งที่มืออีกข้างหนึ่งยังอุ้มเด็กน้อยไว้นึกอยากจะพูดอะไรก็พูด
เยี่ยนอวี๋ “…”
นางมิได้พูดอะไร ได้แต่ ‘จูง’ เขากลับไปจนถึงลานหน้าเรือนของตน ฝีเท้าไม่เร็วนัก ราวกับกำลังเดินเล่นใต้แสงจันทร์กับสองพ่อลูก
ต้าซือมิ่งที่ไม่ถูกสลัดมือออกก็เลิกคิ้วโก่งยาวของเขา พลางชายตามองคนข้างกาย “คิดอะไรอยู่หรือ”
“เจ้า”
คำตอบนี้เกิดความคาดหมายของต้าซือมิ่งยิ่งนัก เขาชะงักฝีเท้า สายตาจ้องมองไปที่คนข้างกายที่ถูกเขาดึงให้หยุดเดิน นัยน์ตาลึกซึ้ง “ให้เจ้ามอง”
เยี่ยนอวี๋ก็หยุดเดินตามเขาก่อนจะเงยหน้ามองเขา มองดวงตาสีม่วงสุกใสของเขา มองขนตายาวงอนราวกับจะโบยบินของเขา มองคิ้วโก่งดั่งคันศรของเขา มองจมูกโด่งเป็นสันของเขา มองริมฝีปากสีชมพูระเรื่อราวกับเกสรอ่อนของเขา…
ไม่มีส่วนใดที่ไม่วิจิตรประณีต ทุกส่วนสมบูรณ์แบบเหมือนใบหน้าของเด็กน้อยฉบับโต อันที่จริงก็ไม่มีส่วนใดที่ขัดใจนาง ราวกับเป็นคนที่นางปั้นมาเองกับมือ มีหน้าตางดงามแบบที่นางชอบ
หากไม่ใช่เพราะเขาทำให้นางรำคาญตั้งแต่แรก ด้วยหน้าตาเช่นนี้ นางก็คงไม่รู้สึกรังเกียจเขา ฉะนั้นพูดตามตรง ในยามจำเป็น นางจะต้องเลือกเขา นี่คงเป็นสาเหตุที่มีเสี่ยวเป่า ถึงแม้นางจะจำไม่ได้…
“…”
เยี่ยนอวี๋นึกถึงเหตุการณ์วุ่นวายอันเลือนรางนั้น นางขมวดคิ้ว เพราะนางมิสามารถจำได้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นจริงๆ อันที่จริงนางเองก็ไม่สนใจมากนัก ทว่าบัดนี้…
หรงอี้ที่ถูกมองอยู่พักใหญ่ก็เลิกคิ้วขึ้น “ขมวดคิ้วหมายความว่าอย่างไร มีส่วนไหนไม่พอใจเจ้าหรือ”
เยี่ยนอวี๋มิได้พูดอะไร แต่นางค่อยๆ เดินเข้าใกล้ต้าซือมิ่ง ทำเอาฝ่ายหลังหลุบตาลงเล็กน้อย แต่สิ่งที่ต้าซือมิ่งคิดไม่ถึงเลยก็คือ เยี่ยนอวี๋ที่ค่อยๆ ประชิดตัวเขาก็ผลักเขาถอยหลังจนหลังชนกำแพงอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เจ้า…” หรงอี้นัยน์ตาขรึม
เยี่ยนอวี๋กลับเขย่งเท้าขึ้นประชิดตัวเขา มือข้างหนึ่งที่ยังจับมือเขาอยู่ก็ถูกยกขึ้นและดันไปข้างลำคอของเขา นางกดมือของเขาไว้บนกำแพง เพื่อค้ำตัวนางและสบตาที่อยู่ในระดับสายตาเดียวกันไว้ “ห้ามพูด”
หรงอี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาเขาปรากฏแสงพราวพราย ริมฝีปากปากอันเย้ายวนก็ทำตามคำสั่งปฐมราชินีเยี่ยน เขาไม่ขยับปากอีก นางจึงเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าในขณะเดียวกัน ทั้งสองก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินเข้ามาหาพวกเขาจากนอกกำแพง ทำให้ต้าซือมิ่งทำท่าจะขยับตัว เขาอยากจะจู่โจมกลับแล้ว!
“อย่าขยับ!” เยี่ยนอวี๋กลับไม่อนุญาตให้หรงอี้ตรงหน้าขยับ
นางจ้องมองเขาราวกับถูกสะกดไว้อย่างไรอย่างนั้น!
ไม่ให้เขาขยับ ไม่ให้เขาพูด ไม่ให้เขา… เพราะว่านางอยากตรวจสอบเรื่องหนึ่ง ดังนั้น…
แม้เยี่ยนอวี๋จะได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหู แต่นางยังคงเข้าใกล้เขาโดยที่ไม่กดทับโดนเสี่ยวเป่า วินาทีที่หัวใจต้าซือมิ่งบีบตัว นางประชิดหน้าเข้าไปที่ริมฝีปากชมพูระเรื่อของเขาตามใจปรารถนาทันที…