เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 342 เสียภาพลักษณ์ สอนพลังวิเศษให้ลูก
ตอนที่ 342 เสียภาพลักษณ์! สอนพลังวิเศษให้ลูก!
หยวนคังฮ่องเต้ไม่เพียงหายดีแล้ว พลังของเขายังเพิ่มขึ้นมากด้วย!
เยี่ยนอวี๋ถึงกับมองความสามารถที่แท้จริงของหยวนคังฮ่องเต้ไม่ออก นางจึงหันไปมองต้าซือมิ่งและสบเข้ากับดวงตาสีม่วงคู่นั้นที่กำลังมองนางพอดี เพียงสบตาก็รู้ใจ
สำหรับหยวนคังฮ่องเต้แล้ว สายตาของทั้งคู่ย่อมคือการยั่วยุอย่างยิ่ง! ในใจของเขาก็กำลังเดือดปะทุจริงๆ แต่สีหน้ายังคงไม่เปลี่ยน น้ำเสียงคงเดิม “ต้าซือมิ่ง ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน ปล่อยให้เรารอนานนัก”
“ทูลฝ่าบาท พวกเขาสองคนกล่อมลูกอยู่เรือนหลังพ่ะย่ะค่ะ!” เยี่ยนชิงรีบตอบ หวังว่าจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปได้
เด็กน้อยส่งเสียง ‘เนะ’ ขึ้นมา บอกว่าข้าไม่ต้องกล่อมเสียหน่อย ข้าเป็นเด็กดีจะตาย!
ทว่าคนอื่นที่ได้ยินย่อมคิดว่าเด็กน้อยกำลัง ‘ยอมรับ’ ถึงอย่างไรพวกเขาก็ฟังภาษาทารกไม่ออก
หยวนคังฮ่องเต้เองก็ไม่คาดหวังจะรู้ความจริง เขาถามต่อไปว่า “ไม่ทราบว่าเมื่อครู่นี้ทั้งสองท่านรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวผิดปกติในพระราชวังหรือไม่”
“ไม่พ่ะย่ะค่ะ” หรงต้าซือมิ่งตอบ น้ำเสียงปกติ
อันที่จริงหยวนคังฮ่องเต้มั่นใจว่าความเคลื่อนไหวในวังใต้ดินเมื่อครู่นี้เกี่ยวข้องกับต้าซือมิ่งตรงหน้าผู้นี้แน่นอน! มิเช่นนั้นโลงศพนั่นจะหายไปได้อย่างไร แต่หยวนคังฮ่องเต้ไม่มีหลักฐานจึงทำอะไรต้าซือมิ่งไม่ได้ จุดประสงค์ที่เขามาก็ไม่ได้มาเพราะจะสืบสาวเรื่องนี้
หลังจากที่หยวนคังฮ่องเต้สงบอารมณ์ลงแล้วก็กล่าวขึ้นว่า “ดูท่าต้าซือมิ่งจะวุ่นอยู่กับการเลี้ยงลูก คงไม่ได้สนใจราชสำนักเท่าไรนัก โชคดีที่เราเรียกติ้งซีอ๋องมาแล้ว”
หยวนคังฮ่องเต้ไม่ได้มองต้าซือมิ่ง เขาหันไปมองเยี่ยนอวี๋ “เราเพิ่งจำศีลออกมาก็ได้ยินว่าปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนทำลายล้างสำนักคุนอู๋ไปแล้ว บัดนี้คนที่เหลือรอดกำลังลงมือกันอย่างลับๆ ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนโปรดระมัดระวังตัวด้วย”
“ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรเพคะ” เยี่ยนอวี๋ถามกลับ
หยวนคังฮ่องเต้จึงกล่าวต่อไปว่า “ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เราก็ทนสำนักคุนอู๋มาตลอด หลายๆ เรื่องเราก็มิอาจทำดั่งใจหมายได้ สิ่งที่เรากังวลไม่ใช่เพียงพลังภายนอกของสำนักคุนอู๋ แต่รวมถึงวิชามารต้องห้ามของพวกเขาด้วย”
“อย่างเช่น?” เยี่ยนอวี๋ไม่คิดเลยว่าอันที่จริงหยวนคังฮ่องเต้มาเพื่อเหยียบย่ำสำนักคุนอู๋
“อย่างเช่นพวกเขาสามารถสื่อสารกับแดนมืดวิญญาณอสูร เรียกกองทัพวิญญาณอสูรออกมาได้ เพียงแค่เรื่องนี้ก็ทำให้ราชสำนักสั่นคลอนได้แล้ว เราจำเป็นต้องทนยอมและ ‘ปล่อยตามใจ’ พวกเขา นอกจากนี้ พวกเขายังคอยพัฒนากองทัพวิญญาณคนตายและศึกษาเรื่องเลวร้ายอื่นๆ อย่างลับๆ ในต้าซย่าด้วย เรื่องที่พี่รองของเจ้าถูกวางยาแปรสภาพเมื่อครึ่งปีก่อน เกรงว่าก็คงเป็นฝีมือของสำนักคุนอู๋ เท่าที่เรารู้มา สำนักคุนอู๋ยังพัฒนาทหารร่างแปลงอย่างลับๆ จำนวนไม่น้อย พวกเขาเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถเผาทิ้งหมดสิ้นในคราเดียวได้ง่ายๆ” หยวนคังฮ่องเต้เล่าให้ฟังอย่างเจ็บปวดเคียดแค้น
เยี่ยนชิงสับสนเล็กน้อย “ฝ่าบาทหมายความว่าบุตรสาวกระหม่อมแหย่รังแตนเข้าแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว” หยวนคังฮ่องเต้แสดงสีหน้ายากจะคาดเดา “เราได้ยินมาว่าวันนี้มีผู้อาวุโสคุนอู๋คนหนึ่งพยายามทำลายตัวเองแต่ถูกต้าซือมิ่งกำจัด แต่เสียดายที่เขาคนนั้นไม่ใช่ร่างจริงของผู้อาวุโสท่านนั้น ผู้อาวุโสคนนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักคุนอู๋ มิอาจประเมินความสามารถของเขาได้ เกรงว่าเขาคงกำลังรวบรวมพลังชั่วร้ายทั้งหมดของสำนักคุนอู๋ เตรียมจู่โจมกลับแล้ว ว่ากันว่าทวนเปิดเผย หลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับ ยากระวัง เรามาเพื่อเตือนปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนและต้าซือมิ่ง รวมถึงสำนักชางอู๋ พวกเจ้าต้องเตรียมตั้งรับให้ดี พวกเขากล้าลงมือแม้แต่ราชสำนัก เราเชื่อว่าไม่มีเรื่องใดที่พวกเขาไม่กล้าทำแน่นอน”
หยวนคังฮ่องเต้เล่าเรื่องเหล่านี้ด้วยความจริงใจ มีหลักมีฐาน ทำให้เยี่ยนอวี๋เกือบจะหลงเชื่อความร้ายกาจของเขาแล้ว แต่ในเมื่อหยวนคังฮ่องเต้มิได้มาสร้างความวุ่นวาย นางจึงกล่าวอย่างไว้หน้า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย”
เยี่ยนอวี๋รู้ดีว่าบัดนี้หยวนคังฮ่องเต้เกี่ยวโยงกับ ‘เบื้องหลัง’ ของ ‘ต้าซือมิ่ง’ คนนั้น ดังนั้นก่อนจะพบตัว ‘ต้าซือมิ่ง’ คนนั้น เขายังมีประโยชน์อยู่
ส่วนเรื่องพลังลับของสำนักคุนอู๋ก็ล้วนมาจากฝีมือของหยวนคังฮ่องเต้มิใช่หรือ
หยวนคังฮ่องเต้มิได้ ‘อธิบาย’ มากไปกว่านี้ เขาพูดถึงตรงนี้ก็ลุกขึ้น “ได้เห็นว่าปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนไม่เป็นอะไร เราก็วางใจแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเลือกผู้ใด เจ้าก็เป็นพรของต้าซย่า เราย่อมหวังให้เจ้าสุขสบายดี”
เห็นได้ชัดว่าหยวนคังฮ่องเต้ยอมอภัยให้แล้ว แต่เยี่ยนอวี๋ไม่ใช่แม่นางน้อยผู้ไร้เดียงสา นางไม่หลงเชื่อง่ายๆ แต่ก็ไม่เปิดโปงเขา นางเพียงแค่พูดว่า “ขอให้ต้าซย่าสงบสุข”
“ควรเป็นเช่นนั้น” หยวนคังฮ่องเต้เอามือไพล่หลังก่อนจะมองไปที่ต้าซือมิ่งและเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมอกของเขาด้วยความรู้สึกพยายามข่มความโมโหและเคียดแค้นไว้ในใจ
เด็กน้อยมองเขาตาปริบ “เนะ?”
หยวนคังฮ่องเต้มองใบหน้าที่เหมือนต้าซือมิ่งราวกับแกะสลักออกมาก็รู้สึกเหมือนกับถูกเย้ยหยัน! ฮึ รอก่อนเถอะ เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง เขาจะต้องทำลายและบดกระดูกของเด็กน้อยลงไปในกองขี้เถ้า! ใครจะอยากไปเป็นพ่อบุญธรรมของเด็กเวรนี่กันเล่า!
ชั่วขณะที่เขาคิดเช่นนี้ เด็กน้อยก็ร้อง ‘อุแว้’ ขึ้นมา
“เสี่ยวเป่า?” เยี่ยนอวี๋รีบเดินขึ้นไปหา “เป็นอะไรไปหรือ”
“อุแว้…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่ร้องไห้ขึ้นมาจริงๆ ก็มุดศีรษะเข้าไปในอ้อมอกของท่านแม่
เยี่ยนอวี๋รีบอุ้มเด็กน้อยเข้ามา ก่อนจะมองไปที่หยวนคังฮ่องเต้ที่กำลังจะจากไปด้วยสัญชาติญาณ นางกำลังสงสัยว่าเขาเป็นคนขู่ขวัญเด็กน้อย มิเช่นนั้นเหตุใดเด็กน้อยถูกมองเพียงครู่เดียวก็ร้องไห้แล้วเล่า
หากไม่ใช่เพราะท่านพ่ออุ้มเขาไว้อยู่ เยี่ยนอวี๋คงคิดว่าหยวนคังฮ่องเต้ลอบลงมือกับเด็กน้อยไปแล้ว! ชั่วร้ายจริงๆ เสี่ยวเป่าเด็กขนาดนี้ เขาก็คิดร้ายเช่นนี้แล้ว
หยวนคังฮ่องเต้ “…”
กว่าจะเล่นละครแสดงความห่วงใยสำเร็จได้ บัดนี้เขาเกือบจะทนไม่ไหว ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้ และยังเป็นฮ่องเต้ที่มีอำนาจและพลัง เขาไม่เคยต้องยอมอดทนเงียบๆ เช่นนี้
“ฝ่าบาท เด็กน้อยอาจจะกลัวคนแปลกหน้าพ่ะย่ะค่ะ” เหอซงจำเป็นต้องรีบเอ่ยเพื่อคลายสถานการณ์
หยวนคังฮ่องเต้จึงเดินสะบัดแขนเสื้อออกไป เหอซงรีบประกาศ “ฝ่าบาทเสด็จกลับวัง…”
“ส่งเสด็จฝ่าบาท” เยี่ยนชิงและคนอื่นๆ ส่งหยวนคังฮ่องเต้
เยี่ยนอวี๋ต้องกล่อมเด็กน้อยจึงไม่ได้ไปส่ง ส่วนต้าซือมิ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ทำเอาหลังจากที่หยวนคังฮ่องเต้ขึ้นเกี้ยวไปแล้วเกือบจะพิโรธ! เหอซงรีบสั่งคนยกเกี้ยวขึ้น ทำให้ทุกอย่างจบลงได้ แต่เพียงไม่นานเขาและขุนนางไม่น้อยก็กลายเป็นกระสอบทรายแทน!
…
“ดุ ดุเป่า!” ครานี้เยี่ยนเสี่ยวเป่ากำลังฟ้องท่านแม่ของเขา “ดุ!”
เยี่ยนอวี๋จูบเด็กน้อยอย่างสงสาร “แม่รู้แล้ว เขาเป็นคนไม่ดี ครั้งหน้าเสี่ยวเป่าไม่ต้องมองเขา อยู่กับท่านพ่อก็พอ”
“อื้อ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่สะอึกสะอื้นก็ยื่นมืออวบอ้วนของตนไปทางท่านพ่อ
ต้าซือมิ่งรับเด็กน้อยเข้ามา เขาลูบเด็กน้อยพลางถามว่า “เสี่ยวเป่าตกใจหรือ”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าพยักหน้าอย่างเชื่อฟังบอกว่า เสี่ยวเป่าตกใจ! ดุๆ!
หรงอี้ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้เด็กน้อย ถามว่า “เขาดุเสี่ยวเป่าอย่างไรหรือ”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็จับดวงตากลมโตของตนเอง เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจสายตาของหยวนคังฮ่องเต้!
หรงอี้ครุ่นคิดพลางรวบตัวเด็กน้อย เขาย่อมรู้ดีว่าเด็กน้อยกล้าหาญเพียงใด เขาจึงรู้ว่าเด็กน้อยไม่ได้กลัวหยวนคังฮ่องเต้ แต่กลัว ‘กลิ่นอายอำมหิต’ ที่ฝ่ายหลังแผ่ซ่ายออกมาเมื่อครู่ซึ่งเป็นกลิ่นอายของ ‘เขา’ อีกคนหนึ่ง
ทว่าต้าซือมิ่งก็ถือโอกาสสอนเด็กน้อย “เสี่ยวเป่า ครั้งต่อไปหากเจอคนเลว พ่อแม่ไม่อยู่กับเจ้า จำไว้ว่าเจ้าต้องบินไปหาท่านแม่ของเจ้าเหมือนที่เจ้าทำเมื่อเช้านี้ รีบบินไปหาพ่อแม่”
“บิน?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าไม่เข้าใจ
“อื้ม บินไม่ใช่หนี” หรงอี้อุ้มเด็กน้อยขึ้นมา กำลังจะสอนว่า ‘บิน’ กับ ‘หนี’ ไม่เหมือนกัน บินไม่จำเป็นต้องหนีเข้าไปในความว่างเปล่า ไม่มีอันตรายจากปัจจัยอื่น เป็นวิธีการหนีที่ค่อนข้างปลอดภัย
ทว่าเยี่ยนอวี๋ก็อดแทรกขึ้นไม่ได้ “สอนเรื่องนี้ทำไม เสี่ยวเป่ายังเด็ก”
หรงต้าซือมิ่งจูงมืออ่อนนุ่มของนาง เขารู้ใจนางดีจึงอธิบายอย่างอ่อนโยนว่า “เราปกป้องเสี่ยวเป่าตลอดชีวิตได้ แต่เสี่ยวเป่าก็ต้องรู้จักโต”
“บิน! บิน!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าทำท่าอยากจะบินอย่างดีอกดีใจ
หรงอี้หยิกเด็กน้อยในอ้อมอกเบาๆ ไม่ปล่อยให้เขาบินตอนนี้ ถึงอย่างไรก็ต้องสอนให้เป็นก่อน มิเช่นนั้นหากเจ้าหมอนี่จู่ๆ หายวับไปยังพระราชวัง จะติดกับดักเองเสีย
…
เวลาห้าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างนี้เยี่ยนเสี่ยวเป่ารู้จัก ‘บินอย่างถูกต้อง’ แล้ว เขาไม่บินไปที่ที่เขาไม่รู้จัก และก็ไม่บินเพราะจะ ‘หนี’
การแข่งขันรอบสุดท้ายในพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง ผู้คนจากสำนักต่างๆ ก็ทยอยกันเข้าไปที่ศาลบรรพชนที่อยู่ทางทิศเหนือ ซึ่งเป็นศาลอุทิศแด่เหล่าทวยเทพผู้ก่อตั้งต้าซย่าและเหล่าเทพภาคกลาง
ที่ผ่านมาสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันรอบสุดท้ายของพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักมาโดยตลอด ถึงอย่างไรเจ็ดสำนักที่ได้รับชัยชนะก็จะต้องได้รับการแต่งตั้งที่ศาลบรรพชนแห่งนี้ เพื่อให้เหล่าเทพต้าซย่าพิทักษ์รักษา ปีนี้ก็เช่นกัน เพียงแค่…
“ช่วงนี้เมืองหลวงวุ่นวาย ข้าได้ยินมาว่าคนสำนักมากมายถูกทำร้ายไปไม่น้อย”
“นั่นน่ะสิ ได้ยินมาว่าเป็นคนที่เหลือรอดของคุนอู๋ทั้งนั้น ทำเอาทุกคนหวาดหวั่นไปทั่ว”
“ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนนี่ก็จริงๆ เลย ในเมื่อกำจัดสำนักคุนอู๋ทั้งสำนักไปแล้ว เหตุใดจึงไม่ฆ่าคนสำนักคุนอู๋ให้หมดสิ้นไปด้วย ความโกลาหลครานี้ไม่รู้จะจบลงเมื่อใด”
“…”
ขณะที่เหล่าคนดูกำลังวิพากวิจารณ์ เสียงแหลมเสียงหนึ่งก็ดังแทรกขึ้น “เทพธิดาผู้สูงส่งน่ะไม่สนใจว่าพวกเจ้าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรหรอก! พวกเจ้ารอความตายไปเถอะ!”