เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 368 คำพิพากษาของปฐมราชินีเยี่ยน! ซวยแล้ว!
เสียงประหลาดเหมือนจะมาจากไหนสักแห่งดังขึ้นพร้อมกัน!
สวบ!
นอกจากเมืองโยวตูแล้ว ทั้งต้าซย่าก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง เถาวัลย์สีเลือดนับไม่ถ้วนกำลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกมันไม่เพียงมีกลิ่นอายชั่วร้ายของแดนมืดวิญญาณอสูรยังมีพลังทำลายล้างอันโหดเหี้ยม
เห็นได้ชัดว่าเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าที่ลงมือสามารถยืมพลังจากต้าซือมิ่งผมสีแดงผ่านฮ่องเต้หยวนคังเพื่อเริ่มทำลายขั้นสุดท้ายในยามนี้!
ให้ตายเถอะ! เยี่ยนอวี๋แววตาเคร่งขรึม
ส่วนต้าซือมิ่ง หลังจากที่เขาอ่านเอกสารที่เหอซงให้หมดแล้วก็ได้รู้ว่า เขาได้สร้างเถาวัลย์ขึ้นใต้แผ่นดินทั้งเจ็ดสำนักเหมือนกับเถาวัลย์ก่อนหน้านี้ในโยวตู เพียงแต่ว่าตอนนั้นเถาวัลย์โยวตูอยู่ในภาวะกึ่งตื่น เราจึงสัมผัสมันได้ เถาวัลย์ที่เหลือที่ซ่อนอยู่ในเมืองชิงเหลียน เมืองเหยา เมืองชางอู๋และเมืองจิ่วหลีมีลักษณะเหมือนเถาวัลย์ที่อยู่ใต้ตำหนักซือมิ่งในราชสำนักที่ข้าเคยให้เจ้าดู ซึ่งอยู่ในภาวะ ‘จำศีล’ หรือกระทั่งอยู่ในภาวะ ‘หลับลึก’ ยิ่งกว่านั้น
เช่นนั้นทำอย่างไรดี อินสวินอี้และคนอื่นๆ ที่วิ่งเข้ามาหาเพราะความเคลื่อนไหวผิดปกติก็ไม่มีผู้ใดสนใจว่าจะรบกวนว่าที่สามีภรรยาสองคนนี้แล้ว พวกเขาถามอย่างร้อนรน บัดนี้ในเจ็ดสำนักนี้ ไม่ต้องพูดถึงสำนักชิงเหลียนและสำนักเหยาไถเซียนที่เข้าฝ่ายศัตรูแล้ว แต่สำนักที่เหลือจะทำอย่างไร
ข้าขอกลับเมืองเนี่ยผานก่อน! เมื่อตี๋อูหวนคิดถึงศิษย์สำนักมากมายในสำนัก เขาก็นั่งไม่ติดแล้ว! เขารู้ดีว่าเถาวัลย์เหล่านั้นน่ากลัวเพียงใด
กู้หยวนหมิงก็คิดว่าตนน่าจะช่วยอะไรได้บ้าง ข้ากลับสำนักเหยาไถเซียน ท่านพ่อข้าอาจจะยังไม่ทราบว่าฮ่องเต้หยวนคังไม่เพียงหลอกใช้เขา ฝ่าบาทยังต้องการชีวิตของคนทั้งสำนักรวมถึงเขาด้วย!
เช่นนั้นข้าไปสำนักชางอู๋เอง! ลู่หมิงคิดว่าตนเองควรไปสำนักชางอู๋ จะได้แวะไปจุดธูปไหว้ศิษย์รักของเขาด้วย ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เขาไม่กล้าไปเลย บัดนี้คงถึงเวลาแล้ว
เยี่ยนอวี๋ก็เห็นด้วยกับการ ‘ขออนุญาต’ ของทั้งสาม เจ้าสำนักตี๋และอาจารย์ลู่ไปตอนนี้ได้เลย สำนักเนี่ยผานห่างไกลจากเมืองหลวงมาก กว่าเถาวัลย์จะแผ่ไปถึงคงต้องใช้เวลาอีกสักพัก เจ้าสำนักตี๋ป้องกันให้ดี ส่วนอาจารย์ลู่ ท่านเพียงแค่ไปเตือนท่านพ่อของข้า เม่ยเอ๋อร์และลูกหนูน้อยอยู่ที่นั่น สำนักชางอู๋คงไม่เป็นอะไรมาก ส่วนหยวนหมิง เจ้ากลับไปไม่ได้
เพราะเหตุใดเล่า กู้หยวนหมิงไม่เข้าใจ ข้า…
ในเมื่อเจ้าปรากฏตัวในสำนักศึกษา ไม่มีทางที่จะไม่ถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง การที่เจ้ากลับไปเท่ากับเอาตัวเองเข้าไปติดกับดักเอง แต่เจ้าก็อย่าได้กังวล ค่ายกลดาราเรียงรายที่หรงอี้สร้างขึ้นเมื่อครู่นี้ก็กระจายไปถึงเมืองชิงเหลียนและเมืองเหยาในระดับหนึ่ง พวกเขาจะไม่เป็นอะไรชั่วคราว เยี่ยนอวี๋อธิบาย
กู้หยวนทำท่าจะพูดอะไร ตี๋อูหวนและลู่หมิงก็ออกเดินทางแล้ว!
เยี่ยนอวี๋จึงพูดต่อไปว่า อาจารย์ซ่ง เกรงว่าท่านต้องพาคนจำนวนหนึ่งไปเมืองหลวง บ่อน้ำสีเลือดที่นั่นก็เป็นภัยเช่นกัน เทพที่อยู่เบื้องหลังของฮ่องเต้หยวนคังจะต้องใช้นักฝึกฌานหรือกระทั่งสามัญชนของเมืองหลวงเพื่อกลั่นเป็นเลือดให้ฮ่องเต้หยวนคังฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
แม้เถาวัลย์ในบัดนี้ถูกควบคุมไว้แล้ว แต่ลูกมือของฮ่องเต้หยวนคังเช่นสำนักนิรนามยังคงอยู่ในเมืองหลวงเพื่อรอจับกุมนักฝึกฌาน กระทั่งประชาชนทั่วไป หากจะพึ่งเพียงหลานชังตำหนักซือมิ่งเพียงผู้เดียว เกรงว่าจะมีแต่อุปสรรค
ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นนั้น ต้าซือมิ่งแย้งขึ้นเรียบๆ อาจารย์ซ่งและผู้แข็งแกร่งสำนักศึกษาแยกกันไปช่วยสำนักชิงเหลียนและเมืองเหยา กู้หยวนหมิงช่วยนำทางไปเมืองเหยา ส่วนสำนักชิงเหลียน หาลูกศิษย์ที่เป็นคนสำนักชิงเหลียนสักคนมาก็พอ
โหย่วฮู่ที่สนิทกับจื่อเยี่ย เป็นศิษย์สำนักชิงเหลียน เรียกเขามาช่วยได้ ซ่งเฉินฟางรู้จักศิษย์ในสำนักศึกษาดี เขาจึงเลือกคนได้ทันที
ต้าซือมิ่งพยักหน้า อืม เวลาไม่เคยคอยท่า ไปเถอะ
เยี่ยนอวี๋ไม่ได้คัดค้าน เพียงแค่บอกให้ทุกคนระวังตัว ในขณะเดียวกันก็ให้ยันต์กับคนที่ต้องไปบ่อน้ำสีเลือดซึ่งเป็นที่อันตราย
จวินอั้นเทียนก็เอ่ยขึ้นว่า ข้าเองก็จะพาคนจำนวนหนึ่งไปเมืองเหยาพร้อมกับต้าหลางตระกูลกู้ด้วย
ส่วนตาแก่เช่นข้าจะไปเมืองชิงเหลียนเอง อาวุโสมือกระบี่ก็เข้ามาร่วมวงด้วย
ทุกคนรู้ว่านอกจากเขตโยวตูที่มีภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเลแล้ว เขตอื่นๆ ที่เหลือก็ตกอยู่ในอันตรายจึงพากันเสนอตัวให้ความช่วยเหลือ เพียงแต่ว่า…
ข้าคิดว่าไม่ควรทำเช่นนี้ อินสวินอี้กลับพูดขึ้น พวกเราควรรวบรวมกำลังไปที่เมืองชิงเหลียนที่อยู่ใกล้ที่สุด จากนั้นค่อยไปเมืองเหยา! เราค่อยแบ่งเป็นสองทาง ทางหนึ่งไปเมืองเนี่ยผาน อีกทางไปเมืองหลวง เพราะสำนักชิงเหลียนและเมืองเหยาย่อมเป็นที่ที่อันตรายที่สุด ‘ราก’ ของพวกเขาเน่าเฟะหมดแล้ว กำลังคนของเรามีจำกัด จะแยกออกจากกันไม่ได้ มิเช่นนั้นอาจจะช่วยใครไม่ได้เลย เราจำเป็นต้องเลือก
ได้ เยี่ยนอวี๋คิดได้ว่าพวกเขามิได้ว่องไวเช่นนางและหรงอี้ ไม่เหมาะที่จะแยกกลุ่มกันจริงๆ บัดนี้นางและหรงอี้เองก็ยังมีเรื่องอื่นต้องทำ พวกเขาต้องกำจัดปัญหาอย่างถอนรากถอนโคน มิเช่นนั้นทุกอย่างที่ทำไปจะเสียเปล่า
ดังนั้นเมื่ออินสวินอี้และคนอื่นๆ เริ่มรวบรวมกำลังคน เยี่ยนอวี๋ก็ไปหาเทพองค์น้อยที่ไม่คิดแม้แต่จะหนีสองคนนั้นแล้ว ปัญหาคือประตูสวรรค์ก็ปิดลงแล้ว เป็นเรื่องยากนักหากพวกเขาจะหนีไปอย่างไร้สุ้มเสียง…
ท่านเทพหงส์ฟ้า! เมื่อเทพน้อยสององค์เห็นเยี่ยนอวี๋ก็รีบโขกศีรษะลงพื้น เป็นเพราะพวกข้ามีตาหามีแววไม่ ทำให้ท่านเทพหงส์ฟ้าขุ่นเคือง! พวกข้าไม่รู้จริงๆ ว่าท่านอยู่ที่นี่ โปรดอภัยให้ด้วยเถิด
เทพหงส์ฟ้าหรือ เยี่ยนอวี๋เลิกคิ้ว แต่นางก็ไม่ได้ปฏิเสธ ถึงแม้นางไม่รู้ว่า ‘เทพหงส์ฟ้า’ คือใครก็ตาม ถึงอย่างไรบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าก็ไม่เคยมีชื่อนี้
เยี่ยนอวี๋เพียงแค่ถามว่า ใครส่งพวกเจ้าลงมา
พวกข้า… เทพน้อยสององค์ลังเลครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า เจ้าเมืองเยี่ยนแห่งสวรรค์เก้าชั้นฟ้าส่งพวกข้าลงมาขอรับ
แล้วใครเป็นคนสอนให้พวกเจ้าใช้อำนาจในทางมิชอบบนโลกมนุษย์ ข้าจำได้ว่ากฎข้อแรกของเทพสวรรค์เก้าชั้นฟ้าคือห้ามใช้พลังวิเศษรังแกสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอกว่า เยี่ยนอวี๋ถามด้วยความเคร่งขรึม
ข้า… พวกข้า… เทพน้อยสององค์ตัวสั่นระริก องค์หนึ่งในนั้นได้แต่อธิบายตะกุกตะกักว่า มะ… แม้ว่าจะมีกฎ ตะ… แต่หมื่นปีที่ผ่านมา เทพผู้ร่างกฎก็เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ก็เลย… ไม่ใช่ความผิดของพวกข้าเลย! พวกข้าแค่ทำตามผู้อื่นเท่านั้น
เทพผู้ร่างกฎหรือ ใครน่ะ เยี่ยนถามพลางเตรียมจดชื่อในใจ
เทพน้อยสององค์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เมื่อคิดว่าก็คงไม่ใช่เรื่องที่บอกไม่ได้ จึงเปิดโปงอย่างไม่ลังเลว่า ก็… ก็ใต้เท้าสิงเทียนขอรับ ท่านเทพหงส์ฟ้า ท่าน… ท่านไม่รู้หรือ คงเป็นไปไม่ได้ ใต้เท้าสิงเทียนเป็นเทพดุร้ายเลื่องชื่อองค์หนึ่ง เหมือนกับว่าเคยไปมาหาสู่กับเทพหงส์ฟ้าด้วย
รู้สิ ข้าแค่อยากรู้ว่าเทพผู้ร่างกฎของพวกเจ้าเปลี่ยนคนแล้วหรือจึงบังอาจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่! เจ้าสิงเทียนตัวดี เยี่ยนอวี๋ยิ้มเย็นชา
เทพน้อยสององค์รีบโขกศีรษะลงพื้น ไม่เกี่ยวกับพวกข้านะขอรับ ไม่เกี่ยวกับพวกข้า…
พอแล้ว พวกเจ้าเลื่อนขั้นเป็นเทพจากที่ใด เยี่ยนอวี๋ถาม นิสัยแย่จริงๆ!
ข้าน้อยศิษย์แดนสวรรค์เสวียนหยวน
ข้าน้อยศิษย์แดนสวรรค์เซียนหมิน
เทพน้อยสององค์ไม่กล้าปกปิด พวกเขาต่างแจ้งที่กำเนิดของตน เพราะพวกเขารู้ดีว่าหากพวกเขาบังอาจปิดบัง ท่านเทพต้องจับได้แน่นอน
แล้วเจ้าเมืองเยี่ยนเป็นเทพจากที่ใด
เจ้าเมืองเยี่ยนมิใช่ผู้เหลือรอดจากแดนสวรรค์ แต่เขาเป็นบุตรชายของท่านเทพผิงเฉิงและอี้หยางเซียนกู เป็นเทพแต่กำเนิด และเติบโตบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าจึงมีสิทธิ์เป็นเจ้าเมืองได้ เทพน้อยสององค์เล่าทุกอย่างที่ตนทราบให้ฟัง
เขามีอะไรพิเศษหรือ
มะ… ไม่มีหรอกขอรับ เทพน้อยสององค์ไม่รู้ว่าพิเศษคืออะไรแล้ว การกำเนิดจากเทพและเป็นเทพยังไม่ถือว่าพิเศษหรอกหรือ นี่ไม่ใช่สิ่งที่พิเศษที่สุดแล้วหรือ
เยี่ยนอวี๋จึงไม่ได้ถามอีก นางรู้ว่าถึงแม้ฝ่ายตรงข้ามเป็นเทพที่อยู่เบื้องหลังจริงๆ เกรงว่าคงยังมิกล้าเปิดโปงตัวตน แต่เจ้าเมืองเยี่ยนคนนี้ต้องมีส่วนข้องเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในต้าซย่าแห่งนี้แน่นอน
ส่วนสิงเทียน… เยี่ยนอวี๋เคร่งขรึมลง หนึ่งในเทพน้อยสององค์ก็ถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า ท่านเทพหงส์ฟ้า ปะ…ปล่อยพวกข้าไปได้หรือไม่ขอรับ
พวกเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ เยี่ยนอวี๋ถามกลับอย่างเยือกเย็น
เทพน้อยสององค์ไม่กล้าปริปาก
ทำลายแก่นเทพตัวเองทิ้งซะ เยี่ยนอวี๋พูด
สีหน้าเทพน้อยสององค์พลันเปลี่ยน เทพหงส์ฟ้า…
หากให้ข้าลงมือ พวกเจ้าจะไม่มีโอกาสฝึกฝนวิชาได้อีก แต่หากทำลายเอง พวกเจ้าจะยังมีโอกาสกลับไปฝึกวิชาในแดนสวรรค์ เยี่ยนอวี๋ไม่มีเวลามาสนใจเทพน้อยสององค์นี้ และทันทีที่นางเพิ่งพูดจบ นางก็สัมผัสบางสิ่งได้ นางมองไปทางทิศใต้ทันที เพราะจู่ๆ นางก็รู้สึกขาดอากาศหายใจกะทันหัน ซึ่งทำให้นางกังวลขึ้นมาว่าท่านพ่อเจ้าน้ำตาพวกเขาจะเป็นอะไรไป แต่แล้ว… เยี่ยนอวี๋กังวลมากเกินไป เพราะว่าบัดนี้ในสำนักชางอู๋ เยี่ยนชิงที่แต่เดิมถูกลอบจู่โจมจริงๆ บัดนี้รอบกายเขากำลังระเบิดแสงสีม่วงเจิดจ้าออกมา!
สวบ!
เถาวัลย์ที่พันเท้าเยี่ยนชิงไว้ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านทันที มันส่งเสียงร้องแหลมสูงอย่างทุกข์ทรมาน
เสียงแบบเดียวกันยังดังขึ้นจากข้างใต้เท้าของเยี่ยนจื่อเยี่ยและเยี่ยนจื่อเสา ที่แท้เถาวัลย์สีเลือดเหล่านี้เหมือนจะมีจิตสำนึก หลังจากที่พวกมันเลื้อยคลานไปถึงพื้นดินแล้วก็จู่โจมครอบครัวของเยี่ยนอวี๋เป็นสิ่งแรกทันที
น่าเสียดาย แม้จะเป็นเยี่ยนชิงผู้ที่อ่อนแอที่สุด เนื่องจากเขามีถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงที่เยี่ยนอวี๋หลอมใหม่ให้เขา มันจึงจู่โจมไม่สำเร็จ
เมื่อเยี่ยนอวี๋ ‘เห็น’ ถึงตรงนี้จึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ทว่ายังมีเถาวัลย์สีเลือดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นมาจากพื้นดินเหมือน ‘หน่อไม้’ หลังฝนตกอย่างดุเดือด!
มากมายเช่นนี้เลยรึ! เยี่ยนชิงหน้าถอดสี ถึงอย่างไรไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีถ้วยจ่านเพลิงสีม่วงเช่นเขา หากผู้อื่นถูกโจมตี เช่นนั้น…
อุแว้! อย่าขยับ! ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง!