เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 70 สู้ซึ่งหน้าไม่กลัว กลัวลอบกัด
รถม้าของพวกเยี่ยนอวี๋ถูกล้อมเอาไว้อย่างรวดเร็ว ส่วนอินหลิวเฟิงก็ล้มตัวลงบนพรมอ่อนนุ่มในรถม้า ทั้งยังกลอกตามองบนใส่ท้องฟ้า เขารู้อยู่แล้วว่า จะ! ต้อง! เป็น! เช่น! นี้!
“นายน้อย ทำเช่นไรดีขอรับ” เอ้อร์เหมาถามความเห็นจากนายน้อยตนเองอย่างรวดเร็ว
อินหลิวเฟิงอยากจะค่อนแคะเขามากว่าเหตุใดตอนที่เกิดเรื่อง เจ้าโง่ที่ทำตัวเกลือเป็นหนอนเช่นเจ้าถึงไม่ถามความเห็นของคุณหนูใหญ่เสียเล่า มาถามนายน้อยของเจ้าทำไมกัน
แต่คิดก็ส่วนคิด อินหลิวเฟิงยังคงเลิกม่านขึ้นอย่างอดทนกล้ำกลืน กวาดตามองไปทางกลุ่มคนสำนักคุนอู๋ทั่วทุกด้านครั้งหนึ่ง ก็พบ ‘คนคุ้นเคย’ คนหนึ่ง “ที่แท้ก็เป็นพี่เฉิงหมิงนี่เอง เหตุใดท่านถึงยังอยู่ที่นี่กัน น้องเซ่าเหิงของท่านกลับไปที่สำนักคุนอู๋แล้วนะ”
เฉิงหมิงผู้ที่ถูกเรียกขานเป็นพี่เป็นน้องหน้าทะมึน “ใครเป็นพี่น้องกับเจ้ากัน เจ้าจะลงมาให้จับเสียแต่โดยดี หรือจะให้พวกข้าใช้ไม้แข็ง!”
“เฮ้อ…ดุร้ายขนาดนี้ทำไมกัน แน่นอนว่าพวกข้าย่อมไม่ต่อต้านอยู่แล้ว พวกข้าเลี้ยวกลับไปในตอนนี้ยังทันหรือไม่” อินหลิวเฟิงที่แสดงละครเก่งยังคงทำตัวเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวต่อไป
จึงได้รับท่าทางเหยียดหยามดูถูกจากคนของสำนักคุนอู๋ทุกคนอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ “แน่นอนว่าไม่ทันแล้ว! หึ…” พวกเขารู้อยู่แล้ว! เจ้าคนสำมะเลเทเมาแห่งเมืองโยวตูผู้นี้เป็นพวกไก่อ่อน แต่กลับกล้าเสนอหน้ามาเป็นสี่สุภาพบุรุษแห่งต้าซย่าร่วมกับนายน้อยแห่งสำนักของพวกเขาได้
แต่ว่าพวกเขาเพิ่งจะแสดงท่าทางเหยียดหยาม เอ้อร์เหมาผู้เป็นองครักษ์มากประสบการณ์ก็เร่งบังคับรถม้าทะยานไปทางเฉิงหมิงอย่างรวดเร็ว! ส่วนอินหลิวเฟิงก็หยิบมีดหลิวออกมาเล่มหนึ่ง ในเวลาเดียวกันกับที่เขากล่าววาจายิ้มแย้ม “เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงแค่พุ่งชนแล้ว”
ฟึ่บ จากนั้นมีดหลิวเล่มบางเบาคล้ายกับเมฆาก็พุ่งตรงไปที่เฉิงหมิงเป็นคนแรก! เฉิงหมิงตระหนกจนถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว และวาดกระบี่ไปทางมีดหลิวทันที ถือว่ามีปฏิกิริยาได้ทันท่วงที
ต่อมา มีดหลิวก็วกเลี้ยวกลางอากาศวาดไปทางองครักษ์อาวุโสที่อยู่ใกล้กับเฉิงหมิง เดิมเขาจะชักกระบี่ออกมาช่วยเหลือเฉิงหมิง ไฉนเลยจะคิดว่า…
พริบตาเดียวมีดหลิวก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าตัวเขา! ทำให้เขาตระหนกจนร้องเสียงดังลั่น ปลดปล่อยลมปราณแข็งแกร่งของขั้นสุวรรณชาดจนทั่วทั้งร่างระเบิดแสงสีทองออกมา ราวกับเม็ดยาที่ถูกสีทองปกคลุมเอาไว้เม็ดหนึ่ง
โดยทั่วไปแล้ว ยอดฝีมือขั้นสุวรรณชาดปลดปล่อยม่านพลังป้องกันออกมา สามารถต้านทานการโจมตีทั้งหมดของศัตรูในระดับขั้นเดียวกันได้ จนถึงขั้นสามารถแบกรับการโจมตีของยอดฝีมือขั้นวิญญาณปฐมภูมิได้เล็กน้อย
แล้วสถานการณ์เบื้องหน้านี้เล่า?
ฟึ่บ!
ยามที่มีดหลิวของอินหลิวเฟิงวาดผ่านไป ม่านพลังป้องกันสูงสุดของขั้นสุวรรณชาดกลับถูกฟันฉับไปมีดหนึ่งอย่างน่าตกตะลึง ขณะที่โลหิตสาดกระจาย ก็มีศีรษะหนึ่งร่วงลงไปที่พื้นทันที
ทว่าอินหลิวเฟิงที่เก็บมีดหลิวกลับมาดันเอ่ยเร่งราวกับตื่นตระหนกว่า “เร็วเข้า เร็วกว่านี้!”
“นี่ก็เร็วมากแล้วขอรับ!” องครักษ์ที่เร่งรถม้าสุดความสามารถแสดงท่าทางบ่งบอกว่าเขาไม่ได้อู้งานนะ ดังนั้นรถม้าที่วิ่งด้วยความเร็วสูงนั้นจึงทิ้งห่างจากคนสำนักคุนอู๋ยี่สิบคนที่กำลังมึนงงอยู่ไปไกลแล้ว
เยี่ยนจื่อเสาที่รู้สึกถึงอันตราย ‘ออกจากการเก็บตัว’ ล่วงหน้า พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วนว่า “เอ่อ…” รูปแบบการต่อสู้ของนายน้อยแห่งเมืองโยวตูผู้นี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง
“พี่รอง เหตุใดท่านถึงได้ตื่นขึ้นล่วงหน้าเล่า” ความสนใจของเยี่ยนอวี๋กลับอยู่ที่เยี่ยนจื่อเสา
“ข้าค่อยยังชั่วแล้ว ไม่เป็นปัญหาหรอก” เยี่ยนจื่อเสากลับมินำพา เขาเข้าใจในสิ่งที่ควรจะทำความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ส่วนที่เหลือล้วนเป็นเคล็ดลับที่ไม่สามารถเข้าใจได้ในเวลาชั่วครู่ชั่วยาม
เยี่ยนอวี๋เพิ่งจะผงกศีรษะ เจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนของนางก็โค้งตัวไปมาอย่างต้องการจะออกจากผ้าห่อตัว ทั้งยังโบกมือเล็กป้อมไปทางท่านลุงรองของเขาด้วย “อ้ะเนะเนะ…”
ทว่าทางด้านหลังในเวลานี้ กลับมีเสียงตะโกนรบราฆ่าฟันลอยมา “ฆ่า! ฆ่าพวกมันซะ! เจ้าคนสารเลวสมควรตาย ถึงกับกล้าลอบโจมตีอย่างต่ำช้าไร้ยางอายได้!”
“อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!” เฉิงหมิงออกคำสั่งอย่างมีโทสะ แต่เขาก็รู้สึกโชคดีมากที่ถอยหลังไปเมื่อครู่นี้ มิเช่นนั้นเขาที่ยังฝึกพลังได้ไม่ถึงขั้นสุวรรณชาดจะต้องตายเร็วขึ้น ภายใต้การไม่สามารถอัญเชิญแก่นวิญญาณอสูรมาได้ทันเวลาแน่นอน
ขณะที่เกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นในภายหลัง ก็ทำให้เฉิงหมิงรู้สึกอัปยศเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงกระแทกฝ่ามือลงบนทรวงอกคราหนึ่ง! กระอักเลือดออกมาคำโต และใช้พิธีกรรมเก่าแก่ในการอัญเชิญแก่นวิญญาณอสูร
โฮก…เสียงคำรามของอสูรที่ประเดี๋ยวชัดเจน ประเดี๋ยวเลือนรางตอบรับคำอัญเชิญของเฉิงหมิงจากกลางอากาศด้วยความรวดเร็ว ในฐานะผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์คนสำคัญที่ได้รับการฝึกปรือของสำนักคุนอู๋ พรสวรรค์ในการอัญเชิญแก่นวิญญาณอสูรของเฉิงหมิงนั้นเหนือกว่าความสามารถในการต่อสู้ของเขาลิบลับ
ความจริงแล้ว การเทียบดูว่าผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์แข็งแกร่งหรือไม่นั้น ปกติแล้วมักจะเทียบจากแก่นวิญญาณอสูรที่ผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์สามารถอัญเชิญมาได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงของผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ เพราะความสามารถทางกายภาพของผู้อัญเชิญศักดิ์สิทธิ์ล้วนอ่อนด้อยมาก
ดังนั้น อินหลิวเฟิงจึงเอ่ยเร่งอีกครั้ง “เร็วกว่านี้อีก! เฉิงหมิงสามารถอัญเชิญแก่นวิญญาณอสูรขั้นวิญญาณปฐมภูมิออกมาได้แล้ว มันคือจระเข้สองหัวที่โหดเหี้ยมมาก!”
“ถ้าอย่างนั้นเมื่อครู่นี้เหตุใดท่านจึงไม่ฆ่าเขา ไปฆ่าองครักษ์เขาทำไมขอรับ” เอ้อร์เหมาบังคับรถม้าไป พลางแสดงความไม่พอใจออกมา
หลังจากนั้นท้ายทอยของเอ้อร์เหมาก็ถูกอินหลิวเฟิงโบกเข้าไปหนึ่งฝ่ามือ “เจ้าโง่หรือ! หากข้าไม่ฆ่าองครักษ์คนนั้น เขาก็จะขวางพวกเราเอาไว้ก่อน เฉิงหมิงก็จะปล่อยแก่นวิญญาณอสูรออกมา จากนั้นพวกเราจะหนีกันได้อย่างไร เจ้าทึ่ม! รีบมุ่งหน้าไปยังสำนักเหยาไถเซียนเร็วเข้า”
“อ่อ” ในที่สุดเอ้อร์เหมาแห่งเมืองโยวตูก็เลิกค่อนแคะนายน้อยของเขา และทุ่มเทบังคับรถม้าอย่างสุดความสามารถมากขึ้น! มิเช่นนั้นก็จะถึงคราวที่เขาต้องออกไปสู้กับแก่นวิญญาณอสูรตนนั้นแล้ว
แต่เยี่ยนจื่อเสาในตอนนี้ยังไม่เข้าใจ เหตุใดจึงต้องหนีไปทางสำนักเหยาไถเซียนของผู้อื่นด้วย หรือว่าจะมีความสัมพันธ์ต่อกันดีมาก แต่เขาเพิ่งจะคิดเช่นนี้…
อินหลิวเฟิงก็โหวกเหวกโวยวายอยู่นอกรถม้าว่า “ชุนซิ่นจวิน ท่าไม่ดีแล้ว คนของสำนักคุนอู๋จะชิงลงมือกับพวกเจ้าก่อน เพื่อเป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว!”
เยี่ยนจื่อเสา “…เป็นกลยุทธ์การยืมมือบุคคลที่สาม โดยที่ตนเองไม่ต้องสูญเสียสิ่งใด (อย่างหน้าไม่อาย) กลยุทธ์หนึ่ง”
ดังนั้นทุกคนแห่งสำนักเหยาไถเซียนที่ถูกทำให้ตื่นตกใจ จึงเหาะออกมาอย่างระแวดระวังอย่างที่คิดเอาไว้ “เกิดอะไรขึ้น”
แม้แต่กู้หยวนหมิงเองก็ยังพุ่งตัวออกมาจากปราสาท และเขาสัมผัสได้ถึงแก่นวิญญาณอสูรจระเข้สองหัวที่กำลังมุ่งหน้ามา!
ทว่าสิ่งที่กู้หยวนหมิงได้เห็นก่อนย่อมไม่ใช่จระเข้สองหัว แต่เป็นอินหลิวเฟิงที่พุ่งตัวตามองครักษ์ที่บังคับรถม้ามา รวมถึงใบหน้าอันงดงามภายใต้ม่านที่เลิกขึ้นจากลมพัดแรงด้วย
ใบหน้านั้น ทำให้กู้หยวนหมิงที่ได้เห็นตกตะลึง ความรู้สึกราวกับเคยรู้จักมาก่อนก็ประดังเข้ามา
อีกทั้งไม่ใช่เพียงแค่เขาที่มีความรู้สึกเช่นนี้ เยี่ยนอวี๋ที่เหลือบตาขึ้นมาพอดีก็ตะลึงค้างไปเช่นกัน…