เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 118 ก่อเรื่องแล้ว
ตอนที่ 118 ก่อเรื่องแล้ว
ภายในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งทางด้านจังหวัดจวินเทียน จี้หยวนซึ่งกำลังฝึกปราณอยู่บนเตียงใจกระตุกวูบ ลืมตามองไปทางหน้าต่าง
หลังจากผ่านไปประมาณสองลมหายใจ เมื่อแสงสายหนึ่งวาบผ่าน กระบี่เครือเขียวลอยเข้ามาในห้อง ลอยอยู่ตรงหน้าจี้หยวนพลางตื่นเต้นจนส่งเสียงครวญ
วู้ม…
เห็นท่าทางตื่นเต้นของกระบี่เครือเขียว จี้หยวนยิ้มราวยกภูเขาออกจากอก ดูท่าว่าฆ่าปีศาจสำเร็จแล้ว
“หืม? มีเรื่องแทรกซ้อนอะไรหรือ”
กระบี่เครือเขียวมีใจเชื่อมกับจี้หยวน แต่ถึงอย่างไรจี้หยวนก็แค่รับรู้ความรู้สึกของมัน เข้าใจโดยคร่าวแต่ไม่รู้ความหมายที่ถูกต้องชัดเจน
“อ้อ คลี่คลายหมดแล้วหรือ”
วู้ม…
กระบี่เครือเขียวหมุนตัวเหมือนขอความชอบ
“ได้ๆๆ เจ้าร้ายกาจที่สุด!”
จี้หยวนยิ้มรับ ไม่รู้รายละเอียดว่าเกิดเรื่องอะไร แต่กระบี่เซียนมีวิญญาณ สถานการณ์คลี่คลายหรือไม่ย่อมรู้ชัดกว่าคนทั่วไป น่าจะไม่เป็นไรแล้ว
จี้หยวนพูดถึงตรงนี้ก่อนยื่นมือกุมกระบี่เครือเขียว ดึงตัวกระบี่ออกมาจ้องมอง พบว่าอักษรสังหารไร้รูปที่เหลือแค่จางลงบ้าง แต่ยังมีปราณโลกาสวรรค์พันรอบกระบี่รางๆ
“กระบี่เดียวใช้ไม่หมดหรือ”
จี้หยวนเอ่ยถามประโยคหนึ่ง จากนั้นค่อยรู้สึกว่ากระบี่เครือเขียวพลันสั่นสะเทือนเหมือนหยิ่งทะนงทันที ดูท่าว่าไม่ได้ใช้อานุภาพทั้งหมดฟันออกไปจริงๆ
จี้หยวนคิดดูแล้วก็ใช่ ก่อนหน้านี้ตนอาจทำเกินไปอยู่บ้าง ผลาญปราณโลกาสวรรค์กลางเขตแดนภูผาธาราของตนไปไม่น้อย
แต่เรื่องนี้มีประโยชน์กับกระบี่เครือเขียวมากเช่นกัน กล่าวกันถึงที่สุดแล้วจี้หยวนเองไม่เสียหาย
สุดท้ายชาติก่อนก็เติบโตมากับวัฒนธรรมบนอินเทอร์เน็ตไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการพบเห็นหรือคาดเดา การรวมปราณโลกาสวรรค์เข้ากระบี่เซียนคล้ายทำบุญนี้ นอกจากหล่อหลอมชดเชยจุดบกพร่องด้านคุณภาพของตัวกระบี่เครือเขียวแล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงอัศจรรย์แฝงซ่อนด้วย
จี้หยวนเก็บกระบี่เข้าฝัก วางกระบี่เครือเขียวพิงตรงหัวเตียง ขยับกล้ามเนื้อเล็กน้อย มองดาวประดับฟ้านอกหน้าต่าง
“ควรนอนแล้ว”
เขาเอนกายบนเตียงก่อนใช้มือหนุนหัว ยามหายใจมีท่วงทำนองวิญญาณเข้าออก ปราณห้าธาตุในกายหมุนวนตามกลิ่นอาย
คนทั่วไปหายใจถึงทรวงอก จอมยุทธ์หายใจถึงท้อง แต่ทุกลมหายใจของจี้หยวนกลับมีท่วงทำนองวิญญาณมุ่งตรงถึงปลายนิ้วและหมุนวนทั่วร่าง
วันต่อมาเมื่อเสียงไก่ขันดังขึ้น จี้หยวนตื่นขึ้นโดยปริยาย ด้วยเรื่องกังวลในใจคลี่คลายแล้ว เมื่อคืนหลับสบายเป็นพิเศษ รู้สึกว่าได้รับประโยชน์จากการฝึกปราณเสี้ยวหนึ่งรางๆ
“หึๆ เอาล่ะ ควรออกเดินทางแล้ว!”
เขาลุกขึ้นมาสวมชุดคลุม คว้าห่อผ้าที่แขวนอยู่ตรงหัวเตียง จี้หยวนเดินไปทางประตู กระบี่เครือเขียวซึ่งเงียบมาทั้งคืนลอยขึ้น เอียงกระบี่ติดตามจี้หยวน ลอยห่างจากด้านหลังเขาสองกำปั้น
เสียงเปิดประตูห้องโรงเตี๊ยมดังแอ๊ด… นอกประตูบนม้านั่งมีกิ่งหลิว เกลือหนึ่งหยิบมือ ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งที่เด็กรับใช้ของโรงเตี๊ยมเตรียมมาวางอยู่
แต่ตอนนี้จี้หยวนไม่เปื้อนสิ่งสกปรก นอกจากบางครั้งอยากใช้น้ำสะอาดเรียกสติบ้าง ถือว่าไม่ต้องแปรงฟันล้างหน้าอีก
เดินมาถึงโต๊ะคิดเงินชั้นล่าง คืนห้องรับเงินมัดจำ จี้หยวนค่อยออกเดินทาง
โรงเตี๊ยมสุขสงบแห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมที่จี้หยวนเคยอยู่เมื่อปีนั้น มาพักที่นี่อีกครั้งด้วยคิดว่าจะเจอสัมภาระซึ่งสูญหายไปเมื่อปีนั้นหรือไม่
เพียงแต่ผ่านมาสามปีแล้ว ห่อผ้าและร่มกันฝนนั่นย่อมเอาคืนมาไม่ได้เป็นธรรมดา อย่างอื่นไม่เป็นไร แต่เสียดายคัมภีร์หมากไม้ไผ่เล่มนั้นอยู่บ้าง อย่างน้อยก็เป็นสิ่งที่เทพหลักเมืองซ่งมอบให้ ดีไม่ดีคงถูกนำไปทำฟืนเผานานแล้ว
จังหวัดจวินเทียนยังคึกคักเหมือนในอดีต เมื่อเดินอยู่ในเมืองบางครั้งจี้หยวนได้กลิ่นดอกหอมหมื่นลี้จางๆ ไม่รู้ว่าต้นหอมหมื่นลี้กลางลานบ้านไหนออกดอก
เดินออกจากประตูโรงเตี๊ยมไปทางประตูตะวันตกของจังหวัด ระหว่างทางซื้อขนมเปี๊ยะสิบกว่าชิ้นและผักดองบรรจุกระบอกไม้ไผ่ ทั้งซื้อร่มคันหนึ่งเพิ่มเติม ก้าวออกจากจังหวัดจวินเทียนไปยังที่ห่างไกลโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
ออกจากจังหวัดประมาณหกเจ็ดลี้ เขาลืมตาหันกลับไปมอง ทางจังหวัดเปี่ยมปราณมนุษย์พวยพุ่ง รวมตัวเป็นเมฆหลากสีเหนือเมือง บ้างรักบ้างหวังบ้างเกลียดบ้างแค้น เป็นเรื่องปกติของเมืองใหญ่
จี้หยวนหัวเราะหึๆ ความเร็วการเดินเริ่มเปลี่ยนแปลง ฝ่าเท้าคล้ายย่นย่อระยะทาง ปากยังกล่าวทำนองเหมือนร้องลำนำ
“ลำ… นำ… ยาตรา… ตามหาวาสนา… ใต้… หล้า… พลุกพล่าน… ล้วนหาประโยชน์…”
หลังจากผ่านการแปรหมาก จี้หยวนมักมองฟ้าดินบนโลกจริงแล้วนึกถึงเขตแดนภูผาธาราโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้เองก็เช่นกัน ยามก้าวเดินเขาไม่สำแดงวิชาบังตาอะไร แต่เงาร่างกลับเลือนรางเหมือนหมอกควัน หลอมรวมเขตแดนสภาวะจิตจนสอดประสานกับฟ้าดิน
เดิมจี้หยวนคิดว่าควรกลับจังหวัดเต๋อเซิ่งก่อนหรือไม่ แต่ใคร่ครวญเสร็จกลับมีความคิดอื่น
ก่อนหน้านี้ยามควบคุมหมากขาวปะทะกับปีศาจกลางอากาศ ภายใต้การสัมผัสพลังขับเคลื่อนชั่วขณะ จี้หยวนรู้ว่าอิ๋นจ้าวเซียนมีปราณบุ๋นลุกโชนใหม่ กอปรกับสัมผัสถึงอานุภาพโทสะของเทพหลักเมืองแต่ไกล ไม่ได้อยู่บ้านเกิดหนิงอันแน่
ช่วงเวลาประจวบเหมาะเช่นนี้ ทั้งมีปราณบุ๋นก่อเกิดใหม่ จี้หยวนใช้หัวแม่เท้าก็เดาออกว่าอิ๋นจ้าวเซียนต้องมีชื่อบนกระดานหอมหมื่นลี้ เช่นนั้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าย่อมไปจิงจีเพื่อร่วมการสอบระดับเมืองหลวงรวมถึงการสอบหน้าพระที่นั่งแน่
อิ๋นจ้าวเซียนสอบขุนนางติด อันดับแรกต้องกลับอำเภอหนิงอันก่อน จากนั้นด้วยความเร็วของคนทั่วไป ต่อให้ระหว่างทางอาจนั่งเรือรถม้าแทนการเดินเท้า คิดจากหนิงอันไปยังเมืองหลวงจังหวัดจิงจีซึ่งห่างไกล ไม่แน่ว่าอาจต้องเดินทางทันที
ต้าเจินเป็นก้าวสำคัญในการสร้างอิทธิพลมรรคมนุษย์ของจี้หยวน สหายสนิทอิ๋นจ้าวเซียนก็เป็นหมากสำคัญ ไม่ช้าก็เร็วต้องไปเมืองหลวงแห่งอาณาจักรเพื่อดูบรรยากาศ ในเมื่อเป็นเช่นนี้จี้หยวนจึงตัดสินใจว่าฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะพบอิ๋นจ้าวเซียนที่จังหวัดจิงจี
ทั้งถือโอกาสไปเที่ยวแม่น้ำเทียมฟ้านั่นพอดี ชาตินี้สหายคนที่สองของจี้หยวนทั้งเป็นมังกรตัวแรกที่รู้จักก็อาศัยอยู่แม่น้ำเทียมฟ้านั่น ไม่รู้ว่าเป็นเทพแม่น้ำหรือแค่อาศัยอยู่ในแม่น้ำ
…
วันนี้เป็นวันที่สองยามเที่ยงหลังจี้หยวนออกจากจังหวัดจวินเทียน ข้างทางหลวงเบื้องหน้ามีเพิงน้ำชาแห่งหนึ่งซึ่งรถม้าหลายคันจอดเทียบอยู่ ถือเป็นสถานที่เหมาะแก่การพักของคนผ่านทาง จี้หยวนมองไม่ชัด แต่กลับรู้ว่ามีปราณมนุษย์เท่าไหร่ พอแยกแยะได้ว่ามีกี่คน
ตอนนี้อาจเพิ่งมีลูกค้ามากมายมาถึง ภายในเพิงน้ำชาเจ้าของร้านหนึ่งหนุ่มหนึ่งแก่รับมือไม่ทันอยู่บ้าง เมื่อจี้หยวนมาถึงหน้าเพิงน้ำชาเห็นพวกเขาชงชาเก็บโต๊ะ ระหว่างนั้นยังคุมไฟในเตา น้ำจะได้เดือดตลอด
“ลูกค้าเชิญหาที่นั่งก่อน อีกเดี๋ยวจะมาทักทายท่าน!”
ชายชราซึ่งกำลังชงชาตะโกนบอกจี้หยวน
“ไม่เป็นไรๆ พวกท่านจัดการธุระเถอะ!”
จี้หยวนตอบกลับประโยคหนึ่ง เห็นว่าภายในเพิงน้ำชามีโต๊ะแปดตัว ส่วนใหญ่ทุกโต๊ะมีคนนั่งเต็มแล้ว พูดคุยสนทนาดื่มชากินขนมเปี๊ยะกัน ตรงมุมอีกด้านยังมีโต๊ะสองตัวมีที่ว่าง จี้หยวนจึงก้าวเดินไป
ด้านหนึ่งคือหญิงสาวสองคนกับเด็กหนึ่งคน เด็กคนนี้คว่ำถ้วยชาใบหนึ่งลง ใช้ตะเกียบข้างหนึ่งเคาะถ้วยชาดังเป๊งๆๆ หญิงสาวสองคนกินของว่างหน้าตาไม่ค่อยดีพลางดื่มชา
อีกด้านคือชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่ง บนโต๊ะยังมีงอบวางอยู่ จี้หยวนเดินไปหน้าโต๊ะชายฉกรรจ์โดยไม่แม้แต่จะคิด
“พี่ชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าข้าน้อยนั่งพักตรงนี้ได้หรือไม่”
ชายฉกรรจ์เห็นจี้หยวนนานแล้ว เมื่อเห็นเขาอยากนั่งตรงนี้จริง เขาตอบกลับด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“เชิญตามสบาย!”
“ขอบคุณมาก!”
จี้หยวนประสานมือไปทางชายฉกรรจ์แล้วนั่งลง วางร่มกันฝนพิงข้างโต๊ะรอเจ้าของร้านมาทักทาย
“หากท่านไม่รังเกียจ เชิญดื่มก่อนได้”
ชายฉกรรจ์ดันกาน้ำชาของตนมาด้านหน้า ชี้ถ้วยชาบนโต๊ะพลางกล่าวกับจี้หยวน
“กระหายน้ำอยู่บ้างพอดี ข้าน้อยไม่เกรงใจแล้ว!”
เผชิญหน้าบุรุษซึ่งคนทั่วไปเห็นว่าหน้าตาเหี้ยมเกรียมเช่นนี้ จี้หยวนย่อมไม่กดดันอะไรเป็นธรรมดา หยิบถ้วยชาใบหนึ่งยกกาน้ำชารินให้ตัวเอง
“หึๆๆ… ท่านเรียบง่ายนัก ไม่เหมือนปัญญาชนทั่วไปสักนิด เห็นท่านเดินมาจากทางหลวงห่างไกลลำพัง ไม่ใช้สัตว์แทนการเดินเท้า ไม่รู้สึกเหนื่อยบ้างหรือ”
ขณะกล่าวแม้ว่าเสียงชายฉกรรจ์ราบเรียบ แต่จี้หยวนฟังแล้วกลับมีน้ำเสียงแตกต่างไป
เขาหันมองโต๊ะอีกตัวซึ่งอยู่ด้านข้าง บนโต๊ะนอกจากเด็กคนนั้นที่ยังบากบั่นเคาะถ้วยชาไม่เหนื่อยแล้ว หญิงสาวสองคนที่เหมือนสวมชุดรัดรูปกำลังมองตนเช่นกัน ในความรางเลือนรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้างรางๆ
คล้ายคำพูดของชายฉกรรจ์ส่งผลต่ออะไรบางอย่าง จี้หยวนรู้สึกว่าพลังขับเคลื่อนของคนมากมายในเพิงน้ำชาเปลี่ยนแปลงไป
‘แปลกเป็นบ้า เราคนแซ่จี้แค่ดื่มชายังก่อเรื่องอีกหรือ’