เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 244 ไม่คุ้มค่าจริงๆ
ตอนที่ 244 ไม่คุ้มค่าจริงๆ
ฮ่องเต้หยวนเต๋อตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้ตนเองเสียกิริยา หลังจากนั่งพักอยู่บนบัลลังก์มังกรได้ครู่หนึ่งแล้วถึงออกราชโองการ
โดยรวมแล้วคือให้ที่ว่าการเมืองหลวงและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยไปตามหาขอทานผู้นั้น อีกทั้งขอว่าเมื่อพบอีกฝ่ายแล้วให้ปฏิบัติตัวอย่างมีมารยาทอย่างถึงที่สุด ส่วนหัวหน้าหอดูดาวหลวงดั้งเดิมเหยียนฉาง ฮ่องเต้ชราไม่ได้พูดถึงเลยแม้สักนิด
จากนั้นฮ่องเต้หยวนเต๋อรู้สึกว่าเหนื่อยทั้งกายและใจ ไม่คิดจะอยู่ต่อในท้องพระโรงแล้ว จึงกล่าวกับขันทีชราข้างกายด้วยสีหน้าอ่อนแรงว่า “เลิกว่าราชการเช้า” แล้วลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก
“เลิกว่าราชการเช้า…”
หลังสิ้นเสียงประกาศแหลมๆ ของขันทีชราแล้ว เขารีบก้าวตามฮ่องเต้ไป ด้วยสภาพของฮ่องเต้ชรา เขากลัวอยู่บ้างจริงๆ ว่าอีกฝ่ายจะล้มลง
ขุนนางข้างล่างต่างพูดคุยกันหลังจากฮ่องเต้ไปแล้ว นักเวทเหล่านั้นมองหน้ากัน ตำแหน่ง ‘ปรมาจารย์’ ที่เดิมควรแต่งตั้งวันนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร
กระนั้นไม่มีใครเกิดความคิดเสนอความเห็น ขุนนางกรมพิธีการและผู้รอคอยตำแหน่ง ‘ปรมาจารย์’ เหล่านั้นก็ไม่กล้าเสนอ
มีบางคนในกลุ่มนักเวทค่อนข้างมีฝีมือไม่คิดเช่นนั้น อาจพูดได้ว่าพวกเขาแปลกใจที่ขอทานชราถูกตัดศีรษะแล้วยังฟื้นขึ้นมาได้ อย่างไรเสียก่อนหน้านี้ขอทานชราก็ไม่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาทั้งหมดแทบคิดว่านี่เป็นการต้มตุ๋น แต่เห็นทีจะเป็นผู้สูงส่งที่มีมรรควิถีลึกล้ำยากคาดเดาคนหนึ่งจริงๆ
“ใต้เท้าลู่ ท่านบอกว่าขอทานชราผู้นั้นเป็นเทพเซียนหรือ”
“ไม่รู้สิ”
“หึ คำปีศาจลวงคน”
“ใต้เท้าเซียว ท่านมองว่าอย่างไรบ้าง”
“มองอะไร”
“เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่ปล่อยใต้เท้าเหยียนฉางไป”
“เฮ้อ…”
ขุนนางจำนวนหนึ่งหากไม่ส่ายหน้าก็ถอนหายใจ ก่อนจะทยอยออกจากตำหนักใหญ่ไป
องครักษ์หน้าตำหนักสี่คนราวกับถูกคนลืมอย่างไรอย่างนั้น ยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิม
จิ้นอ๋องเดินช้ากว่าหลายก้าว มองพวกเขาสี่คน เห็นว่าคนในตำหนักล้วนจากไปหมดแล้ว พี่ใหญ่ของตนเองก็จากไปนานแล้วเช่นกัน หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เอ่ยปากกับสี่คนนั้นในที่สุด
“พวกเจ้าก็ไปเถอะ เสด็จพ่อไม่ลงโทษพวกเจ้าหรอก”
“ขอบพระทัยจิ้นอ๋อง!”
“ขอบพระทัยจิ้นอ๋อง!”
องครักษ์เหล่านั้นลุกขึ้นแล้วคารวะจิ้นอ๋องด้วยความซาบซึ้ง จนถึงตอนนี้แล้วถึงสบายใจได้อย่างแท้จริง รู้ตัวแล้วว่าควรมีสติรักชีวิต
ประมุขต้าเจินเหมือนเสือ วันนี้พวกเขารับรู้ได้อย่างลึกซึ้งแล้ว
…
ในคุกขนาดใหญ่ เหยียนฉางไม่ได้พบเจอกับความทารุณอะไร เพียงถูกขังอยู่ในห้องขังที่นับว่าสะอาดพอดู ข้างในมีเตียงแข็งๆ บนนั้นปูตัวหญ้าแห้งจำนวนหนึ่ง อีกทั้งมีเสื่อและโต๊ะตัวเตี้ยด้วย
ตอนนี้เหยียนฉางถูกถอดชุดขุนนางเปลี่ยนใส่ชุดนักโทษแล้ว หลังพิงกำแพงนั่งอยู่บนเตียง มีสีหน้าหมดอาลัยตายอยากเช่นกัน
“เฮ้อ…ถูกผิดบิดเบี้ยวอยู่ที่ใจคน น่าเสียดายที่ฮ่องเต้ไร้เมตตา…ฮ่าๆ ไม่แน่ข้าเหยียนฉางกลายเป็นขุนนางชั่วในใจของใครหลายคนแล้ว…”
เขาคำนวณเวลาดู ขอทานชราน่าจะถูกตัดศีรษะแล้ว
ต้องบ่นหน่อยแล้ว เหยียนฉางกล่าวโทษขอทานชราอยู่บ้างจริงๆ อยากเกลียดอีกฝ่าย แต่พอคิดดูให้ดีแล้วขอทานชราเป็นคนที่ตนเองแนะนำ จากนั้นมอบโทษประหารให้อีกฝ่ายไปเสียอย่างนั้น
“เฮ้อ…”
ขณะถูกขังอยู่ในคุก ไม่รู้เหมือนกันว่าตลอดทั้งเช้าเหยียนฉางถอนหายใจไปกี่ครั้งแล้ว
ในตะเกียงไฟที่โต๊ะเตี้ยบนเตียง เทียนเผาไหมจนเหลือเพียงนิดเดียวแล้ว ตอนนี้ท้องฟ้ายังไม่มืด แต่ในคุกมืดสลัว ตอนกลางคืนจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้
พอเงยหน้ามองรูปแบบของห้องขังอีกครั้ง นอกจากราวเหล็กและไม้ตรงหน้าแล้ว ข้างหลังและซ้ายขวาไม่มีหน้าต่างเลยสักบาน ตอนกลางคืนอยากดูดาวคงเป็นไปไม่ได้
ผู้คุมพกดาบสองคนเดินตรวจตราจากส่วนลึก ผ่านหน้าห้องขังที่เหยียนฉางอยู่
ผู้คุมค่อนข้างจำเหยียนฉางได้แม่น ถึงอย่างไรเสียก็ถูกองครักษ์หน้าตำหนักคุมตัวเข้าห้องขังด้วยตนเอง นั่นมีเพียงความเป็นไปได้เดียว คือตอนว่าราชการเช้าฮ่องเต้ลงโทษเขาด้วยตนเอง หลายปีมานี้นี่ถือว่าเป็นการตักเตือนบางอย่าง
เห็นเหยียนฉางยังคงเหม่อลอย ผู้คุมจึงหยุดถาม
“ใต้เท้าท่านนี้ ก่อนหน้านี้ท่านรับผิดชอบงานที่ฝ่ายใดหรือ”
เหยียนฉางมองพวกเขาสองคน ว่ากันว่ายั่วยุอัครเสนาบดีดีกว่าหาเรื่องผู้คุม ตอนนี้ตนเองนับว่าต้องไว้หน้าผู้คุมเหล่านี้ เขาจึงพยายามตั้งสติแล้วยิ้มขื่นตอบกลับไป
“ข้าไม่ใช่ขุนนางฝ่ายใดทั้งนั้น เดิมเป็นเพียงหัวหน้าหอดูดาวหลวง”
“หอดูดาวหลวง? อ๋อ ใต้เท้าหัวหน้าหอดูดาวหลวงผู้กำหนดปฏิทิน”
ผู้คุมหนึ่งในนั้นคิดแล้วเข้าใจในทันที
เหยียนฉางไม่มีกะใจกล่าวเสริม พยักหน้าอย่างเดียว
ผู้คุมอีกคนหนึ่งสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง
“นี่กลับแปลกใหม่ พวกเรากรมลงทัณฑ์เคยขังขุนนางอยู่ในคุกมากมาย แต่คนจากหอดูดาวหลวงเข้ามา โดยเฉพาะขังใต้เท้าหัวหน้าหอดูดาวหลวง ถือว่าเป็นครั้งแรกจริงๆ!”
“อืม เจ้าพูดแล้วก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ!”
ผู้คุมสองคนรู้สึกแปลกใหม่เป็นเท่าทวี ปกติแล้วหัวหน้าหอดูดาวหลวงไม่ข้องเกี่ยวกับความวุ่นวายในราชสำนัก ในใจเกิดความคิดอยากซุบซิบเล็กน้อย
“เช่นนั้นใต้เท้าหัวหน้าหอดูดาว ท่านทำความผิดอะไรหรือ ถูกฝ่าบาทลงโทษอะไร”
อย่างไรก็ว่างแทบตายแล้ว ยิ่งไม่รู้ว่าตนเองจะมีชีวิตรอดได้หรือไม่ หรือมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไหร่ เหยียนฉางซึมเซามาตลอดทั้งเช้าแล้ว ตอนนี้ได้สนทนากับคนจึงคลายใจลงได้ นั่งตัวตรงขึ้นเล็กน้อย
“รู้จักงานชุมนุมวารีปฐพีที่เมืองหลวงเป็นคนจัดกระมัง”
“ไหนเลยจะไม่รู้จัก ทั้งเมืองหลวงล้วนพูดถึงงานชุมนุมนี้กันให้ควัก”
เหยียนฉางเผยรอยยิ้มที่ไม่น่ามองเสียยิ่งกว่าตอนร้องไห้
“งานชุมนุมวารีปฐพีหลักๆ มีหอดูดาวหลวงของข้าและขุนนางกรมพิธีการจำนวนหนึ่งรับผิดชอบ ต้องสังเกตการณ์และคัดเลือกปรมาจารย์หลายคนแทนฝ่าบาท การได้รับตำแหน่งปรมาจารย์คือที่มาความโชคร้ายของข้า…”
เหยียนฉางพูดอย่างเชื่องช้า เล่าเหตุการณ์อันเป็นต้นเหตุความโชคร้ายของตนเองออกไป สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่อะไรที่พูดไม่ได้ ความจริงมีบันทึกอยู่ในสมุดเรือนจำเช่นกัน ทว่าค่อนข้างบันทึกได้โดยคร่าว
เมื่อเหยียนฉางเล่าจบแล้ว ผู้คุมสองคนมองหน้ากัน
“ขอทานชราผู้นี้ใจกล้าเกินไปแล้ว พูดอะไรแบบนั้นต่อหน้าฝ่าบาทเท่ากับขอความตายให้ตนเองนะ…”
“มีคนมาแล้ว”
ผู้คุมคนหนึ่งยังพูดไม่ทันจบ อีกคนหนึ่งมองไปข้างนอก จากนั้นทั้งสองคนประสานมือให้เหยียนฉางแล้วเร่งฝีเท้าเดินออกไป
ประมาณครึ่งถ้วยชาให้หลัง ผู้คุมที่ไม่รู้จักคนหนึ่งนำทางขันทีชรามาถึงเรือนจำของเหยียนฉางแล้ว
ทันทีที่เหยียนฉางเห็นผู้มาเยือนก็ตั้งสติเต็มที่ทันที ทว่าไม่รู้ว่าควรพูดอะไรอยู่บ้าง
ผู้คุมเลือกกุญแจที่พวงกุญแจตรงเอวเพื่อเปิดประตูเรือนจำนี้ จากนั้นผลักประตูแล้วผายมือเชิญ
“เชิญกงกง!”
ครั้นขุนนางชราเข้าไปในเรือนจำ ผู้คุมพลันใส่กุญแจประตูอีกครั้ง
ตอนนี้เหยียนฉางดึงสติกลับมาเรียบร้อยแล้ว พบว่าบนมือของขันทีชรายังมีสิ่งของหน้าตาเหมือนกล่องอาหาร จึงรีบลุกจากเตียงเพื่อโค้งกายคารวะ
“หลี่กงกง ท่านมาด้วยเหตุใดหรือ”
ขันทีชราวางกล่องอาหารลงบนเตียง ประสานมือคารวะเหยียนฉางอย่างนอบน้อมเช่นกัน
“ใต้เท้าเหยียนฉางยังไม่ได้กินมื้อกลางวันกระมัง นี่เป็นอาหารที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ ล้วนเป็นฝีมือของห้องเครื่องทั้งสิ้น ใต้เท้ารีบชิมตอนที่ยังร้อนๆ เถอะ”
ขันทีชราพูดพลางเปิดกล่องอาหาร นำอาหารหลายถ้วยออกมาจากข้างในท่ามกลางกลิ่นหอมฉุย
เหยียนฉางมองอาหารเหล่านี้อย่างงุนงง ทุกอย่างล้วนประณีต มีทั้งปลาและเนื้อ เขามองอาหารหลายถ้วนถูกยกออกมา สีหน้าเขาไม่น่ามองขึ้นเรื่อยๆ ซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน เมื่อขันทีชราหยิบสุราออกมาด้วย เหยียนฉางไร้สีเลือดบนใบหน้าแล้ว
‘ฝ่าบาทจะสังหารข้าแล้วสินะ…’
แม้เหยียนฉางสนทนากับคนจากกรมลงทัณฑ์น้อยมาก แต่ก็เคยฟังเรื่องเล่าบางอย่าง ขุนนางที่ถูกกริ้วทว่าทัณฑ์ยังไม่ถึงตัว จู่ๆ ได้กินอาหารอุดมสมบูรณ์จำพวกปลาและเนื้อ มากกว่าครึ่งเป็นอาหารมือสุดท้าย
“ใต้เท้าแหยียน ใต้เท้าเหยียน? สีหน้าท่านไม่ค่อยดีเลย ต้องเรียกหมอหลวงหรือไม่”
“หลี่กงกง…ฝ่าบาทจะสังหารข้าเหยียนฉางแล้วหรือ”
ขันทีชรามองอาหารเหล่านี้ ตอนนี้เข้าใจแล้วจึงส่ายหน้าอย่างหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก
“ใต้เท้าเหยียนเข้าใจผิดแล้ว ฝ่าบาทกลัวว่าอาหารที่ใต้เท้ากินในเรือนจำจะย่ำแย่เกินไป จึงสั่งห้องเครื่องทำอาหารกลางวันเป็นพิเศษ ไม่ได้มีความคิดอื่นใด ขุนนางหอดูดาวหลวงและใต้เท้าจากกรมพิธีการทั้งหมดล้วนขอความเมตตาแทนใต้เท้าเหยียนที่ห้องทรงอักษรหลังจบว่าราชการเช้าทั้งสิ้น…”
เหยียนฉางฟังแล้วรู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง
‘พวกเขาดีขนาดนั้นเลยหรือ ไม่ถูกต้อง พวกเขากล้าทำเช่นนั้นหรือ’
ขันทีชราพูดถึงตรงนี้แล้วถอนจเสียงหนึ่ง จากนั้นค่อยเอ่ยต่อ
“ความจริงแล้วหลังจากที่ใต้เท้าเหยียนถูกสั่งจองจำยังเกิดเรื่องบางอย่าง…”
…
โถงใบเขียว โรงน้ำชาที่กำแพงเมืองจังหวัดจิงจี ในห้องส่วนตัวชั้นสองนั่งไว้ด้วยจี้หยวนและขอทานชรา ไปจนถึงขอทานเด็กที่ภายหลังวิ่งมาเอง บนโต๊ะภายในห้องมีกาน้ำชาร้อนใบหนึ่ง อีกทั้งมีขนมและของแห้งรวมถึงหมดหกจาน
“อ้อ พูดเช่นนี้หมายความว่าผู้อาวุโสหลู่จะไม่รับศิษย์ผู้นี้แล้วหรือ”
จี้หยวนเพิ่งฟังเรื่องบางอย่างในงานชุมนุมเก้าวันจบ ไปจนถึงผลกรรมที้เกิดขึ้นในท้องพระโรงเช้านี้
“ข้าล้วนตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ใครรับก็เท่ากับโง่แล้ว!”
ปากขอทานชรามีขนมสองชิ้น พูดเสียงอู้อี้ ขอทานเด็กที่อยู่ข้างๆ กินขนมชิ้นหนึ่งแล้วเทน้ำให้ขอทานชรา
“ท่านปู่หลู่ ใต้เท้าเหยียนผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง”
“เขา? วางใจเถอะ ขอเพียงไม่ทำเรื่องโง่ก็ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นกับเขา ตอนนี้เจ้าควรเป็นห่วงท่านปู่หลู่ของเจ้าคนนี้มากกว่า”
ขอทานเด็กที่เดิมทีขนมเต็มปากได้ยินแล้วพลันตกใจหน้าถอดสี วิ่งไปถึงข้างกายขอทานชราแล้วลูบคลำดูด้วยความเป็นห่วง
“เอ๋? ท่านปู่หลู่บาดเจ็บใช่หรือไม่ ไม่สบายตรงไหนใช่หรือไม่”
“ไม่มีๆ…ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ ข้าหมายถึงท่านจี้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเรา…”
ขอทานชรายิ้ม มองจี้หยวนที่จิบชาเงี่ยหูฟังเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ครั้งนี้ข้าทดสอบฮ่องเต้ของต้าเจิน ไม่แน่นับได้ว่าละเมิดข้อห้ามของท่านจี้แล้ว นี่อันตรายยิ่งกว่าอยู่ต่อหน้าเพชฌฆาตของพระราชวังเสียอีก! หากมีทางเลือก ชานี้ข้าไม่ค่อยอยากมาดื่มเท่าไหร่…”
“เอ๋?”
ขอทานเด็กมองจี้หยวนผู้อ่อนโยน จากนั้นมองขอทานชราอีกครั้ง กลับเห็นสีหน้าของท่านปู่หลู่ย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง
“การกระทำของผู้อาวุโสหลู่ต้องสร้างความวุ่นวายให้ราชสำนักต้าเจินอย่างแน่นอน…”
จี้หยวนวางจอกชาลง ชักนำน้ำชากลุ่มหนึ่งมาที่หน้าโต๊ะ จากนั้นใช้นิ้วชี้จิ้มน้ำเขียนคำว่า ‘โชคชะตา’
“ทว่าผู้อาวุโสหลู่กลับเข้าไปผิดแล้ว ต้าเจินมีปราณของตนเอง พวกปีศาจมารชั่วร้ายก่อความวุ่นวายต้องถูกจัดการ ส่วนเรื่องที่ผู้อาวุโสทำลงไป หนึ่งไม่ถูกใจ สองไม่ถูกมรรค ยิ่งนับว่าเป็นโชคชะตาหนึ่งของฮ่องเต้ ข้าคนแซ่จี้ไม่อยากพูดอะไรมาก ขอเพียงท่านรู้สึกว่าคุ้มค่าก็พอแล้ว”
“หึ…ไม่ค่อยคุ้มค่าอยู่บ้างจริงๆ…”