เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 252 หมอกฝนสิบปี
ตอนที่ 252 หมอกฝนสิบปี
ต้นพุทรากลางลานโบกไหวตามลม เสียงสวบสาบยามกิ่งใบเสียดสีมีท่วงทำนองนัก ท่วงทำนองนี้เหมือนสอดคล้องกับจังหวะการเขียนอักษรของจี้หยวน ผ่อนหนักผ่อนเบาตามเส้นอักษร
การพูดคุยกับขอทานชราก่อนหน้านี้ จี้หยวนถือโอกาสคุยเรื่องเล็กน้อยเพื่อเบี่ยงประเด็นมากมายกับเขาจริงๆ ด้วยสายตาของขอทานชรา สิ่งที่พูดออกมาย่อมต่างจากคนอื่นมาก
ขอทานชราเดินทางขึ้นเขาลงห้วย ตามหากฎเกณฑ์บางอย่างจากปีศาจร้ายและเหล่าเซียน พิบัติธรรมชาติและภัยมนุษย์ที่เขาเจอ ตัดสินความต่างด้านพลังขับเคลื่อนของแต่ละฝ่าย โดยอาศัยความรู้สึกของขอทานชรายามบอกว่าวุ่นวายหรือแน่วนิ่ง สำหรับจี้หยวนถือว่ามีประโยชน์ ทำให้เขาเข้าใจสัดส่วนของสิ่งที่เรียกว่าสถานการณ์ในใต้หล้าง่ายขึ้น
ประสบการณ์เช่นนี้จวนเซียนซึ่งไม่ชอบท่องโลกอย่างเขาล้อมหยกมีน้อยมาก เผ่าปีศาจอย่างมังกรเฒ่ายิ่งไม่ค่อยมี ย่อมมีแค่ผู้สูงส่งซึ่งเพลิดเพลินบนโลกมนุษย์หรือฝึกปราณบนโลกโลกีย์อย่างขอทานชราที่เจนจัด
ดังนั้นไม่แปลกว่าเมื่อขอทานชราออกจากอำเภอหนิงอันแล้วตำหนิว่าจี้หยวนเจตนาพูดจาอ้อมไปอ้อมมากับเขา ความจริงคือจี้หยวนเจตนากล่าวอ้อม ด้วยมีสาเหตุหลักคืออยากฟังเรื่องพวกนี้เป็นทุนเดิมจริงๆ
การเขียนอักษรไม่ใช่แค่ขั้นตอนอนุมานวิชามรรคของจี้หยวน ยังเป็นขั้นตอนสงบใจอย่างหนึ่ง ด้านหนึ่งเขาจรดพู่กันเขียนอักษร ด้านหนึ่งใคร่ครวญเรื่องก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับภิกษุฮุ่ยถงและเกาะเมฆาในตอนแรกสุด
ภิกษุฮุ่ยถงไม่เคยเกิดเรื่องอะไร อาจเป็นเพราะอาณาจักรถิงเหลียงและอาณาจักรเทียนเป่าปลอดภัย หรืออาจเป็นเพราะโชคดี ทั้งไม่ทำให้ปีศาจร้ายในงานชุมนุมวารีปฐพีแปลกใจอะไร
เมื่อลองคิดเชิงลบ ตอนนั้นหลังจากมังกรเฒ่าเดือดดาลเปิดฉากเข่นฆ่าในงานชุมนุมวารีปฐพี เขารู้สึกเหมือนแหวกหญ้าให้งูตื่นอยู่บ้าง แต่ทุกอย่างล้วนมีสองด้าน พูดอีกมุมหนึ่งคือการฟาดภูเขาขู่พยัคฆ์
ภายใต้สถานการณ์ซึ่งพลันรู้สึกว่าเกาะเมฆาอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ การฟาดภูเขาขู่พยัคฆ์ย่อมเหมาะกว่าหน่อย
แม้ว่าไม่อาจอธิบายกับคนอื่น แต่ในใจจี้หยวนพอคาดเดาได้ว่าไม่ช้าก็เร็วเกาะเมฆาต้องเกิดเรื่อง ยามพูดเรื่องนี้แน่นอนว่าไม่อาจสร้างพิบัติเคราะห์ฟ้าดิน แต่ย่อมส่งผลกระทบใหญ่ในอีกหลายร้อยหลายพันปีข้างหน้า
ความวุ่นวายที่มาพร้อมกัน ถ้ามีจุดเปลี่ยนสร้างรากฐานให้มั่นคงก่อนย่อมดีที่สุด ต่อให้เกิดขึ้นเพียงบริเวณเกาะเมฆา ปัจจุบันจี้หยวนก็เห็นแค่สถานการณ์ของต้าเจิน ทิศทางอื่นยังคงมืดบอด
ตัวหมากที่เด่นชัดยังมีไม่เท่าไหร่ แม้ว่ากระดานหมากใหญ่โต แต่ตำแหน่งการวางหมากที่เหมาะสมกลับไม่มาก
สิ่งนี้ต่างจากการวางหมากบนกระดานหมากทั่วไป ใช่ว่ามีที่ว่างแล้ววางได้ ยังต้องดูวาสนาด้วย หรือพูดว่าจวนเซียน เผ่าปีศาจ หมู่มาร ภูตผี ความเชื่อมโยงทุกสถานการณ์ล้วนส่งผลกระทบต่อตัวหมากทั้งกระดาน หมากในมือจี้หยวนต้องวางอย่างพิถีพิถัน น้ำหนักและจำนวนของตัวหมากที่วาง ทั้งสองอย่างต้องสอดคล้องกันถึงจะใช้ได้
‘คิดมากกายใจพร่อง ได้แต่ค่อยเป็นค่อยไปแล้ว!’
จี้หยวนถอนใจเฮือกหนึ่ง หยุดพู่กันขนหมาป่าในมือ ยามใคร่ครวญเขาถึงกับเขียนอักษรเล็กจิ๋วแน่นขนัดเต็มกระดาษเซวียนจื่อแผ่นหนึ่งโดยไม่รู้ตัว มีมากกว่าหลายพันคำ
นี่ทำให้จี้หยวนซึ่งได้สติกลับมาอึ้งงันครู่ใหญ่ มีความรู้สึกมึนงงว่าเมื่อครู่ตนเขียนอะไร
เมื่อวางพู่กันบนที่วางแล้ว จี้หยวนหยิบกระดาษเซวียนจื่อขึ้นมาเป่าหมึกเล็กน้อย ถือไว้ตรงหน้าพลางอ่านโดยละเอียด ด้วยเจตจำนงบนตัวอักษรที่ตนเขียนยังไม่ซ่านสลาย ต่อให้ตัวอักษรเล็กแค่ไหนก็ไม่กลุ้มเพราะเห็นไม่ชัดแน่นอน
ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่อนุมานยามถอดจิต แค่อ่านผ่านตาเจตเทพอัศจรรย์บางส่วนก็ปรากฏในใจ เป็นจุดเชื่อมที่ยากไปต่อในจักรวาลแขนเสื้อนั่นเอง
ยิ่งอ่านรอยยิ้มยิ่งเด่นชัด การแสดงออกฉายแววยินดี
“พู่กันเรียกสติ ฮ่าๆๆๆๆๆ… พู่กันเรียกสติจริงๆ!”
เมื่ออ่านอักษรเล็กจิ๋วหน้าหนึ่งเสร็จ ความรู้สึกมืดมนก่อนหน้านี้ของจี้หยวนหายไป ระเบิดหัวเราะลั่นอย่างอดไม่ได้
ดังคำกล่าวว่าผลงานสร้างสรรค์มาจากแรงบันดาลใจชั่วขณะ การอนุมานวิชาอภินิหารของจี้หยวนตอนนี้ก็นำมาใช้ได้เช่นเดียวกัน
บางทีก่อนหน้านี้อาจอนุมานโดยไม่รู้ตัว นึกถึงความเกี่ยวพันของสถานการณ์อย่างอดไม่ได้ บางทีอาจนึกถึงตอนมังกรเฒ่าจับภิกษุก่อนหน้านี้ ความอัศจรรย์ที่ซ่อนในวิชายามเหยียดกรงเล็บออกจากแขนเสื้อนั้น สรุปคือตัวอักษรแฝงเจตจำนงหลายพันคำนี้เป็นปากปล่องสำคัญที่สร้างความแข็งแกร่งให้วิชาจักรวาลแขนเสื้อของจี้หยวน
สิ่งนี้ทำให้จี้หยวนดีใจยิ่งกว่าตอนเปลี่ยนเพลิงสมาธิเป็นของจริง ด้วยนี่คือพลังภายนอกซึ่งเขาได้มาโดยไม่ต้องเล่นแง่หรือพึ่งพาใครอย่างแท้จริง เป็นวิชาอัศจรรย์ที่ตนอนุมานออกมา แม้ว่าทะลวงได้แค่ขั้นต้น แต่ต่อจากนี้ย่อมมีเค้าโครง
ยามนี้มีผู้อยู่ตรอกเทียนหนิวบริเวณใกล้เคียงกำลังยุ่งง่วนอยู่ในบ้าน ล้วนได้ยินเสียงหัวเราะอย่างเบิกบานของจี้หยวน
“ใครหัวเราะอย่างเบิกบานเช่นนี้”
มีหญิงชาวบ้านถามอย่างสงสัย ชายชราสานตะกร้าไผ่ด้านข้างแยกแยะครู่หนึ่งก่อนกล่าวคาดเดา
“น่าจะเป็นเสียงของท่านจี้”
“โอ้ หายากยิ่งนัก ไม่เคยได้ยินท่านจี้กล่าวเสียงดังมาก่อน”
“บางทีอาจหาภรรยาได้แล้ว!”
“หา!? ไม่กระมัง…”
ชายชรามองบุตรสาวซึ่งแต่งไม่ออกนานแล้วของตน
“หรือว่าเจ้าคิดเลยเถิดกับท่านจี้”
หญิงชาวบ้านแค่ยิ้มอักอ่วน แก้ต่างเสียงเบาประโยคหนึ่ง
“ข้าไม่กล้ามองท่านจี้หรอก…”
“รู้ตัวก็ดี อย่าเป็นคางคกอยากกินเนื้อหงส์!”
“…”
…
อิ๋นจ้าวเซียนยุ่งจนถอนตัวไม่ขึ้นเพราะรัฐหวั่นกำลังทรุดโทรมรอวันฟื้นตัว ถึงกับเรียกอิ๋นชิงที่เพิ่งเข้าร่วมการสอบระดับเมืองเอกตรงรัฐจีเสร็จกลับรัฐหวั่นอีกครั้ง เพื่อมาช่วยจัดการเรื่องต่างๆ
เทียบกันแล้วมารดาตระกูลอิ๋นยังคงเห็นอิ๋นชิงเป็นเด็ก ทว่าในสายตาของอิ๋นจ้าวเซียนบุตรชายคนโตซึ่งอายุครบยี่สิบเป็นอัจฉริยะโดดเด่นนานแล้ว การช่วยล้างระบบราชการรัฐหวั่นครั้งก่อนทำให้เขาจดจำอย่างลึกซึ้ง
คนตระกูลอิ๋นยุ่งจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่นประจำ แน่นอนว่าไม่มีทางมาหาจี้หยวน ส่วนมังกรเฒ่ามักงีบหลับตลอด เวลานอนมีแต่มากกว่าจี้หยวน วันเวลากลางป่าเขาของผู้ฝึกปราณแห่งเขาล้อมหยกล่วงเลยรวดเร็ว คนอื่นหรือผู้กล้ามารบกวนจี้หยวนมีไม่มาก
กอปรกับช่วงนี้ไม่มีข่าวร้ายอะไร สถานการณ์เช่นนี้ดำเนินถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิของปีติงไฮ่ จี้หยวนฝึกปราณอนุมานรายละเอียดอย่างเงียบสงบอยู่ในบ้าน ผ่านไปเกือบหนึ่งปีโดยไม่รู้ตัว
ต้นเดือนสี่ ในที่สุดความเงียบสงบของเรือนสันติก็ถูกทำลายอีกครั้ง
เช้าตรู่วันนี้ จี้หยวนตื่นขึ้นมาจากการหลับฝัน ยามอ่านม้วนหยกกลางลาน เขาพลันได้ยินว่าภายในซอยเล็กของตรอกเทียนหนิวด้านนอกมีเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้เรือนสันติ
“ท่านแน่ใจว่าท่านจี้อยู่หรือ”
ชายสีหน้าเปี่ยมประสบการณ์คนหนึ่งถามผู้เฒ่าในตรอกอีกครั้ง ฝ่ายหลังยิ้มพลางกล่าวตอบ
“แม้ว่าท่านจี้ออกไปข้างนอกน้อยนัก แต่เขาต้องอยู่แน่ หากไม่อยู่จริง ประตูเรือนเล็กจะลงกลอนไว้ ดูสิ ประตูเรือนไม่ได้ลงกลอน”
ชายสีหน้าเปี่ยมประสบการณ์เผยแววยินดี ประสานมือกล่าวขอบคุณชายชรา
“ขอบคุณผู้เฒ่าจั้งที่นำทาง นี่คือสิ่งตอบแทน…”
“โธ่เอ๋ย คนรุ่นหลังอย่างเจ้านี่นะ พวกเราเป็นเพื่อนบ้านของท่านจี้ เจ้าบอกว่าเป็นคนรู้จักของเขา ข้าพาเจ้ามานับเป็นเรื่องสมควร ถือโอกาสนำทางยามกลับบ้าน ถ้ารับเงินเจ้าภายหน้าข้าจะเจอท่านจี้ได้อย่างไร”
ชายชรากล่าวพึมพำก่อนหันหลังจากไป
ชายหนุ่มมองทิศทางที่ชายชราจากไป ทั้งมองเรือนสันติซึ่งอยู่ห่างไปสิบกว่าจั้ง มองเห็นต้นพุทรากิ่งใบเขียวชอุ่มกลางลาน ปีนั้นเขาก็เคยมาที่นี่ ไม่ได้มาหลายปีลืมทางไปหมดแล้ว
เมื่อชายหนุ่มเดินมาถึงหน้าประตูเรือนเล็ก ภายในลานจี้หยวนวางม้วนหยกลง สำแดงวิชาบังตาเล็กน้อย เปลี่ยนมันเป็นม้วนไม้ไผ่ธรรมดาเล่มหนึ่ง
“จอมยุทธ์ลู่ผลักประตูเข้ามาเถอะ ประตูไม่ได้ลงกลอน”
เสียงราบเรียบดังมาจากด้านใน ทำให้ชายซึ่งเตรียมเคาะประตูหยุดมือ
ความรู้สึกค่อนข้างตื่นเต้น หัวใจเต้นเร็วอยู่บ้าง หลังจากลังเลครู่หนึ่ง ชายหนุ่มเปิดประตูเรือนออก
เมื่อก้าวเข้าเรือนสันติ พริบตาแรกก็เห็นจี้หยวนอยู่หน้าโต๊ะหินใต้ต้นพุทรา สวมชุดสีเขียว ปักปิ่นหยก ลูบม้วนไม้ไผ่ ลืมตาสีเทาครึ่งหนึ่งจ้องมองตน
ท่านจี้รูปลักษณ์นี้เหมือนกับต่างจากท่านจี้ในความทรงจำเขาอยู่บ้าง แต่ยังรู้สึกว่าเดิมทีก็เป็นเช่นนี้
ชายหนุ่มอึ้งงันครู่หนึ่ง รีบวางของในมือก่อนค้อมตัวคารวะ
“ท่านจี้ เฉิงเฟิงมาเยี่ยม…”
เมื่อเงยหน้ามองจี้หยวนอีกครั้ง เขากล่าวตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านจี้ หลายปีมานี้ท่านไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย!”
จี้หยวนมองผู้มาเยือน เปรียบกับจอมยุทธ์น้อยผู้โดดเด่นตอนนั้นแล้ว ใบหน้าลู่เฉิงเฟิงเปี่ยมประสบการณ์มาก ไม่รู้ว่าหลายปีนี้ผ่านลมฝนอะไรมา
บนตัวไม่มีอาวุธ มือหยาบด้านหนาหิ้วของที่พกมาขึ้นจากพื้น เป็นสุราไหหนึ่งซึ่งแปะกระดาษว่า ‘ถูซู[1]’
จี้หยวนลืมตาทิพย์ มองกลิ่นอายรอบตัวของลู่เฉิงเฟิงตอนนี้ แทบไม่ฮึกเหิมเหมือนปีนั้น เห็นชัดว่าอายุแค่สามสิบกว่าแต่กลับหม่นหมอง เขากล่าวทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
“หมอกฝนสิบปีบนทางยุทธภพ ปณิธานครึ่งชีวิตสิ้นสุดด้วยถูซู จอมยุทธ์น้อยลู่ พวกเราไม่เจอกันเกินสิบปีแล้วกระมัง เชิญนั่งเถอะ”
ลู่เฉิงเฟิงฟังแล้วงุนงงอยู่บ้าง หลังจากนั้นครู่หนึ่งค่อยหันกลับไปปิดประตูเรือน ถือของเดินมาถึงกลางลาน
“ได้ยินว่าท่านจี้ชอบสุรา… ข้าจึงนำสุราไหนี้มาด้วย ไม่ใช่ยอดสุราธารหยก[2]อะไร แค่เป็นสิ่งที่บิดาบ่มไว้ยามมีชีวิต”
ลู่เฉิงเฟิงกล่าวพลางวางสุราลงบนโต๊ะ จากนั้นค่อยเงียบไปเป็นเวลาสิบกว่าลมหายใจ จี้หยวนไม่พูดจาและไม่ลุกขึ้น นั่งอ่านม้วนไม้ไผ่โดยละเอียดอยู่ด้านข้าง
“ท่านจี้ยังจำพวกเราเก้าคนเมื่อตอนนั้นได้หรือไม่”
ลู่เฉิงเฟิงพลันเอ่ยถามเช่นนี้ จี้หยวนยังลูบม้วนไม้ไผ่ ปากเอ่ยชื่อทีละคน
“เยี่ยนเฟย ลู่เฉิงเฟิง ลั่วหนิงซวง ตู้เหิง หวังเค่อ จ้าวหลง หลันหนิงเค่อ เปาต้ง ต่งปี้เฉิง เสียงของพวกเจ้าข้าคนแซ่จี้จำได้ตลอด”
ลู่เฉิงเฟิงตกตะลึงอยู่บ้าง เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าท่านจี้เป็นคนตาบอด
“ท่านจี้ความจำดีนัก ข้ากลับจำไม่ได้ทั้งหมด…”
[1] สุราถูซู หมายถึง สุราดองจากสมุนไพรจีน ดื่มเพื่อขับลมและพิษเย็น นิยมดื่มช่วงวันตรุษจีน ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ไม่ให้เจ็บป่วยตลอดปี
[2] ยอดสุราธารหยก หมายถึง สุราจากการนำหยกเนื้อดีชนิดหนึ่งมาหลอมละลาย เชื่อว่าดื่มแล้วจะกลายเป็นเซียน
0