เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 97 เบาะแสเรื่องในอดีต
ตอนที่ 97 เบาะแสเรื่องในอดีต
ทั่วไปแล้วทูตลาดตระเวนจากศาลมืดจะแบ่งมือปราบผีเป็นกลุ่มละสองตน ตามระดับความแข็งแกร่งของศาลมืดหลักเมืองและระดับความเข้มข้นพลังมรรควิถีของศาลหลักเมืองนั้น วิธีที่ง่ายที่สุดคือแบ่งไปเป็นทูตซ้ายและขวา ส่วนเมืองที่ซับซ้อนกว่าเช่นจังหวัดจวินเทียน ผู้ลาดตระเวนทิวาราตรีย่อมแบ่งเป็นซ้ายขวาเช่นกัน เมื่อรวมทูตและรองทูตแล้วจะมีทั้งหมดแปดตน
ขณะนี้ผู้ลาดตระเวนผ่านด้านนอกบ้านเจ้าของร้านเครื่องเขียน รองทูตซ้ายขวาเห็นว่าแม้จะมีแสงสว่างประหลาดพุ่งออกจากห้องโถง แต่กลับไม่ใช่รูปแบบของวิญญาณชั่วร้าย
“ใครอาศัยอยู่ที่นี่ ดูท่าจะมีโชคดีบางอย่างแล้ว!”
“คิดดูแล้วไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย เข้าไปตรวจสอบด้วยกันเถอะ!”
ทูตสองตนเหยียบลมหยางทะลุกำแพง เข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่นับว่าไม่เลวแห่งนี้ มายังด้านนอกห้องหนังสือของเจ้าของบ้าน
เนื่องจากอากาศร้อนระอุ ประตูและหน้าต่างห้องหนังสือล้วนไม่ได้ปิดไว้ ทูตทั้งสองมองเห็นชายวัยกลางสวมชุดลำลองคนหนึ่ง เป็นผังซู่ เจ้าของร้านเครื่องเขียนซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาหน้าโต๊ะหนังสือ ยกพู่กันเขียนตัวอักษร
มาถึงตรงนี้แล้วกลับไม่มีความแปลกประหลาดแต่อย่างใด แสงสว่างไสวสักนิดก็ไม่เห็น
ทูตสองตนสบตากัน อยากผ่านประตูเข้าไป ทว่าวินาทีที่กำลังจะย่างก้าวเข้าห้องหนังสือ ปราณหยินบนชุดมือปราบเลือนรางลง ราวกับมีริ้วคลื่นไร้รูปร่างสายหนึ่งกระเพื่อมเข้ามา หลังจากนั้นถึงเข้าไปในห้องหนังสือ
แม้ความรู้สึกเมื่อครู่จะแผ่วเบาอย่างยิ่ง แต่ในฐานะที่เป็นทูตลาดตระจึงความรู้สึกไวมาก รู้ว่าต้องเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน
พอเข้าไปใกล้ผู้ขยับพู่กัน ก็เห็นบนสมุดลอกที่กางอยู่บนโต๊ะมีปราณอำพรางทว่าหนาหนัก ส่วนประโยค ‘ธรรมะชนะอธรรม’ บนนั้นกลับให้ความรู้สึกของจิตใจอันเที่ยงธรรม ทำให้มือปราบผียากจะมองข้ามไปได้
มีคำกล่าวว่าเห็นตัวอักษรเหมือนได้เห็นคน ยากจะคาดเดาถึงคนเขียนและระดับวิชา แต่ท่วงทำนองและอุปนิสัยกลับฉายชัด
ทูตทั้งสองจิตใจสั่นไหว ถอยหลังสองก้าว หลังจากสบตากันอีกครั้งแล้วถึงประสานมือให้สมุดลอกเล่มนี้ ครั้นแล้วก็ถอยออกจากห้องหนังสือไป
จนกระทั่งทูตสองตนออกไป เถ้าแก่ร้านเครื่องเขียนที่กำลังลอกแบบถึงค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนอง มองไปยังนอกประตู
“เฮ้อ เมื่อครู่มีลมเย็นมาบ้างไม่ใช่หรือ แต่ลมนี้สั้นจริง…”
เพราะสมุดลอกอยู่ตรงนี้ มือปราบผีเข้าใกล้กลับไม่ได้ทำให้เจ้าของร้านเครื่องเขียนรู้สึกถึงความเย็นเหมือนคนทั่วไป กลับเป็นลมเย็นที่เฝ้าคอยให้มาถึงในฤดูร้อน
…
ทางตะวันตกของจังหวัดจวินเทียน จี้หยวนยังคงเดินเตร่อยู่บนถนนเพียงลำพัง เวลานี้สีท้องฟ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากหลังพระอาทิตย์เพิ่งตกดินเท่าไหร่นัก แม้ท้องฟ้าจะมืดแล้ว แต่ทิศตะวันตกกลับยังมองเห็นแสงสายัณห์ได้รางๆ ส่วนท้องฟ้าเหนือศีรษะเต็มไปด้วยดาวกระจ่างแล้ว
ตอนนี้กลางวันยาวนาน ความจริงแล้วเริ่มค่ำ จี้หยวนมองเห็นพ่อค้าชุยปิ่งข้างนอกบ่อนเมื่อครู่ จนถึงตอนนี้ผ่านมาเพียงไม่นาน สีสันบนถนนและคนเดินถนนก็ลดน้อยลงกว่าครึ่งแล้ว
ถึงบ้านเมืองสงบสุข จังหวัดจวินเทียนไม่มีคำสั่งห้ามออกนอกบ้านยามวิกาลแล้ว แต่เมื่อตกค่ำคนเดินถนนก็ยังคงไม่มากอยู่ดี
จี้หยวนปลดห่อผ้า ยื่นมือไปหยิบขวดสุราออกมาจากข้างใน มันคือขวดสุราวสันต์พันวันที่ซื้อจากจังหวัดชุนฮุ่ยในตอนนั้น ทว่าตอนนี้ข้างในบรรจุสุราสมอจีนที่ซื้อจากร้านขายสุราธรรมดาๆ ในจังหวัดจวินเทียน ใช้เงินซื้อเพียงยี่สิบสามอีแปะต่อชั่ง
เมื่อดึงจุกไม้ห่อผ้าแดงออกก็กรอกใส่ปากอึกหนึ่ง แล้วเดินไปยังโรงเตี๊ยมที่อยู่ไกลออกไป แผนการของจี้หยวนคือพักผ่อนสักคืนหนึ่ง พรุ่งนี้ค่อยตามหาดีๆ รวมถึงลองไปสอบถามหน่วยงานราชการในเมือง หากสุดท้ายแล้วยังไม่มีเบาะแส ก็อาจจะต้องบากหน้าไปขอความช่วยเหลือพิเศษแล้ว
ภายในโรงเตี๊ยมสุขสงบ โถงใหญ่ชั้นล่างในเวลานี้มีคนดื่มสุรากินอาหารอยู่ แสงไฟส่องสว่างนับว่าเพียงพอ ผู้ดูแลดีดลูกคิดดังก๊อกแก๊กอยู่ข้างหลังชั้นวาง
ตอนจี้หยวนเข้ามา ผู้แลเพิ่งคิดบัญชีเสร็จ ครั้นเงยหน้าเห็นลูกค้าถึงยิ้มและเก็บลูกคิดกลับที่
“หลงจู๊ โรงเตี๊ยมมีห้องว่างหรือไม่”
“มีๆ ห้องเทียนจื้อและห้องเสวียนจื้อล้วนมี ห้องเทียนจื้อราคาสองร้อยอีแปะ ส่วนห้องเสวียนจื้อแปดสิบอีแปะ”
ผู้ดูแลเปิดสมุดและหยิบพู่กันแล้ว เตรียมบันทึกข้อมูล
“อืม เช่นนั้นข้าขอพักห้องเสวียนจื้อก็พอ ไม่รู้ว่าจะพักกี่วัน เงินนี้ข้ามัดจำเอาไว้ก่อน”
“ได้ๆๆ ลูกค้ารอสักครู่ จริงสิ ลูกค้าถือเรื่องใดหรือไม่”
“ไม่ถืออะไร”
ผู้ดูแลพยักหน้า เก็บเงินต่อหน้าจี้หยวนอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นยกพู่กันเขียนลงบนสมุด ‘ห้องเสวียนจื้อ บุรุษหนึ่งคน ไม่ถือเรื่องใด…’
ดวงตาของผู้ดูแลมองสมุดแล้วจึงตะโกนเรียก
“โหย่วฝู พาลูกค้าไปที่ห้องเสวียนจื้อที…”
เสียงตอบรับสายหนึ่งดังมาจากห้องครัว
“จะไปเดี๋ยวนี้…”
จี้หยวนถือโอกาสนี้พูดคุยกับหลงจู๊
“หลงจู๊ โรงเตี๊ยมของพวกเจ้าเปิดกิจการมานานมากแล้วกระมัง”
“อืม โรงเตี๊ยมเก่าแก่ เคยซ่อมแซมครั้งหนึ่ง เปลี่ยนโครงสร้างอีกครั้งหนึ่ง สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นปู่”
“โอ้ เช่นนั้นหมายความว่าผู้ดูแลน่าจะคุ้นเคยกับทางตะวันตกของเมืองมากใช่หรือไม่”
หลงจู๊บันทึกเสร็จแล้วถึงยิ้มให้จี้หยวน
“นั่นย่อมแน่นอน ลูกค้าอยากไปเที่ยวที่ไหนหรือ หากไม่รู้ทางก็ถามข้าได้เลย หากไม่รู้จะไปที่ไหน ข้าก็ให้คำแนะนำได้เหมือนกัน”
“ฮ่าๆๆ…ข้าคิดเช่นนั้นจริง ขอพูดตามตรงไม่ปิดบัง ข้านับว่าเป็นคนพเนจรในยุทธภพ เคยได้ยินมาว่าเมื่อหลายสิบปีก่อนจังหวัดจวินเทียนมีเซียนกระบี่จั่ว ข้าต้องการทำความเคารพหลุมศพ แต่กลับหาไม่เจอว่าตระกูลจั่วอยู่ที่ใด เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ยากนักกว่าจะมาถึงจังหวัดจวินเทียน จึงรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง”
ออกเดินทางไกลไม่ง่าย ถือเป็นปัญหาใหญ่ในยุคนี้ทีเดียว
“เซียนกระบี่จั่ว?”
หลงจู๊พิจารณาจี้หยวนอีกครั้ง จากนั้นสายตามองไปยังข้าวของพันผ้าซึ่งแบกไว้ข้างหลัง คาดว่าน่าจะเป็นอาวุธ
“คนที่ถามเรื่องตระกูลจั่วเดี๋ยวนี้มีไม่มากแล้ว พูดตามตรงว่าตอนที่ข้ายังเด็ก ตระกูลจั่วเป็นตระกูลมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่น่าเสียดายที่ค่อยๆ สูญสิ้น…ข้าไม่ใช่คนในยุทธภพ ไม่รู้อะไรหลายอย่าง เพียงรู้ว่าหลายปีนั้นที่ลำบากที่สุด ตระกูลจั่วมีขบวนศพ แต่งชุดขาวทุกเดือน…เฮ้อ…!”
จี้หยวนขมวดคิ้วมุ่น สอบถามมาทั้งวัน ยากนักกว่าเจอคนที่รู้เรื่องตระกูลจั่วบ้าง แต่สิ่งที่ได้กลับเป็นข่าวร้าย หลงจู๊พูดอย่างกระฉับกระเฉง ทว่าจี้หยวนกลับถ่อมตัวมองในมุมของตระกูลจั่ว รู้สึกได้ถึงความกดดันแสนสาหัสที่ได้รับในปีนั้น
“ยังมีคนรุ่นหลังของตระกูลจั่วอยู่บ้างหรือไม่”
“อาจจะตายไปหมดแล้ว หรือยังเหลืออยู่ก็เป็นได้ อย่างไรเสียปีนั้นตระกูลจั่วก็ยิ่งใหญ่มาก มีลูกนอกสมรสอะไรบ้างนับว่าไม่ใช่เรื่องแปลก”
คิดดูแล้วหลงจู๊ถึงพูดกับจี้หยวนอีก
“ลูกค้าอยากไปเยี่ยมบ้านตระกูลจั่วเห็นทีจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้ที่นั่นเปลี่ยนตระกูลใหม่ แต่นอกเมืองยังมีร้านทำกระบี่ร้านหนึ่ง แม้หลายปีนี้จะทำแค่เครื่องครัว ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าไหร่ แต่ว่ากันว่าอาวุธทั้งหมดของตระกูลจั่วในปีนั้นล้วนมาจากที่นั่น อาวุธของเซียนกระบี่จั่วก็เช่นกัน!”
จี้หยวนพลันตาเป็นประกาย ก่อนจะประสานมือกล่าวขอบคุณหลงจู๊
“ขอบคุณหลงจู๊ที่บอกให้รู้!”
“เกรงใจแล้วๆ!”
ผู้ดูแลประสานมือกลับอย่างมีมารยาท
ทันใดนั้นเด็กหนุ่มโพกผ้าบนศีรษะคนหนึ่งก็วิ่งออกมากจากหลังครัว ทักทายจี้หยวนอย่างกระตือรือร้น
“ลูกค้าตามข้ามา เชิญขึ้นชั้นบน!”
“ตั้งนานแล้วเพิ่งจะมาเอาป่านนี้ เจ้าไปห้องสุขามารึ”
หลงจู๊ตำหนิพร้อมหน้าบึ้ง
…
ห้องบนชั้นบนเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ จี้หยวนมอบเงินรางวัลให้เด็กหนุ่ม อีกฝ่ายจึงยกน้ำใส่ถังให้จี้หยวนซึ่งกำลังเตรียมตัวอาบน้ำด้วยความเต็มใจ จี้หยวนชวนเด็กหนุ่มคุยตลอดการเทน้ำ ทว่าเด็กหนุ่มไม่เคยได้ยินเรื่องตระกูลจั่วจริงๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น จี้หยวนออกจากโรงเตี๊ยมแล้วหาร้านอาหารซื้อซาลาเปาไส้เนื้อเล็กน้อย จากนั้นเตรียมออกจากเมือง ย่อมไม่ใช่ออกจากจังหวัดจวินเทียน แต่ไปร้านทำกระบี่ที่อยู่ใกล้แม่น้ำปฐมนอกเมือง อืม ตอนนี้เป็นร้านตีเหล็กธรรมดาๆ ที่ทำพวกเครื่องครัวเป็นหลักมากกว่า
ในเมื่อกระบี่เครือเขียวที่จี้หยวนพกติดตัว อันเป็นกระบี่ของจั่วหลีในตอนนั้นอาจถูกทำขึ้นที่นั่น เช่นนั้นย่อมเป็นเป้าหมายสืบค้นที่คุ้มค่าอย่างถึงที่สุด
ทว่าตอนออกจากประตูเมือง เขาเจอกับชายขายชุยปิ่งคนนั้นอีกครั้ง ส่วนอีกฝ่ายเห็นจี้หยวนแล้วกลับแบกหาบเร่เดินหนีไปไกล
จี้หยวนเพียงมองเงาหลังแบกหาบเร่นั้นตอนเดินผ่านครั้งเดียว ก่อนจะเดินออกจากเมืองไปโดยไม่หยุดฝีเท้า
ต่อให้เป็นเทพเซียนจริงก็มีนิสัยมีอารมณ์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนแซ่จี้ สถานการณ์ของพ่อค้าคนนั้นพูดได้เพียงว่าเวรกรรมไม่เข้าใครออกใคร มีแต่ตัวคนผู้นั้นชักนำเข้าสู่ตัวเอง ใต้หล้ามีเรื่องราวมากมาย เขาคนแซ่จี้เข้าไปยุ่งทุกเรื่องไม่ได้หรอก