เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 134 วิสัยทัศน์อันกว้างไกล
บทที่ 134 วิสัยทัศน์อันกว้างไกล
เมื่อมาถึงลำธารจุดเดียวกับที่ซูเย่มาเมื่อตอนกลางวัน ชายร่างกายสูงใหญ่คนนั้นก็ยืนจ้องมองอีกฟากฝั่งหนึ่งของลำธารด้วยความวิตกกังวล
“ค่อยยังชั่ว”
เมื่อเห็นว่าหญ้าเฉาก๊วยวิเศษเหล่านั้นยังคงอยู่ดี ชายฉกรรจ์ถึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
ความเศร้าเสียใจที่ต้นโซวูร้อยปีถูกขโมยไปสลายหายสิ้น
ความรู้สึกทั้งหมดถูกแทนที่ด้วยความตื่นเต้น
“ยังดีที่หญ้าเฉาก๊วยยังอยู่!”
ชายฉกรรจ์กวาดตามองรอบบริเวณเพื่อให้แน่ใจว่าแถวนี้ไม่มีมนุษย์คนอื่นอยู่ด้วย จากนั้นเขาจึงได้ระเบิดเสียงหัวเราะและพึมพำว่า “โชคดีที่ยังไม่มีใครมาเจอหญ้าเฉาก๊วยพวกนี้ และพวกมันต้องเป็นของฉันคนเดียวเท่านั้น!”
“อีกสิบวันเราต้องรีบกลับมาเก็บมันให้เร็วที่สุด!”
เมื่อนึกถึงการเก็บหญ้าเฉาก๊วยวิเศษในอีกสิบวันข้างหน้า ชายฉกรรจ์ก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้
เขามองไปที่กลุ่มหญ้าเฉาก๊วยด้วยแววตาเป็นประกาย
จากนั้นจึงหมุนตัวเดินออกมา
…
มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง
วันอังคาร
18:00 น.
รายละเอียดการแข่งขันเพื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์จากสมาคมแพทย์แผนจีนได้รับการเผยแพร่ออกมาแล้ว!
“นักศึกษาที่สามารถทำคะแนนติด 100 อันดับแรกได้สำเร็จ จะสามารถเลือกได้ว่าตนเองจะเรียนพิเศษกับอาจารย์ท่านใดก็ได้หนึ่งท่าน”
รายชื่อคณะอาจารย์มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 30 คน
“เป็นอย่างที่คิดจริงด้วย!”
เมื่อเห็นประกาศฉบับนี้ บรรดานักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็ตื่นเต้นกันอย่างถ้วนหน้า
หลังจากรอคอยมาหลายวัน ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง
จิตใจของพวกเขาฮึกเหิม ไม่ได้จมอยู่กับความเศร้าโศกในอดีตอีกต่อไป!
“อาจารย์อาวุโสทั้ง 30 ท่านนี้ ต่างก็เป็นแพทย์แผนจีนชื่อดังทั้งนั้น ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ถือว่าสวรรค์เข้าข้างพวกเราแล้ว!”
“ตอนแรกฉันนึกว่าเขาจะประกาศแค่ขำ ๆ นะ คิดไม่ถึงเลยว่าอาจารย์อาวุโสทั้ง 30 คนนี้จะยอมร่วมมือด้วย คณบดีหลี่ของพวกเราสุดยอดจริง ๆ!”
“ถ้าได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หนึ่งในแพทย์แผนจีนอาวุโสเหล่านี้ พอเรียนจบแล้ว เราสามารถเติมข้อมูลลงไปในใบสมัครงานได้ด้วยนะ คิดดูสิว่าถ้ามีคำว่าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ XXX ต่อท้ายไปด้วย มันจะน่าภูมิใจขนาดไหน”
“ถ้าพวกเราได้เป็นลูกศิษย์ของพวกเขาจริง ๆ ล่ะก็ อนาคตในวงการแพทย์แผนจีนของพวกเราก็ต้องสดใสแน่นอน!”
กวาดตาดูในวงการนักศึกษาขณะนี้ ไม่มีผู้ใดจะมีความสุขมากกว่าเด็กจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางอีกแล้ว ทุกคนที่ได้รับทราบข่าวนี้ ต่างก็รู้สึกอิจฉาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ทางนั้นดูจะให้ความสำคัญกับนักศึกษามากเลยนะ?”
“ไปบอกให้คณบดีของพวกเราทำตามพวกแพทย์แผนจีนจี้หยางบ้างดีไหมเนี่ย?”
“ทำไมคณบดีของพวกเราถึงไม่คิดอะไรดี ๆ แบบนี้บ้างนะ…”
เดิมทีก่อนหน้านี้ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ล้วนติดตามสถานการณ์ของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางด้วยความสนุกสนาน ไม่ได้คิดอื่นใดนอกจากเป็นสิ่งบันเทิงฆ่าเวลา
แต่ในขณะนี้ พวกเขาก็อดตกตะลึงไม่ได้
“สุดยอดไปเลยเว้ยเฮ้ย! ถ้าสามารถหาอาจารย์ที่จะช่วยสอนแบบตัวต่อตัวได้อย่างนี้ล่ะก็ นักศึกษาที่เรียนจบมาก็มีคุณภาพมากขึ้น ถือเป็นการเดินหมากที่ฉลาดมาก!”
“ทำไมคณบดีของที่อื่นถึงสุดยอดแบบนี้นะ ถ้าสถาบันศิลปะของพวกเรามีอาจารย์ดี ๆ แบบนี้บ้าง ฉันคงไม่ต้องวนเวียนอยู่กับการเรียนออกแบบเสื้อผ้าตั้งสองปีอย่างนี้หรอก!”
“ถ้าเขามาเป็นคณบดีที่สถาบันการดนตรีซิงเหมิง ฉันว่าฉันต้องได้รับการสนับสนุนให้ออกอัลบั้มแล้วแน่ ๆ!”
…
บรรดาผู้บริหารของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนคู่แข่งหลาย ๆ แห่งก็เห็นประกาศฉบับนี้แล้วเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ พวกเขาก็เคยได้ยินข่าวลืออยู่บ้าง
แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางจะเอาจริง!
“ใครกันนะที่คิดไอเดียแบบนี้ออกมาได้?”
“ให้แพทย์แผนจีนชื่อดังมาเป็นอาจารย์พิเศษในมหาวิทยาลัยอย่างนั้นหรือ? มีแพทย์แผนจีนยอมทำตามที่พวกเขาร้องขอด้วยจริงสิ?”
“ไม่ได้การแล้ว พวกเราทำตามบ้างดีกว่า ถ้าไม่รีบทำตามตอนนี้ เดี๋ยวแพทย์แผนจีนจี้หยางจะได้หน้าไปคนเดียว รับรองได้ว่าพวกเด็ก ๆ คณะแพทย์แผนจีนต้องมีกำลังใจเรียนขึ้นอีกเยอะเลย!”
ดังนั้น มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนชื่อดังหลายแห่งจึงเรียกประชุมผู้บริหารอย่างเร่งด่วน เพื่อปรึกษาหารือกันว่าพวกเขาควรปรับกลยุทธ์อย่างไรดี
ทุกคนไม่เคยรู้สึกว่ามหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางจะมีความน่ากลัวขนาดนี้มาก่อน
…
ณ เรือนจำกลางจี้หยาง
“หลี่เคอหมิงหาวิธีเอาชนะใจนักศึกษาได้แล้วเหรอเนี่ย?”
หยางเหวินป๋อซึ่งได้รับทราบข่าวนี้เช่นกันถึงกับมีดวงตาเป็นประกายแวววาวขึ้นมาทันที “ทำไมฉันถึงมองไม่ออกเลยนะ ให้ตายสิ หลี่เคอหมิง ภายนอกดูสุภาพเรียบร้อยไม่มีพิษไม่มีภัย แต่พอขึ้นเป็นคณบดีเท่านั้นแหละ กล้าได้กล้าเสียยิ่งกว่าฉันซะอีก”
…
สวนสาธารณะขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
“หืม ใช้ได้เลยนี่นา!” ฮั่วเหรินเซิงระเบิดเสียงหัวเราะเมื่อเห็นแผ่นป้ายประกาศติดอยู่ข้างทาง “ถือว่ามีวิสัยทัศน์กว้างไกล แก้ปัญหาได้อย่างชาญฉลาด ไม่เสียทีที่เป็นลูกศิษย์ของฉัน”
…
มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง
หอพักชาย
“สุดยอดเลยครับเพื่อน ๆ!”
ซูชือส่งเสียงตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น “รายละเอียดในประกาศบอกว่า ถึงไม่ใช่เด็กคณะแพทย์แผนจีน ก็สามารถเข้าแข่งขันคัดเลือกอาจารย์ให้ตัวเองครั้งนี้ได้เหมือนกัน ขอแค่เราหาอาจารย์ที่เหมาะสมให้เจอ เราก็คงได้เชิดหน้าชูตาไม่น้อยหน้าเด็กจากคณะแพทย์แผนจีนอีกแล้ว”
“นั่นสิ ถ้ามีแพทย์แผนจีนคอยชี้แนะตลอดเวลา ความรู้ที่พวกเราจะนำมาวิจัยสมุนไพรต่อไปก็ต้องแน่นปึ้กมากกว่าเดิม ดูเสี่ยวเย่เป็นตัวอย่างสิ เพราะหมอนี่มีอาจารย์ดี ก็เลยมีฝีมือก้าวหน้ามากกว่าพวกเราทุกคนไง”
จินฟานพูดด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน
ในขณะที่ซูเย่พูดอะไรไม่ออก
จังหวะนั้น ข้อความก็ถูกส่งเข้ามาในโทรศัพท์ของเขา
เป็นข้อความจากหวังเหา
“เงิน 100,000 หยวนถูกโอนเข้าบัตรของนายเรียบร้อยแล้วนะ”
“ขอบคุณมากครับ!”
ซูเย่พิมพ์ตอบกลับไป
เงินก้อนนี้มาได้ถูกเวลาทีเดียว
วันพรุ่งนี้คือวันพุธ เขากำลังจะต้องหาเงินไปซื้อสมุนไพรคุณภาพสูงอยู่พอดี
…
เช้าวันต่อมา
ซูเย่กับหลี่เคอหมิงขึ้นรถไฟมุ่งหน้าเข้าเมือง
“เฮ้อ…”
หลี่เคอหมิงระบายลมหายใจออกมาอย่างแรงเมื่อหย่อนก้นลงนั่งบนเบาะนุ่ม เห็นได้ชัดว่าสีหน้าของชายวัยกลางคนผ่อนคลายมากกว่าครั้งสุดท้ายที่พวกเขาเจอกันหลายเท่า
“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของเธอมากนะ สุดท้ายทุกอย่างก็คลี่คลายลงด้วยดีจริง ๆ”
หลี่เคอหมิงพูดและยิ้มกว้าง
“ความจริงผมก็แค่พูดไร้สาระไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นแหละครับ อาจารย์ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจหรอก”
ซูเย่ตอบรับด้วยรอยยิ้ม
หลี่เคอหมิงยิ้มเล็กน้อยและไม่พูดอะไรอีก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง หันมาบอกเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ที่ตนเองกำลังจะพาชายหนุ่มไป
“ตลาดสมุนไพรจีนกูเต๋อ เป็นตลาดสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลของพวกเรา และถือเป็นตลาดสมุนไพรที่ใหญ่ติดหนึ่งในห้าของประเทศ”
“ที่นั่นมีสมุนไพรหลากหลายชนิดและหลากหลายคุณภาพ มีตั้งแต่สมุนไพรที่หาได้ตามท้องตลาดทั่วไป และสมุนไพรที่หาซื้อได้จากตลาดใต้ดินเท่านั้น เพราะอย่างนี้แหละ ฉันถึงมั่นใจว่ามันต้องมีสมุนไพรที่เธอต้องการแน่นอน”
มีสมุนไพรทุกระดับเลยอย่างนั้นหรือ?
ดวงตาของซูเย่เป็นประกายแวววาวด้วยความสนใจ
เพราะมันเป็นตลาดที่อยู่ใกล้กับตัวเมืองมาก ใช้เวลาเดินทางเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น
หน้าทางเข้าตลาดมีก้อนหินขนาดใหญ่ถูกแกะสลักข้อความเอาไว้ว่า :
“ตลาดสมุนไพรจีนกูเต๋อ!”
มีผู้คนเดินไปเดินมาหนาแน่น
“พวกเราไปกันเถอะ”
หลี่เคอหมิงก้าวนำทางเข้าสู่ตลาดด้วยความคึกคักแจ่มใส
ซูเย่พยักหน้ารับคำและเฝ้าสังเกตทุกอย่างขณะเดินตาม เขาพบว่าตลาดขายสมุนไพรแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตอย่างที่คิด
ร้านค้าส่วนใหญ่เป็นเพียงร้านแผงลอยหรือไม่ก็ปูผ้าขายแบกะดิน แม้จะเป็นเพียงร้านแบกะดิน ทว่า พ่อค้าบางคนกลับมีสมุนไพรหายากที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย
แต่ยิ่งคุณภาพของสมุนไพรดีเท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น
เมื่อเดินเข้ามาอยู่ในตลาดแล้ว หลี่เคอหมิงก็รับหน้าที่อธิบายอีกครั้ง
“สำหรับพวกเราแพทย์แผนจีน คุณภาพของสมุนไพรคือตัวชี้วัดคุณภาพในการรักษาคนไข้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ แพทย์แผนจีนที่ดี จึงควรรู้ว่าจะแบ่งแยกคุณภาพของสมุนไพรได้อย่างไรบ้าง”
“การแยกแยะคุณภาพของสมุนไพรนั้นมีอยู่หลายวิธี แต่อย่างแรกที่ทำได้ง่ายมากที่สุดก็คือ การดูหน้าตาของมัน”
“สมุนไพรทุกชนิด ถึงจะเป็นสายพันธุ์เดียวกัน แต่ถ้ามีลักษณะแตกต่างกันเล็กน้อย ประสิทธิภาพในการรักษาคนไข้ก็จะต่างกัน”
“อย่างเช่น รากสมุนไพรที่มีลักษณะเป็นทรงกรวย จะมีสรรพคุณทางยามากกว่ารากสมุนไพรรูปทรงอื่น หรือเปลือกไม้ที่เหมาะสมต่อการนำมาอบแห้งเพื่อทำเป็นตัวยา มักจะขดตัวเป็นก้อนกลม”
“ต่อไปให้สังเกตที่สี”
“เราสามารถแยกแยะสายพันธุ์ ต้นกำเนิดและคุณภาพของสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ได้ โดยดูจากสีของพวกมัน”
“เช่นว่านหวงเหลียนควรมีสีเหลือง โสมแดงควรมีสีแดง เอี้ยงเซียมควรมีด้านในเป็นสีดำเข้ม”
“นอกจากนั้น ก็จะเป็นการสังเกตที่เอกลักษณ์เฉพาะตัว”
“สมุนไพรจำนวนมากมีรอยพับหรือตำหนิที่เป็นเอกเทศไม่เหมือนใคร”
“เช่นใบอึ่งคี้จะมีจุดตัดเป็นรูปหัวใจ หรือกิ่งโต๋วต๋งจะมีเส้นใยเล็ก ๆ ยื่นออกมาเมื่อเราลองหักมันออกจากกัน”
ซูเย่พยักหน้ารับฟังอย่างตั้งใจ
อาจารย์หลี่เดินไปด้วยอธิบายไปด้วยอย่างมีความสุข “วิธีต่อมาคือการใช้มือสัมผัส”
“วิธีนี้จะเป็นการสัมผัสความอ่อนแข็งของตัวสมุนไพร ตรวจสอบความชื้น ความแห้ง ความสดใหม่ของวัตถุดิบแต่ละชิ้น เพราะมันสามารถทำให้รู้ว่าสมุนไพรตัวนั้น เหมาะที่จะนำมาทำเป็นยาสด ๆ หรือต้องนำไปอบแห้งก่อนหรือไม่”
“นอกจากนี้ ก็ยังมีการชั่งน้ำหนักด้วยมือเปล่า”
“แพทย์แผนจีนทุกคนสมควรต้องรู้ว่าสมุนไพรแต่ละชนิดมีน้ำหนักเท่าไหร่ มีความหนาแน่นมากแค่ไหน และควรมีผิวสัมผัสเป็นอย่างไร”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หลี่เคอหมิงก็หยุดชะงักเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ “ส่วนวิธีที่สาม คือการใช้จมูกดมกลิ่น”
“การดมกลิ่นก็แบ่งออกได้หลายประเภทเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นการหยิบสมุนไพรขึ้นมาดมกลิ่นโดยตรง การดมกลิ่นผ่านไอที่ระเหยขึ้นมา ไปจนถึงการขยี้ด้วยมือ แล้วค่อยนำมาดมกลิ่น”
…
“วิธีที่สี่คือการชิมรสชาติ”
“อย่างเช่น ซันจาควรมีรสเปรี้ยว อึ่งน้อยควรมีรสขม และกันเฉ่าควรมีรสหวาน เป็นต้น”
..
“วิธีที่ห้าคือการตรวจสอบด้วยอุณหภูมิความร้อน”
“สมุนไพรหลายชนิดสามารถตรวจสอบได้โดยการเผาไฟ หรือนำไปหย่อนใส่หม้อน้ำเดือด เมื่อตัวสมุนไพรพบกับอุณหภูมิความร้อนสูง มันก็จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาบางอย่างที่สมุนไพรชนิดอื่น ๆ ไม่มี”
…
หลี่เคอหมิงอธิบายหลักสูตรการตรวจสอบสมุนไพรแต่ละอย่างด้วยความละเอียดถี่ถ้วน
หลังจากนั้น ชายวัยกลางคนก็หยุดและหันมามองหน้าซูเย่ “วิธีการเหล่านี้คือสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ไม่ยากเย็นอะไร แต่การจะนำไปปฏิบัติจริงให้ถูกต้องและแม่นยำนั้น จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์ในวงการแพทย์แผนจีนนานหลายปี”
“ไหน ๆ วันนี้เราก็มาอยู่ในตลาดขายสมุนไพรจีนแล้ว ฉันจะถือโอกาสนี้สอนเคล็ดลับอีกหลายอย่างให้เธอได้รู้”
“ขอบคุณมากเลยครับ อาจารย์”
ซูเย่พยักหน้า รีบจดจำข้อมูลที่หลี่เคอหมิงบอกออกมาทั้งหมดลงในหัวสมอง
ชายหนุ่มเดินเคียงข้างหลี่เคอหมิงตรงไปข้างหน้า
ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อย
เขาเจอเข้ากับแผงขายสมุนไพรเล็ก ๆ แผงหนึ่ง
มันเล็กมากจนแทบจะเรียกว่าเป็นแผงขายของไม่ได้ด้วยซ้ำ
ชายชราผู้เป็นเจ้าของแผงมีผมสีขาวโพลน แผงขายสมุนไพรของเขามีสินค้าอยู่เพียงชิ้นเดียว คือต้นเบญจมาศที่สวยงามหมดจดอยู่ในกระถางดอกไม้หน้าตาธรรมดา ๆ ใบหนึ่ง
ซูเย่จ้องมองดอกเบญจมาศด้วยดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
“เปิดผนึกดวงตาที่สาม!”
แล้วเขาก็เห็นพลังปราณธรรมชาติลอยขึ้นมาจากต้นเบญจมาศกระถางนี้
ซูเย่ปิดตาที่สามลงและเดินตรงเข้าไปที่แผงของชายชรา
ถึงต้นเบญจมาศในกระถางนี้จะไม่ได้จัดเป็นสมุนไพรระดับฟ้าประทาน แต่ก็ถือว่ามีดีกว่าดอกเบญจมาศทั่วไปที่วางขายในท้องตลาดหลายต่อหลายเท่า
“เถ้าแก่ เบญจมาศกระถางนี้ขายไหมครับ?”
ซูเย่สอบถาม
“ขายสิ ขายอยู่แล้ว”
ชายชราเบิกตาโต จ้องมองซูเย่ด้วยความพิศวง
“ขายเท่าไหร่ครับ?”
ซูเย่ชี้มือไปยังกระถางเบญจมาศเพียงหนึ่งเดียวบนแผง
“สองหมื่น” ชายชรายกมือขึ้นมาชูสองนิ้วพร้อมกับยิ้มแป้น
เมื่อได้ยินราคา
หลี่เคอหมิงที่ยืนอยู่ด้านข้างชายหนุ่มก็เลิกคิ้วขึ้นสูง เดินเข้ามาใช้สายตาตรวจสอบต้นเบญจมาศอย่างใกล้ชิด จากนั้นจึงได้หันหน้ามามองซูเย่ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
ต้นเบญจมาศกระถางเดียวเนี่ยนะขาย 20,000 หยวน?
“หมื่นนึงขายไหมครับ?”
ซูเย่พยายามต่อรอง
หลี่เคอหมิงทำตาโตมองหน้าลูกศิษย์ของตัวเองด้วยความเหลือเชื่อ ราคา 20,000 หยวนแพงเกินไปก็จริง แต่ 10,000 หยวนก็ใช่ว่าจะเป็นราคาที่ถูก ถึงต้นเบญจมาศต้นนี้จะดูสวยงามและมีลักษณะสมบูรณ์แบบในทุก ๆ ด้าน แต่ถ้าเดินเข้าไปซื้อในตลาดดอกไม้ มันคงมีราคาไม่เกิน 50 หยวนแน่นอน
“หุหุ…”
ชายชราปรายตามองซูเย่ด้วยความไม่แยแส “ถ้าคุณรู้คุณค่าที่แท้จริงของมัน คุณก็ต้องรู้ว่าแค่ 20,000 นี่ถือว่าถูกมากแล้ว”
ซูเย่ยิ้มฝืด
“ก็ได้ครับ ผมจะซื้อเบญจมาศกระถางนี้”
ซูเย่มองหน้าชายชราและกล่าวต่อ “แต่ผมอยากรู้ด้วยว่าเถ้าแก่ไปหามันมาจากไหน”
“หืม?”
เมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่ม แววตาที่ขุ่นมัวของชายชราก็เป็นประกายแจ่มใสขึ้นมาทันที เขาสำรวจมองซูเย่ตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง ก่อนตอบว่า
“ได้สิ ไม่มีปัญหา”
หลังจากนั้น ชายชราก็หยิบโทรศัพท์หัวเหว่ยรุ่นล่าสุดออกมาพูดว่า “แอดมาเป็นเพื่อนฉันในวีแชทก่อน แล้วฉันจะส่งโลเคชั่นไปให้”