เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 22 สั่นคลอนวงการพิณผีผา (ตอนปลาย)
บทที่ 22 สั่นคลอนวงการพิณผีผา (ตอนปลาย)
แล้วอีกวันก็ผ่านพ้นไป
ขณะที่กำลังเรียนวิชาต่าง ๆ ที่ทางมหาลัยได้จัดให้ ชายหนุ่มจะใช้คัมภีร์และหนังสือโบราณต่างๆ ในราชวังแห่งความทรงจำ เพื่อเปรียบเทียบข้อมูลที่สอดคล้องกันของความรู้การแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนปัจจุบันที่ได้เรียนรู้จากในห้องเรียน
ซึ่งจุดประสงค์ที่ทำเช่นนั้นก็เพื่อปรับใช้ความรู้เหล่านี้ให้เป็นความรู้ที่ถูกต้องและใช้งานได้จริง
“บางทีฉันควรจะฝากตัวเป็นศิษย์กับใครซักคน”
คืนนี้ ซูเย่นั่งอยู่ในหอพักของตน เขาวางหนังสือเรียนลงพลางครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง
เนื้อหาที่อยู่ในหนังสือแบบนี้ล้วนเป็นความรู้ที่ตื้นเขิน และเขาก็รู้ว่าจะต้องทำอะไร ยังไง หมดแล้ว..
การแพทย์แผนจีนนั้นเป็นวิชาที่จะต้องเรียนรู้จากการปฏิบัติงานจริง และจะต้องมีผู้ที่สอนเพื่อให้สามารถเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น การแพทย์แผนจีนในสมัยก่อนนั้น จะส่งต่อวิชากันผ่านการสอนโดยอาจารย์หมอไปยังลูกศิษย์ผู้เป็นลูกมือ
ถ้าหากเขาสามารถเรียนรู้เรื่องแพทย์แผนจีนได้ด้วยการอ่านง่ายๆ เพียงอย่างเดียว ตอนนี้เขาก็คงเป็นสุดยอดปรมาจารย์แห่งแพทย์แผนจีนไปแล้ว
แต่ใครกันนะ… ที่จะสามารถเป็นคนๆ นั้นที่เขาต้องการได้?
ซูเย่เคาะนิ้วลงบนโต๊ะอย่างครุ่นคิด แต่แล้วก็มีใบหน้าของคน ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นในความคิดของเขา
อาจารย์หลี่เคอหมิง
เหตุผลที่เขาได้แอบไปนั่งเรียนในครั้งนั้น ก็เพราะเขาพบว่าอาจารย์หลี่เคอหมิงนั้นเป็นอาจารย์แพทย์ระดับต้น ๆ และมีความสามารถที่ไม่อาจมองข้ามได้เลยทีเดียว
แต่..เขาจะขอให้คน ๆ นั้นมาสอนเขาได้ยังไงล่ะ?
ซูเย่อดคิดไม่ได้
“ฮะฮะฮ่า! มาจนได้!”
จู่ ๆ ซูชือที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะคอมพิวเตอร์ก็หลุดหัวเราะออกมา
เขาชี้ไปยังหน้าจอก่อนจะพูดคุยกับซูเย่ที่อยู่ห่างกัน “ฉันก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าทำไมถึงไม่มีข่าวเรื่องที่นายทำไปเมื่อวาน แต่ดันกลายเป็นว่ามันโดนเอามาโพสต์ให้เป็นประเด็นวันนี้ต่างหาก!”
ซูเย่เอียงตัวชะเง้อมองจากไกล ๆ
สำหรับคนอื่นแล้วคงจะเป็นการยากที่จะเห็นถ้อยคำบนหน้าจอด้วยระยะขนาดนี้ แต่กับเขาที่มีประสาทสัมผัสที่แหลมคมนั้นสามารถเห็นทุกตัวอักษรได้อย่างชัดเจน
“น่าทึ่งจริง ๆ! ที่มีคนแบบนี้อยู่ในมหาวิทยาลัยแถบนี้ด้วย…”
ซูเย่ยิ้มราบเรียบเป็นคำตอบ เขาไม่ได้สนใจเรื่องความเด่นดังหรือการตกเป็นเป้าสายตาอะไรแบบนั้นเท่าไหร่ และตัดสินใจที่จะทำสมาธิต่อ
ในขณะที่ซูชือดูมีความสุขเป็นอย่างมากที่เพื่อนของเขาได้เป็นคนเด่นคนดัง
คลิปวิดีโอที่ซูเย่ได้สาธิตวิธีการเล่นพิณผีผาได้ถูกโพสต์ในวันนี้
แต่การได้เสนอหน้าเป็นจุดเด่นในโลกออนไลน์นั้นก็เป็นเพียงเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่เป็นประเด็นหลักของเรื่องนี้คือเหตุการณ์นี้สำคัญต่อวงการพิณผีผามากเลยทีเดียว
โลกของสังคมผู้เล่นพิณผีผาถึงกับสั่นสะเทือนด้วยวิดีโอนี้!
วิดีโอนี้ได้แสดงเทคนิคการเล่นจากราชวงศ์สมัยก่อนจริง ๆ หรือไม่?
นับตั้งแต่เมื่อวาน จนถึงวันนี้ทั้งวันทั้งคืน เหล่าปรมาจารย์แห่งวงการพิณผีผาจำนวนนับไม่ถ้วน ได้เข้าร่วมหารือพูดคุยกันอย่างดุเดือด
ผลจากการพูดคุยหารือนี้ จบลงที่ข้อสรุปว่าการบรรเลงด้วยเทคนิคที่ซูเย่ได้แสดงไปเหล่านั้น อาจเป็นของจริง!
ผลลัพธ์ที่ออกมานี้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนเป็นอย่างมาก
มันเป็นไปได้อย่างไร?
ทุกคนต่างสงสัยในเรื่องเดียวกัน แต่ก็ไม่อาจหาข้อแก้ต่างในเรื่องนี้ได้เลย
“เข้ โคตรเจ๋งเลย? แน่ใจนะว่านั่นไม่ใช่เด็กคณะดนตรี แต่เป็นเด็กเรียนหมออะ?”
“นี่ใช่ซูเย่ที่เล่นกีต้าร์กับพิณผีผาเมื่อวันก่อน ๆ ป่ะ? เมื่อวานนี้เราโดนเชิญไปงานสัมมนาเหมือนกัน ดูเป็นเรื่องใหญ่มากเลย?”
“น่าชื่นชม น่าชื่นชม!”
ซูชือหัวเราะคิกคักขณะที่นั่งอ่านความคิดเห็นมากมายในกระทู้
เขาตั้งใจจะส่งกระทู้นี้ไปยังอีกฟอรัมหนึ่งของบอร์ด ซึ่งเป็นส่วนที่เกี่ยวกับแพทย์แผนจีนของมหาวิทยาลัยจี้หยาง ด้วยความคาดหวังที่จะอวดให้ผู้อื่นเห็นถึงความสามารถของนักศึกษาในคณะวิจัยสมุนไพร
ด้วยเหตุนั้น เพียงแค่คลิ๊กเดียว กระทู้ดังกล่าวนี้ก็ถูกส่งไปยังส่วนอื่นในทันที
“นี่น่ะแค่เริ่มต้นเท่านั้น ขอฟังเสียงชื่นชมงาม ๆ อีกซักหน่อยนะคร๊าบบ”
ซูชือรีบเลื่อนลงไปดูพื้นที่แสดงความคิดเห็นด้านล่างทันที ความคิดเห็นที่ปรากฏขึ้นมาล้วนตอบรับอย่างดี และต่างชื่นชมที่พวกเขาเป็นหน้าเป็นตาให้กับคณะวิจัยสมุนไพรจีนและมหาวิทยาลัยอย่างภาคภูมิ
แต่ไม่ทันไรทุกอย่างก็กลับตาลปัตร
สีหน้าที่แสนสุขใจของซูชือถูกแทนที่ด้วยสีหน้าฉุนเฉียว
“อยากได้ซีนขนาดนั้นเลยเหรอ? ที่เอ็งมาอยู่ตรงนี้ได้ก็เพื่อเรียนวิจัยสมุนไพรนะเว้ย ไม่ใช่มาอวดเอาหน้าแบบนี้! ถ้าชอบเล่นพิณผีผาอะไรนั่น ก็ไปที่สถาบันดนตรีซิงเหมิงโน้น มาเรียนที่จี้หยางนี่ทำไมวะ ถ้ามีเวลาให้ทำอะไรแบบนั้นก็ควรจะเอามาเรียนป่ะ? ถ้ายังทำตัวลอยชายแบบนี้อยู่ คณะเอ็งได้โดนปิดแหง ๆ!”
“นึกดูดี ๆ แล้วนี่มันความอับอายของจี้หยางเลยนะเว้ย แทนที่จะทำอะไรที่มันมีประโยชน์หรือตรงกับเรื่องที่ตัวเองเรียนให้มันดูน่าภูมิใจ แม่งสะเออะไปเสนอหน้า ม.อื่น แล้วไงวะ ถ้าทำแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไรกับคณะตัวเองก็ไร้ค่าเสียเวลาเปล่า น่าอายชิบหาย “
“ว้าว ๆๆ ฉันนี่มันเก่งจริง ๆ ไม่ต้องมีพื้นฐานก็มาเรียนมหาลัยแพทย์ได้ โคตรจีเนียสเลย คณะที่ฉันเรียนก็โคตรเจ๋งเลย โอ้ย ๆ… เป็นไงล่ะโดนตบหน้าด้วยความจริงอันโหดร้ายอะ 55555+”
หลังจากนั้นก็มีข้อความเยาะเย้ย ประชดประชัน และด่าทอจากนักเรียนแพทย์อย่างไม่หยุดหย่อน หัวใจของซูชือกระตุกทุกครั้งที่อ่านข้อความแต่ละประโยค
“เฮ้ย ๆ ไม่เอา ๆ อย่ารังแกเด็กสิ ถึงยังไงพวกนายก็ได้เรียนจบไปเป็นหมอรักษาคนอยู่แล้วนี่ ก็ตั้งใจเรียนต่อไปเถอะ”
ซูชือจำหมายเลขไอดีของความคิดเห็นนี้ได้ เขาคือรุ่นพี่ในคณะวิจัยสมุนไพรจีนนั่นเอง
แต่ไม่นานนัก ความคิดเห็นนี้ก็ถูกกลบไปด้วยข้อความประชดแดกดันที่มากมายจนท่วมท้น
เหล่านักศึกษาแพทย์แผนจีนต่างเพิ่มระดับการแดกดันให้มากขึ้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่ารังแกเด็ก แล้วไงต่ออ่ะ ไม่เอาให้ครบเลยล่ะ อย่ารังแกผู้ใหญ่ อย่ารังแกคนแก่ อย่ารังแกคนท้อง อย่ารังแกคนพิการ ไม่ปกป้องให้มันครบ ๆ หน่อย ไม่ยุติธรรมเลย”
“ตั้งใจอะไรไว้ก็ควรจะทำตามความตั้งใจนั้นตั้งแต่แรกปะ? แบบนี้มันย้อนแย้งนะ ตั้งใจมาเรียนวิจัยสมุนไพร แต่ดันไม่สนใจเรื่องที่เรียน พวกเราเรียนกันเป็นจริงเป็นจังนะเว้ย ถ้าพวกแกไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้น ก็ไสหัวไปเหอะ เสียเวลาเปล่า ๆ!”
“ทั้ง ๆ ที่อุตส่าห์สอบผ่านมาจนได้เรียนแล้ว ก็ควรจะตั้งใจเรียน ถ้ายังมีจิตสำนึกอยู่บ้างก็คงไม่ทำตัวแบบนี้ อย่าหวังเลยว่าจะได้ A+ อะ ได้ F ไปแดกแน่ ๆ!”
เมื่อได้เห็นเช่นนั้น
ซูชือก็ระเบิดความอัดอั้นออกมา
“อ๊ากกก! ไอ้บัดซบเอ้ย!”
ดวงตาของซูชือแทบลุกเป็นไฟ เขาแผดเสียงออกมาอย่างโกรธเกรี้ยวจนทำให้จินฟานและซูเย่ที่อยู่ข้างๆ กันนั้นถึงกับสะดุ้งเฮือกตกใจ
“เข้าไปในกระทู้เดี๋ยวนี้! เราต้องการกำลังเสริมในสงครามนี้! ไอ้พวกตูดหมึกนี่น่ารำคาญจริง ๆ เลย! “
ซูชือกำหมัดเหวี่ยงไปมาอย่างไม่พอใจ จินฟานที่เห็นดังนั้นจึงรีบเข้าสู่ระบบเว็บบอร์ดรวมมิตรมหาลัย ก่อนจะเลือกกดเข้าไปยังส่วนของแพทย์แผนจีน แต่ไม่ทันจะได้เข้าไปเช็คในกระทู้ใดๆ ก็มีอีกกระทู้หนึ่งปรากฏขึ้นในหน้าหลักของส่วนแพทย์แผนจีน
“นักศึกษาอันดับหนึ่งจากคณะแพทย์แผนจีน ขอท้านักศึกษาอันดับหนึ่งจากคณะวิจัยสมุนไพร ซูเย่!”
แค่จั่วหัวข้อก็เห็นได้ชัดแล้วว่า…
นี่คือการประกาศสงคราม!
จินฟานและซูชือขมวดคิ้วจนหน้าย่นก่อนจะรีบเปิดเข้าไปอ่านในโพสต์
“การได้เป็นแพทย์ที่ช่วยเหลือผู้คนต่าง ๆ เป็นความฝันของฉันตั้งแต่ฉันยังเด็ก และฉันก็ชอบอ่านหนังสือเกี่ยวกับการแพทย์มากด้วย ในตอนที่ฉันได้รับจดหมายตอบรับเข้าเรียนของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง มันทำให้ฉันมีความสุขมากจนนอนไม่หลับไปทั้งคืน”
“ฉันตัดสินใจมาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ด้วยความใฝ่ฝันที่จะเล่าเรียนเกี่ยวกับวิชาการแพทย์ ฉันตั้งใจเรียนอย่างสุดตัวสุดความสามารถที่ฉันจะทำได้ ในทุกครั้ง ทุกวิชา แต่แล้วฉันก็พบว่ามีผู้คนจำนวนหนึ่ง ที่ไม่ได้เรียนเกี่ยวกับแพทย์ทางตรง แต่ก็สามารถได้รับใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ เพียงแค่เรียนการวิจัยสมุนไพรจีนครบห้าปี และใช้เวลาอีกแค่ห้าปีเท่านั้นในการครอบครองปริญญาเอก ขณะที่ในเวลาเดียวกันนั้น ฉันก็ยังคงเป็นเพียงนักศึกษาแพทย์ปริญญาตรีธรรมดาคนหนึ่ง”
“แต่ที่ฉันสงสัยก็คือ ทำไม!?”
“ทั้งที่เราควรจะใช้เวลาเท่ากัน แต่พวกนายกลับได้อะไรที่มากกว่าในตอนท้าย?”
“ยิ่งไปกว่านั้น นายยังมีเวลามากพอที่จะไปเสนอหน้าแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องดนตรีอีกซะอย่างนั้น ไม่ใช่ว่านายควรจะใช้เวลาไปกับเรื่องเล่าเรียนและการศึกษาให้มากกว่านี้รึไง? “
“คนที่ไม่พยายามอะไรเลยแบบนายน่ะ มันไม่น่ายอมรับเลยซักนิด!”
“ชื่อจริงของฉันคือลั่วกัง! ขอท้า ซูเย่ นักศึกษาอันดับหนึ่งของคณะวิจัยสมุนไพรจีน! จงพิสูจน์ความแข็งแกร่งของนายมาซะ!”
“ซูเย่ นายบอกคนอื่นไว้ว่านายเคยอ่านตำราแพทย์โบราณมาแล้วกว่าห้าสิบเล่มสินะ?”
“ฉันเองก็เหมือนกัน หลังจากที่ได้อ่านตำราแพทย์มาแล้วนับไม่ถ้วน มาวัดกันได้เลย!”
“กล้ารึเปล่าล่ะ?”
“จาก นักศึกษาแพทย์ปีหนึ่งแห่งมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง ลั่วกัง!”