เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 62 ความคิด ชีวิต โลก
บทที่ 62 ความคิด ชีวิต โลก
“ทุกคนตายกันไปหมดแล้ว ชีวิตของฉันยังจะมีความหมายอะไรอีก?”
“อีก 100 ปีหลังจากนี้ เพื่อนสนิททุกคนของเราในปัจจุบันก็คงตายกันไปหมด แล้วการมีชีวิตอยู่ยืนยาวจะมีความหมายอะไร?”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ยกขวดสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง
ดวงตาของเขาพร่ามัวด้วยความสับสน
ลมภูเขาที่โชยพัดผ่านแผ่วเบา
บรรยากาศโดยรอบตกอยู่ในความเงียบ
ซูเย่นั่งมองอาคารบ้านเรือนที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล เช่นเดียวกับท้องถนนซึ่งเต็มไปด้วยรถยนต์สัญจรอยู่มากมาย
ในที่สุด ดวงตาของเขาก็เป็นประกายวาวโรจน์ขึ้นมา
ซูเย่ยกขวดสุราขึ้นกระดกอีกครั้ง
ก่อนที่จะพบว่าของเหลวที่อยู่ในนั้นหมดเกลี้ยงแล้ว
เขาจึงลุกขึ้นยืน และหยิบสุราอีกขวดมาเปิดฝาออก
“คำนับปฐพี”
เขาเทสุราราดรดพื้นดิน
แล้วจึงยกสุราขึ้นดื่มหนึ่งอึก
แววตาของเขายิ่งเป็นประกายสว่างไสวมากขึ้น
“คำนับบรรพบุรุษ!”
ชายหนุ่มสาดสุราขึ้นไปในอากาศ
ก่อนที่เขาจะเงยหน้าดื่มสุราจากขวดอีกครั้ง
จิตใจของซูเย่เริ่มกลับมาอยู่ภายใต้ความสงบดังเดิม
“คำนับตัวเราเอง!”
เขายกสุราขึ้นดื่มจนหมดขวด
ในที่สุด ความเศร้าที่กัดกินจิตใจก็สลายหายไป
นี่คือวิธีการที่ซูเย่ใช้ผ่านความทุกข์ยากตลอดเวลา 2500 ปี
เวลาสองพันห้าร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว ซูเย่เข้าใจมาตลอดว่าตนเองไม่มีความรู้สึกอื่นใดอีกแล้ว แต่สุดท้าย ชายหนุ่มถึงได้ตระหนักว่าอย่างไรเสียเขาก็ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
“ไหน ๆ ก็อยู่มาถึง 2500 ปีแล้ว อยู่ต่ออีกหน่อยจะเป็นไรไป”
“ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่ เพื่อน ๆ และคนที่เรารักทุกคนจะต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ว่าเกิดอุปสรรคใดขึ้นก็ตาม เราก็ต้องเอาชนะมันไปให้ได้!”
ซูเย่กำชับกับตนเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ดวงตาของเขาเป็นประกายเจิดจ้า!
เขาโยนความเศร้าโศก และความวิตกกังวลทิ้งไว้บนยอดเขาลูกนี้
แล้วเดินกลับลงมาจากภูเขา มุ่งหน้าตรงไปสู่มหาวิทยาลัย
แต่จังหวะที่ลงมาถึงเชิงเขานั้นเอง ซูเย่พลันต้องหยุดชะงักอย่างกะทันหัน
“เมื่อกี้นี้มันอะไรกันนะ?”
ชายหนุ่มหันหน้าไปมองยังทิศทางตรงกันข้าม แล้วเขาก็พบว่าพื้นที่ตรงนั้นมีรัศมีผิดปกติกำลังส่องแสงสว่างเรืองรอง
ในราชวังแห่งความทรงจำ
ซูเย่ปลดปล่อยพลังจิตของตนเองออกมาชั่วคราว
แล้วคลื่นพลังจิตอันแรงกล้าก็แผ่ออกไปสำรวจรอบบริเวณในวินาทีต่อมา
ก็สามารถตรวจพบที่มาของรัศมีปริศนานั้นได้ไม่ยาก
เรื่องที่ว่าต้นโซวูเก่าแก่มักขึ้นอยู่ตามภูเขาคงไม่ใช่เรื่องโกหกสินะ
ซูเย่หัวใจกระตุกวูบ
เขารีบเดินตรงไปยังต้นกำเนิดแหล่งพลังงานนั้นโดยเร็ว
แต่เมื่อไปถึงพื้นที่ซึ่งเป็นจุดหมาย
ชายหนุ่มก็ต้องแปลกใจอีกครั้ง
เพราะว่าพลังงานที่แผ่ออกมาเมื่อสักครู่นี้ได้หายลับไปแล้ว
“เบิกเนตรสวรรค์!”
ซูเย่ส่งเสียงคำรามในลำคอแผ่วเบา พร้อมกันนั้นมวลพลังสายหนึ่งก็หมุนเวียนอยู่บนหน้าผาก
ตรงกลางระหว่างหัวคิ้วทั้งสองข้าง
บังเกิดลำแสงสว่างไสว
แล้วดวงตาที่สามของชายหนุ่มก็เปิดออกทันที
ภาพทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ซูเย่ใช้ตาพิเศษสำรวจพื้นที่โดยรอบบริเวณเชิงเขาทั้งหมด
ในไม่ช้า ชายหนุ่มก็พบเห็นสิ่งผิดปกติ
ฝั่งหนึ่งของบริเวณตีนเขา มีม่านพลังกึ่งโปร่งแสงกำลังลอยออกมาจากต้นไม้ต้นหนึ่ง
“ต้นวอลนัท?”
เมื่อพบเห็นว่าเป็นต้นไม้ชนิดใด ซูเย่ก็ต้องเบิกตาโพลงด้วยความตกใจขึ้นมาทันที
เขากระโดดเข้าไปหาต้นไม้ต้นนั้น และพบว่านี่เป็นต้นวอลนัทตามที่คิดจริง ๆ
ม่านพลังกึ่งโปร่งแสงหมุนวนอยู่รอบบริเวณต้นไม้ ห่อหุ้มเป็นชั้นเปลือกนอก เสมือนกับหัวกะหล่ำที่เคยถูกปลูกอยู่บนระเบียงห้องพักของเขา
“นี่แกก็ดูดซับพลังปราณธรรมชาติเข้าไปเหมือนกันใช่ไหม?”
ซูเย่ถามด้วยความตกตะลึง
การที่หัวกะหล่ำจะดูดซับพลังปราณธรรมชาติเข้าไปไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะซูเย่ต้องโคจรพลังเพื่อดูดซับมันทุกวันอยู่แล้ว กะหล่ำหัวนั้นจึงพลอยดูดซับพลังเข้าไปด้วยโดยอัตโนมัติ
แต่ต้นวอลนัทต้นนี้ตั้งอยู่ในภูเขาห่างไกลผู้คน ทว่ามันกลับสามารถดูดซับพลังปราณธรรมชาติได้ด้วยตนเอง นี่จึงเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง
“น่าจะเอาไปใช้ทำเป็นยาได้เหมือนกันแฮะ”
ซูเย่มองต้นวอลนัทที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
ปรากฏว่าหนึ่งในวัตถุดิบสำหรับการหลอมโอสถเสริมปราณที่เขาต้องการนั้น ก็มีวอลนัทเป็นส่วนประกอบสำคัญเช่นกัน และถ้าเก็บลูกวอลนัทไปจากต้นไม้ต้นนี้ มันก็คงมีคุณภาพดีกว่าลูกวอลนัทที่ซื้อมาจากท้องตลาดทั่วไป
การพบเจอครั้งนี้คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญเสียแล้ว
ชายหนุ่มเดินเข้าไปสำรวจดูอย่างใกล้ชิด
“อีกประมาณอาทิตย์หนึ่งก็สุกได้ที่แล้ว”
“ถึงตอนนั้นเราค่อยกลับมาเก็บดีกว่า”
ว่าแล้วเขาก็จดจำตำแหน่งของต้นวอลนัทต้นนี้ให้ขึ้นใจ จากนั้นจึงหันหน้าไปสำรวจมองพื้นที่ข้างเคียงอีกครั้ง
“ขนาดต้นวอลนัทยังดูดซับพลังปราณธรรมชาติได้สำเร็จ แถวนี้มันก็น่าจะมีต้นโซวูเก่าแก่อยู่บ้างสิ”
“คงต้องหาเวลากลับมาสำรวจป่าแถวนี้อีกสักครั้ง”
พูดจบ ชายหนุ่มก็หมุนตัวเดินจากไป
การดื่มสุราก่อนหน้านี้ไม่ส่งผลต่อสติสัมปชัญญะของซูเย่แม้แต่น้อย เมื่อกลับมาถึงหอพัก เขาก็เริ่มต้นอ่านตำราแพทย์แผนจีนอย่างบ้าคลั่ง
เนื่องจากยังคงเหลือเวลาอยู่ไม่น้อยก่อนที่จะเริ่มเล่นเกมประจำคืนนี้ จินฟานกับซูชือจึงมานั่งทบทวนตำราเรียนเป็นเพื่อนซูเย่
ถึงแม้ทั้งสองหนุ่มอยากเล่นเกมใจจะขาด แต่พวกเขาก็ยังคงไม่ลืมเลือนหน้าที่ของการเป็นนักศึกษาคณะวิจัยสมุนไพรจีน
ในเวลาเดียวกันนี้
ทีมสืบสวน 5 คนซึ่งนำโดยเจ้าหน้าที่หมายเลข 197 หวังเหา ได้ปรากฏตัวขึ้นในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง
ครั้งนี้ พวกเขามาสืบสวนอย่างเป็นทางการ เพื่อตรวจสอบข้อมูลของผู้ครอบครองหมวก VR ทุกคนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้
เมื่อมีตำแหน่งก็ต้องใช้ให้คุ้มค่า!
ณ ห้องทำงานบนชั้นสองของตึกสำนักงาน ฝั่งตรงข้ามของถนนย่านการค้า
“จากข้อมูลที่พวกเราสืบสวนได้มาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าคนที่ขโมยหมวก VR ไปจะไม่ใช่คนเลว”
หวังเหาพูดออกมาด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ “แต่ถึงจะเป็นคนดีแค่ไหน เราก็ต้องหาตัวเขาให้เจอ! ต้องไม่ลืมว่าพวกเราเป็นหน่วยสืบสวนผู้ใช้พลังปราณ ในเมื่อเขามีเจตนาฝึกวิทยายุทธ์ ก็ต้องลงทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย ใครฝ่าฝืนกฎระเบียบข้อนี้ จะต้องถูกจับกุมโดยทันที!”
บรรดาลูกน้องพยักหน้ารับทราบ
ผู้ใช้พลังปราณที่ไม่ยอมขึ้นทะเบียนกับทางราชการ จะถูกนับว่าเป็นภัยคุกคามต่อประเทศชาติ
“ส่วนปัญหาที่เรากำลังพบเจออยู่ก็คือ”
หวังเหายกมือขึ้นนวดขมับตนเองด้วยความหมดหวัง “เราตรวจไม่พบรอยนิ้วมืออยู่บนกระดาษข้อความ แต่ลายมือเหล่านั้นบอกชัดว่าน่าจะเป็นคนที่มีการศึกษาสูงส่ง ไม่น่าใช่นักศึกษาธรรมดาทั่วไป”
“มิหนำซ้ำ เขายังดัดแปลงหมวก VR ในแบบฉบับของตัวเอง เราจึงยังไม่รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นใครกันแน่ เรารู้เพียงอย่างเดียวว่าเขาใช้นามแฝงในเกมชื่อ X”
“ตอนนี้ X ขึ้นมาถึงเลเวล 20 แล้ว เท่ากับว่าเขาเป็นผู้ใช้พลังปราณระดับที่ 1 โดยไม่ขึ้นทะเบียน ดังนั้น เราต้องหาตัวเขาให้เจอโดยเร็วที่สุด!”
“รายชื่อที่พวกเราต้องคัดเลือกอยู่ที่ไหน?”
ตอนที่ถามคำถามนี้ หวังเหาหันกลับมามองหน้าจูอวี่
จูอวี่ยกกระดาษปึกใหญ่ขึ้นมาจากข้างตัวพร้อมกับตอบว่า
“นี่คือรายชื่อของผู้เล่นทุกคนที่ออกจากระบบไปเมื่อไอดี X ปรากฏตัวขึ้นในเกมครั้งสุดท้ายค่ะ”
หลังจากนั้น หญิงสาวก็หยิบกระดาษมาอีกปึกใหญ่ และวางตั้งไว้ข้าง ๆ กันบนโต๊ะประชุม “ส่วนนี่คือรายชื่อของผู้เล่นเกมที่ไม่ได้เข้าระบบในคืนนั้น ผู้กองสามารถตรวจสอบได้เลยค่ะ”
พูดจบแล้ว จูอวี่ก็นำกระดาษปึกใหม่ออกมาตั้งไว้เป็นกองที่สาม “ส่วนนี่คือรายชื่อของทุกคนที่เราสมควรตรวจสอบ มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีเจ้าหน้าที่อยู่ 90,000 คน และมีนักศึกษาอยู่ 160,000 คน หลังจากคัดแยกข้อมูลเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ แล้ว ก็เหลือจำนวนผู้ต้องสงสัยให้เราตรวจสอบอีกประมาณ 40,000 คนค่ะ”
กองกระดาษเหล่านั้นถูกนำมาตั้งเรียงไว้บนโต๊ะประชุมอย่างสวยงาม
กองพะเนินอยู่ตรงหน้าเจ้าหน้าที่ทีมสืบสวนทั้งห้า
ทุกคนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะประชุมมองกระดาษหลายกองเหล่านั้น แล้วก็หันมามองหน้ากันเลิกลั่ก
“งานใหญ่เหมือนกันนะครับเนี่ย”
เสี่ยวจุนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “พวกเราคงไม่ต้องทำงานทั้งหมดนี้เพียงทีมเดียวใช่ไหมครับ?”
“อีกอย่าง ดูเหมือนคนร้ายจะมีพลังแข็งแกร่งไม่ใช่เล่น ผมว่าในทีมพวกเราไม่มีใครสู้เขาได้เลยนะครับ”
ได้ยินดังนั้น หวังเหาก็ขมวดคิ้วนิ่วหน้า
อันที่จริงแล้ว
คดีนี้เป็นคดีที่ยากต่อการรับมือที่สุด
“ได้ตรวจสอบข้อมูลกับสถานีตำรวจท้องที่แล้วหรือยังคะ?”
หวังเหาหันกลับมาทางจูอวี่ผู้เป็นคนถาม “ผมทำเรื่องขอดูใบลงทะเบียนซื้อหมวก VR ของทุกคนแล้ว แต่ทางนั้นยังไม่ได้ตอบอะไรมา คุณพอจะช่วยเข้าไปขโมยมาให้เราหน่อยได้ไหม?”
“ไม่ได้ค่ะ”
นักสืบหญิงส่ายศีรษะปฏิเสธ
ไม่มีคำอธิบายอะไรเพิ่มเติม
แต่ทุกคนก็เข้าใจว่าทำไมหัวหน้าทีมถึงต้องการทำเช่นนั้น
เพราะถ้าพวกเขามีรายชื่อผู้ลงทะเบียนซื้อหมวก VR อยู่ในมือ ทีมสืบสวนก็จะรู้แล้วว่าใครบ้างที่เป็นผู้ต้องสงสัย
ผู้ต้องสงสัยก็คือผู้ลงทะเบียนที่ยังไม่ได้รับหมวกนั่นเอง
“ถ้างั้นเราก็คงต้องหาวิธีรวบรวมหลักฐานจากทางอื่น และหวังว่าครั้งต่อไปที่ X เข้าระบบมาเล่นเกมอีกครั้ง เราจะสามารถหาตัวเขาพบ!”
หวังเหาปรบมือเรียกขวัญกำลังใจของทุกคน และทำการสันนิษฐานต่อไปว่า “ผู้ใช้พลังปราณขั้นแรกไม่น่ามีความแข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ผมว่าเขาต้องมีพลังสูงกว่านั้นแน่ อย่าลืมสิว่าเขาใช้เวลาเพียง 10 กว่าวันก็เล่นเกมจนถึงเลเวลที่ 20 ได้แล้ว และนี่คือเรื่องที่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จมาก่อน”
“สิ่งสำคัญก็คือเรารู้แล้วว่าตอนนี้ผู้เล่น X ใช้หมวกที่ผ่านการดัดแปลงนอกระบบ ถ้าเขาล็อกอินเข้ามาเล่นเกมอีกครั้ง เราก็จะสามารถระบุตำแหน่งของเขาได้ทันที”
พูดมาถึงตรงนี้
สีหน้าของผู้กองหนุ่มก็ปรับเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น “และเราจะปล่อยให้เขาลอยนวลต่อไปไม่ได้อีก!”
สมาชิกทีมสืบสวนทุกคนพยักหน้า
นี่เป็นภารกิจที่ทั้งใหญ่และหินเหลือเกิน
ทันใดนั้น
“ผู้กองพอจะมีหยกเหลืออีกสักชิ้นเอามาล่อเขาไหมล่ะครับ?”
เสี่ยวจุนถามออกมาด้วยความสงสัย
ก่อนหน้านี้ หวังเหายังมีสีหน้าปกติดีทุกประการ แต่เมื่อเสี่ยวจุนพูดถึงหยกปราณบริสุทธิ์ขึ้นมา สีหน้าของผู้กองหนุ่มก็แปรเปลี่ยนไปจากเดิมมากแล้ว
ถ้าไม่มีอะไรจะพูด ก็สมควรอยู่เงียบ ๆ ไปซะ!
แม้ว่าหยกปราณบริสุทธิ์ชิ้นนั้นจะมีขนาดเล็กจ้อยเท่ากับเล็บมือ แต่มันก็มีมูลค่าที่ไม่สามารถประเมินได้ด้วยตาเปล่า!
หลังจากที่ต้องสูญเสียชิ้นหยกปราณบริสุทธิ์ให้กับหัวขโมยหมวก VR หวังเหาก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวันเต็ม
จะมีใครรู้บ้างว่า
กว่าจะได้หยกชิ้นเล็ก ๆ นั้นมาครอบครอง หวังเหาคนนี้ต้องผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้าง!
แต่สุดท้าย เขากลับปล่อยให้ผู้อื่นมาขโมยมันไปต่อหน้าต่อตาของตนเองได้อย่างง่ายดาย
หวังเหาจ้องมองลูกน้องทั้งสี่คนด้วยแววตาดุดัน ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะไม่ระเบิดคำหยาบออกมาจากปาก
เมื่อลูกน้องทั้งสี่คนเห็นสีหน้าของผู้เป็นหัวหน้าทีม พวกเขาก็รีบหลบสายตาทันที
สมาชิกหน่วยสืบสวนต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเช่นกันที่จะไม่ส่งเสียงหัวเราะออกมา
“พวกเราเริ่มทำงานกันได้แล้ว!”
หวังเหาออกคำสั่งในที่สุด
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่สืบสวนทั้งห้าก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจตามหน้าที่ของตนเอง
เหตุการณ์ดำเนินไปด้วยความสงบเรียบร้อยจนถึงคืนวันอังคาร แล้วพวกเขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
ขณะนี้ ทีมสืบสวนพิเศษสามารถบีบวงแคบผู้ต้องสงสัยจาก 40,000 คน ลดลงมาเหลือ 15,000 คนได้สำเร็จ
“พวกเราพยายามกันต่อไป!”
เมื่อเห็นความคืบหน้าของการสืบสวน หวังเหาก็รู้สึกมีความมั่นใจมากขึ้น และออกคำสั่งต่อไป “พวกเรายังเหลือเวลาอีก 10 วัน ต้องรีบตามจับตัวเขาให้ได้ก่อนถึงเส้นตายวันสุดท้าย!”
หลังจากนั้นไม่นาน
เจ้าหน้าที่สืบสวนทั้งห้าก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติภารกิจของตนเองอีกครั้ง
…
บ่ายวันพุธ เวลา 14:00 น.
เมื่อซูเย่เสร็จสิ้นจากคาบเรียนของตนเองเรียบร้อย เขาก็เดินทางตรงมาที่ศูนย์การแพทย์หมิงเต๋อตามปกติ แต่ก็ต้องพบกับความประหลาดใจเมื่อหลี่เคอหมิงไม่ได้รออยู่ที่นี่เหมือนทุกครั้ง
“อาจารย์หลี่ไม่อยู่เหรอครับ?”
ซูเย่มองหลี่ซินเอ้อที่นั่งรออยู่คนเดียวด้วยความเบื่อหน่าย
“พ่อฉันไปให้คำปรึกษากับหมอที่โรงพยาบาลใกล้ ๆ นี่แหละ คนไข้ไม่สะดวกที่จะเดินทางมาที่นี่ พ่อฉันก็เลยต้องไปบริการแบบเดลิเวอรี่ไงล่ะ”
หญิงสาวตอบกลับมาหน้างอ
ซูเย่พยักหน้าตอบรับว่าเข้าใจแล้ว
จังหวะนั้น เสียงโทรศัพท์ของหลี่ซินเอ้อก็ดังขึ้น
เมื่อหญิงสาวพบว่าผู้เป็นบิดาโทรมา เธอจึงรีบรับสายโดยทันที
หลังจากวางสายแล้ว หลี่ซินเอ้อก็หันมาพูดหน้าดุกับซูเย่ว่า
“ฉันจะไปส่งยาให้พ่อฉันก่อน ฝากดูแลที่นี่ด้วย”
“รับทราบแล้วครับ”
ซูเย่พยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย
หลี่ซินเอ้อรีบจัดยาตามที่บิดาสั่งด้วยความรวดเร็ว หลังจากนั้น เธอก็หิ้วกระเป๋าบรรจุยาจีนเดินออกไปจากศูนย์การแพทย์
แต่ทันทีที่หลี่ซินเอ้อเดินหายลับออกไปจากประตูหน้า คนไข้คนหนึ่งก็เดินสวนเข้ามา
ซูเย่ชำเลืองมอง และก็จดจำอีกฝ่ายได้ไม่ยาก
เขาเป็นผู้ป่วยชรา และเป็นแขกขาประจำของศูนย์การแพทย์แห่งนี้
ซูเย่ถึงกับจำได้ว่าคุณปู่คนนี้ป่วยเป็นโรคหอบหืด
“อ้าว วันนี้คุณหมอหลี่ไม่อยู่เหรอ เธอคงต้องเป็นคนรักษาฉันแล้วสินะ”
เมื่อเห็นหน้าซูเย่ ชายชราก็ยิ้มแย้มออกมาอย่างสบายใจ
“เดี๋ยวคุณหมอหลี่ก็กลับมาแล้วครับ ผมแค่อยู่เฝ้าของให้เขาเฉย ๆ”
ซูเย่ตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเช่นกัน
“แต่ก่อนหน้านี้เธอก็ได้รับความรู้จากคุณหมอหลี่มาพอสมควรแล้วนี่นา ฝีมือระดับเธอ คงสามารถรักษาฉันได้สบาย ๆ อยู่แล้ว”
ชายชราหยอกเย้าในขณะที่นั่งลงไปบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“ตอนนี้ผมยังรักษาคนไข้ตามใจชอบไม่ได้หรอกครับ”
ซูเย่ส่ายหน้า
ถึงเขาจะมีความสามารถในการรักษาคนไข้โดดเด่นเหนือผู้คนทั่วไป แต่ทุกอย่างที่ชายหนุ่มได้เรียนรู้มา ก็ยังห่างไกลจากผู้ที่ได้รับใบประกอบโรคศิลป์อย่างถูกต้องตามกฎหมายอีกมากนัก เพราะฉะนั้น เขาจะเริ่มรักษาคนไข้ตามอำเภอใจไม่ได้เด็ดขาด
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าการรักษาคนไข้โดยไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ ถือเป็นการทำผิดกฎหมายร้ายแรงชนิดหนึ่ง
เมื่อผู้ป่วยชราได้ยินดังนั้น เขาก็ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม บอกชัดว่ามีเจตนาเพียงต้องการเย้าแหย่ซูเย่เล่น ๆ เท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม
ในจังหวะที่ชายชรากำลังส่งเสียงหัวเราะด้วยความตลกขบขันอยู่นั้นเอง
“โอ๊ะ ฮื่อ…เฮือก”
บังเกิดเสียงลมหวีดหวิวดังออกมาจากด้านในลำคอของชายชรา
เขาทรุดนั่งหลังตรง หอบหายใจอย่างลำบาก หัวไหล่ และมือแข็งเกร็ง
เพียงเห็นเท่านี้ ซูเย่ก็รู้ว่าอาการหอบหืดของชายชรากำเริบขึ้นมาแล้ว!