เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 70 เรียกลมเรียกฝนมาดับไฟ
บทที่ 70 เรียกลมเรียกฝนมาดับไฟ
ท้ายหมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนเป็นที่ตั้งของเนินเขาลูกหนึ่งซึ่งเชื่อมต่อกับภูเขาอีกหลายลูกในแถบนั้น ซูเย่กระโดดขึ้นไปยืนบนที่สูง ทอดสายตามองภาพจากระยะไกล ขณะนี้เปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทุ่งข้าวโพดของชาวบ้านกลายเป็นทะเลเพลิงเกินควบคุมด้วยกำลังคน
เสียงร้องไห้ดังมาตามสายลมไม่ขาดสาย
ดวงตาของซูเย่พลันเป็นประกายสีทองคำ
“วูบ!”
ทันใดนั้นสายลมพัดวูบมาจากด้านหลังเนินเขา
ราชวังแห่งความทรงจำระเบิดแสงสว่างเจิดจ้า
ด้านในราชวัง ร่างจำแลงของชายหนุ่มกำลังหลับตานั่งขัดสมาธิ
แล้วในเวลาไม่กี่วินาที ร่างจำแลงของซูเย่ก็ขยายขนาดใหญ่โตมากขึ้น เพียงพริบตาเดียว ร่างจำแลงนั้นก็มีความสูงมากกว่า 10 เมตรแล้ว
เมื่อร่างจำแลงลืมตา ดวงตาของเขาก็ไม่มีตาดำ ไม่มีตาขาว แต่มันกลับกลายเป็นดวงตาสีทองคำบริสุทธิ์!
“สายลมสายฝนจงพัดพาดับความทุกข์โศก!”
ซูเย่เริ่มบริกรรมคาถา
แต่การบริกรรมคาถาครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา
เพราะในตอนนี้ ซูเย่ไม่ได้ส่งเสียงพึมพำอีกต่อไป แต่เขากลับส่งเสียงตะโกนออกมาสุดลำคอ
ร่างจำแลงในราชวังแห่งความทรงจำก็กำลังแสดงกิริยาเดียวกับเขาทุกประการ
“สายลมสายฝนจงพัดพาดับอัคคีภัย!”
คาถาศักดิ์สิทธิ์ยังคงออกมาจากปากของซูเย่อย่างต่อเนื่อง
เสียงของเขายิ่งดังมากขึ้น
“ครืน…”
เสมือนฟ้าดินรับรู้ถึงความต้องการของซูเย่
ท้องฟ้าที่เคยปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกควันจากเหตุเพลิงไหม้พลันมีเมฆดำก่อตัวขึ้นมาจากรอบทิศทาง
“สายลมสายฝนจงนำมาซึ่งความสุข!”
ยิ่งซูเย่บริกรรมคาถาออกมามากเท่าไหร่
สายลมก็ยิ่งปั่นป่วนรุนแรงมากเท่านั้น
เกิดแรงกดดันครอบคลุมลงมาจากผืนฟ้า
ควันไฟสลายหายไปเกือบครึ่งในพริบตาเดียว
บรรดาชาวบ้านที่กำลังร้องไห้ด้วยความหมดหวังพลันเงยหน้าขึ้นไปมองเห็นกลุ่มเมฆดำบนท้องฟ้า พวกเขาต่างรู้สึกได้ถึงแรงลมที่พัดกรรโชก ทันใดนั้นทุกคนก็ต้องเบิกตาโตด้วยความตื่นเต้น
“ขอบคุณสวรรค์…”
เมื่อเห็นดังนั้น หญิงสาวคนหนึ่งที่ใบหน้ามีคราบเขม่าเกาะติดจนดำปี๋ ก็คุกเข่าลงไปขอบคุณฟ้าดิน
เหล่าชายฉกรรจ์พากันถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนที่พวกเขาจะรีบตั้งสติ และร่วมมือกันตักน้ำมาดับไฟที่ยังหลงเหลืออยู่อีกครั้ง เมื่อมีแรงลมคอยช่วยเหลือ เปลวไฟก็ไม่ได้ลุกลามไปมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่พวกเขาจะช่วยกันดับไฟให้สำเร็จ
บนเนินเขาท้ายหมู่บ้าน
“ฟิ้ว ฟิ้ว…”
ในหูของซูเย่เต็มไปด้วยเสียงการเสียดสีตัวของมวลพลังปราณธรรมชาติ
แต่มันไม่ใช่พลังปราณที่มีอยู่รอบตัว มันคือพลังที่มาจากด้านในตัวเขาเองต่างหาก
เมื่อซูเย่ใช้คาถานี้ พลังปราณในตัวเขาก็จะถูกดูดออกมาหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพลังที่มีอยู่ในธรรมชาติรอบบริเวณ
“สายลมสายฝนจงพัดพาดับความทุกข์โศก…”
ชายหนุ่มเริ่มต้นบริกรรมคาถาตั้งแต่แรกอีกครั้ง
ครั้งนี้ระดับความรุนแรงของสายลมมากขึ้นกว่าเดิม
คาถาที่หลุดออกมาจากปากซูเย่ราวกับมีอานุภาพสามารถสะเทือนฟ้าสะท้านดิน
สายลมยิ่งโบกพัดรุนแรงมากขึ้น
“ครืน…”
เสียงฟ้าคำรามดังลงมาจากกลุ่มเมฆดำ
พลังลมปราณในร่างกายซูเย่ยังคงถูกดูดซับออกมาอย่างต่อเนื่อง
ในที่สุด
เสียงบริกรรมคาถาของเขาก็ดังก้องกังวานในอากาศ
ซูเย่ไม่สามารถทนรับไหวอีกต่อไป ใบหน้าของเขาซีดขาวมากแล้ว
แต่เขาจะหยุดตอนนี้ไม่ได้
ชายหนุ่มเหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นไปเหมือนจะค้ำยันท้องฟ้าเอาไว้ทั้งผืน
ร่างจำแลงของเขาก็กำลังทำกิริยานี้เช่นเดียวกัน
“ฝนจงตกมา ณ บัดนี้!”
ซูเย่แผดเสียงคำราม จังหวะเดียวกันนั้น เขากระชากฝ่ามือกลับลงมาจากท้องฟ้าด้วยความเร็วไว
“ครืน!”
บนท้องฟ้าปรากฏสายฟ้าแลบแปลบปลาบ
“ซู่…”
แล้วเม็ดฝนก็โปรยปรายลงมา
“ซ่า”
ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้าน ขาขวาของเขาทรุดลงไป ในขณะนี้ซูเย่จึงอยู่ในท่วงท่าคุกเข่าข้างเดียวบนพื้นดิน
ใบหน้าของเขาปราศจากสีเลือดจนน่ากลัว
ร่างจำแลงในราชวังแห่งความทรงจำเริ่มหดตัวกลับไปอยู่ในสภาพเดิมอีกครั้ง
การใช้คาถาเรียกลมเรียกฝนรอบนี้ ดูดกินพลังปราณของเขาไปเกือบหมดตัว
แสงสว่างในราชวังแห่งความทรงจำดับวูบไปถึงสองในสามส่วน
“สำเร็จแล้ว”
ซูเย่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเม็ดฝนตกกระหน่ำลงมาไม่หยุดยั้ง
นับว่าระดับพลังของเขาในปัจจุบัน เกือบไม่พอที่จะใช้คาถาเรียกลมเรียกฝนจริง ๆ
เพราะถ้ามีพลังไม่แข็งแกร่งมากพอ ก็ไม่มีทางทำให้ฝนตกลงมาได้เด็ดขาด
ราคาที่ต้องจ่ายไปสำหรับการใช้คาถาเรียกลมเรียกฝนในครั้งนี้ คือร่างกายของเขาที่ได้รับความเสียหายไม่ใช่น้อย
“คงต้องรวบรวมพลังกลับมาก่อนสักหน่อยแล้ว”
ซูเย่พลันนั่งลงขัดสมาธิ และเริ่มต้นการดูดซับพลังปราณธรรมชาติจากรอบตัว
พลังปราณธรรมชาติไหลรินเข้ามาสู่ร่างกายของเขาจากรอบทิศทาง
ซูเย่รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว
สายฝนใช้เวลาเพียง 10 นาที ก็สามารถดับไฟที่ไหม้ทุ่งข้าวโพดได้หมดสิ้น
“ติ้ง!”
เสียงแจ้งเตือนดังขึ้นในหัวของซูเย่
ทำให้หัวใจชายหนุ่มพองโตด้วยความปลาบปลื้ม
แต้มจิตสาธารณะ +1
“เดี๋ยวก่อนนะ”
ซูเย่ชะงักไปเล็กน้อย แต้มจิตสาธารณะอย่างนั้นหรือ?
เมื่อสักครู่นี้ เขาไม่ได้มีเจตนาช่วยเหลือใครเป็นพิเศษ แต่ดูเหมือนว่าการช่วยเหลือผู้คนส่วนรวม จะทำให้เขาได้รับสิ่งที่เรียกว่าแต้มจิตสาธารณะเป็นครั้งแรก แต่น่าเสียดายที่ชายหนุ่มยังไม่รู้ว่าแต้มจิตสาธารณะเหล่านี้คืออะไร และจะเก็บคะแนนไปทำไม
ดังนั้นซูเย่จึงทำได้เพียงเก็บความสงสัยทั้งหมดเอาไว้ในใจ และลากสังขารตนเองเดินกลับเข้าไปที่หมู่บ้านอีกครั้ง
เขากลับไปถึงจุดที่เคยเป็นที่ตั้งของบ้านไม้ ซึ่งเป็นสาเหตุของเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนี้
ความเปลี่ยนแปลงแรกที่ซูเย่สามารถสังเกตได้เลยก็คือ พื้นที่ซึ่งเคยเป็นทุ่งข้าวโพดกว้างขวาง ขณะนี้มันกลับกลายเป็นพื้นที่โล่งเตียน และชาวบ้านกำลังยืนจับกลุ่มอยู่ในบริเวณนั้น
มีชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งกำลังแยกย้ายกันไปสำรวจดูด้วยความระมัดระวัง ว่ายังเหลือประกายไฟปะทุขึ้นอยู่ที่ใดบ้างหรือไม่
ในขณะที่ชาวบ้านส่วนใหญ่เมื่อพบเห็นพื้นที่โล่งเตียนเบื้องหน้า พวกเขาก็คุกเข่าลงร้องไห้ด้วยความเศร้าโศก โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นหญิงสาว พวกเธอถึงกับสะอื้นไห้ด้วยความหมดหวังตลอดเวลา
“อีกไม่กี่วันก็จะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้วแท้ ๆ แต่ทุกอย่างก็หายวับไปในพริบตาเดียว พวกเราไม่เหลืออะไรอีกแล้ว”
“พวกเราทำอะไรผิดนักหรือไง? ทำไมสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งเราด้วย รอให้พวกเราเก็บเกี่ยวข้าวโพดพวกนี้เสร็จก่อนก็ไม่ได้”
เสียงร้องไห้ดังระงมมาจากรอบทิศทาง
เปลวไฟถูกดับลงแล้ว
ชาวบ้านทุกคนสามารถปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้เต็มที่
“ฉันขอโทษนะทุกคน ฉันขอโทษจริง ๆ”
ทันใดนั้น ชายหนุ่มร่างกายผอมบางท่าทางอ่อนแอคนหนึ่ง ก็วิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากด้านหลังกลุ่มคน เขาวิ่งไปหยุดยืนอยู่ใจกลางพื้นที่ซึ่งเคยเป็นทุ่งข้าวโพด และคุกเข่าลงไปกับพื้นดินต่อหน้าทุกคนด้วยความรู้สึกผิดจับใจ
“ฉันมันเป็นคนไม่ดี ฉันมันไม่ควรเกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนจะด่าจะว่าฉันก็ตามสบาย”
“ต้นเหตุของเพลิงไหม้ในครั้งนี้ เป็นเพราะฉันทิ้งก้นบุหรี่ลงบนกองฟางที่อยู่หลังบ้านคุณยายคนนั้น ถ้าฉันไม่ประมาทเลินเล่อ หายนะครั้งนี้ก็คงไม่เกิด มันเป็นความผิดของฉันเอง ทุกอย่างเป็นความผิดของฉัน…”
“ฉันขอโทษนะทุกคน ฉันขอโทษจริง ๆ!”
“โป๊ก โป๊ก โป๊ก…”
พูดจบแล้ว ชายหนุ่มก็โขกหน้าผากลงไปบนพื้นดินด้วยความรุนแรง
เขากำลังคำนับเพื่อทำการขอโทษชาวบ้านทุกคนต่อเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนี้
กลุ่มชาวบ้านจ้องมองคนผิดด้วยแววตาโกรธแค้น แต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
เพราะทุกคนรู้จักชายหนุ่มผู้นี้ดี
เขาเป็นชายเร่ร่อน
อายุประมาณ 30 ปี มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นบุคคลที่ขี้เกียจที่สุดประจำหมู่บ้าน
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าชายเร่ร่อนจะเป็นต้นเหตุของเพลิงไหม้ในครั้งนี้!
แล้วพวกเขาจะทำอย่างไรดีนะ?
จับฝังดินทั้งเป็นเลยดีไหม?
หรือว่าจับแยกชิ้นส่วนแล้วเอามาทำเป็นกับข้าวรับประทาน?
“พวกเราเลิกอึ้งกันได้แล้ว รีบตรวจดูกันเถอะว่ายังเหลือประกายไฟอยู่ตรงไหนอีกบ้างหรือเปล่า!”
จังหวะนั้น ผู้ใหญ่บ้านซึ่งมีอายุประมาณ 50 ปีก็เดินออกมาจากกลุ่มผู้คน เขาเหลือบมองชายเร่ร่อนด้วยแววตาแห่งความขมขื่นเล็กน้อย ก่อนที่จะหันไปตะโกนออกคำสั่งต่อกลุ่มลูกบ้านของตนเอง “เราจะปล่อยให้เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นอีกไม่ได้เด็ดขาด”
เมื่อได้ยินคำสั่งดังนั้น
ชาวบ้านทุกคนก็แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางด้วยความเงียบงัน
ผู้ใหญ่บ้านเดินเข้ามาหาซูเย่กับหลี่เคอหมิง ดวงตาของเขาจับจ้องมองมาที่คุณหมอหนุ่ม และขอบคุณด้วยน้ำเสียงจริงใจ “ขอบคุณคุณหมอมากนะครับที่เข้าไปช่วยเหลือคุณยายออกมาจากบ้าน ไม่งั้นเหตุการณ์ไฟไหม้ในครั้งนี้ คงกลายเป็นโศกนาฏกรรมที่หนักหนาสาหัสมากไปกว่านี้แล้ว…”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ”
“สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ คุณหมอไม่ต้องมารักษาพวกเราแล้วก็ได้ครับ พวกเราไม่มีคุณค่ามากพอให้คุณหมอต้องมาดูแลหรอก ผมก็ทำได้แต่เพียงขอบคุณคุณหมอเท่านั้น”
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจด้วยความเศร้า พูดเพียงเท่านั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
ซูเย่ยืนมองแผ่นหลังของผู้ใหญ่บ้านหายลับไปจากสายตาด้วยความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปกันไปหมด
เขาเคยเห็นเรื่องราวเช่นนี้มามากพอแล้ว
คนยากจนต้องทนทุกข์ทรมาน
ชาวบ้านที่ไม่มีเงินแม้แต่จะไปซื้อยาสมุนไพรมารับประทาน กลับต้องสูญเสียสิ่งที่เป็นแหล่งอาหาร และรายได้หลักของครอบครัวไปในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
“เราต้องหาทางช่วยเหลือชาวบ้านพวกนี้ให้ได้”
ซูเย่ปฏิญาณกับตัวเองในใจ
“เธอจำเรื่องความรู้สึกสี่ชนิดที่ถูกระบุไว้ในตำราแพทย์โบราณได้หรือเปล่า?”
ระหว่างเดินทางกลับที่พัก หลี่เคอหมิงก็ถามคำถามนี้กับชายหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์
“จำได้ครับ”
ซูเย่พยักหน้า และตอบว่า “ความโกรธแค้นเป็นผลเสียต่อตับ ความเศร้าเป็นผลเสียต่อปอด ความวิตกกังวลเป็นผลเสียต่อม้าม และความหวาดกลัวเป็นผลเสียต่อไต”
“นั่นแหละ!”
หลี่เคอหมิงถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า “ความเศร้าจะลดทอนธาตุหยางในร่างกาย ส่วนความโกรธแค้นจะลดทอนธาตุหยิน อารมณ์ความรู้สึกเหล่านี้ ต่างก็เป็นสาเหตุที่ทำให้อวัยวะภายในร่างกายคนเราทำงานผิดปกติได้ทั้งนั้น หลังจากที่ชาวบ้านต้องผ่านพ้นเหตุการณ์สะเทือนใจวันนี้ไป ฉันว่าสภาพร่างกายของพวกเขาต้องย่ำแย่มากกว่าเดิมแน่ ๆ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูเย่ก็พูดอะไรไม่ออก
ความมุ่งมั่นของเขาที่จะช่วยเหลือชาวบ้านมีความชัดเจนมากขึ้น
แต่ถ้าจะช่วยเหลือชาวบ้านทั้งที ซูเย่ก็อยากจะให้มันเป็นความช่วยเหลือที่เกิดประโยชน์ในระยะยาว
ในเวลาเดียวกันนี้
ณ มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง หอพักบุคลากร
“พี่ลองชิมดูสิว่าฝีมือทำอาหารของผมพัฒนามากแค่ไหนแล้ว”
พ่อครัวหนุ่มร่างอ้วนหวังป๋อนำอาหารจานสุดท้ายออกมาจากห้องครัว และวางไว้บนโต๊ะ ผู้ที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาในขณะนี้คือชายหนุ่มวัย 30 เศษคนหนึ่ง
“ฉันรู้ดีอยู่แล้วน่าว่านายทำอาหารได้อร่อยขนาดไหน”
คนที่หวังป๋อเรียกว่าพี่ยิ้มตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี
ชายหนุ่มคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของหวังป๋อ มีนามว่าหวังหงฮัว
เขาหยิบตะเกียบมาคีบอาหารใส่ปาก
“อืม”
หวังหงฮัวพยักหน้าด้วยความพอใจ
“ฉันว่าฝีมือทำอาหารระดับนี้ มาทำงานอยู่ในโรงครัวต๊อกต๋อย มันค่อนข้างเสียของไปหน่อยนะ”
หวังป๋อยิ้มรับไม่พูดคำใด เพราะเขาชอบบรรยากาศในมหาวิทยาลัย นี่จึงเป็นการทำงานที่มีความสุขที่สุดแล้ว
เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มร่างอ้วนไม่ยอมตอบรับ หวังหงฮัวก็รับประทานอาหารเพิ่มอีกสองสามคำ ก่อนจะยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบ
“ฉันมีเรื่องอยากจะให้นายช่วยสักหน่อย”
“ช่วงหลังที่ร้านอาหารของฉันเกิดปัญหา พอดีว่าพ่อครัวคนเก่าอยากจะขอแบ่งหุ้นในร้าน ฉันก็เลยเปลี่ยนพ่อครัวคนใหม่ แต่ปัญหาก็คือพ่อครัวคนใหม่ดันมีฝีมือทำอาหารสู้คนเก่าไม่ได้ ยอดขายช่วงหลังก็เลยตกลงฮวบฮาบ”
“วันนี้ที่ฉันมาหา ก็เพราะอยากจะชวนนายไปเป็นพ่อครัวในร้านฉันนี่แหละ”
“นายต้องได้รับพรสวรรค์ด้านการทำอาหารมาจากคุณปู่บ้างไม่มากก็น้อย เอาเป็นว่า นายมาช่วยฉันหน่อยก็แล้วกัน”
“แต่พี่ครับ”
หวังป๋อส่ายหน้าปฏิเสธ “ทำงานอยู่ในโรงครัวของมหาวิทยาลัย ผมก็มีความสุขดีอยู่แล้ว”
“ไอ้น้องรัก”
หวังหงฮัวยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร “ได้ข่าวว่าตอนหลังนายทำอาหารอร่อยถึงระดับที่คุณปู่เฉินยังต้องเอ่ยปากชมก่อนตาย แล้วใจคอนายจะไม่คิดช่วยเหลือพี่ชายที่กำลังลำบากคนนี้เลยสักครั้งหรือไง นายคงไม่ใจจืดใจดำขนาดนั้นหรอกมั้ง?”
ได้ยินดังนั้น
หวังป๋อก็นึกถึงหัวกะหล่ำพิเศษที่เขานำมาทำอาหารให้คุณปู่เฉินรับประทานก่อนเสียชีวิตขึ้นมาทันที
“รอแป๊บหนึ่งนะพี่!”
หวังป๋อลุกขึ้นยืน และเดินไปหยิบหัวกะหล่ำออกมาจากตู้เย็น ก่อนที่จะเริ่มต้นทำแกงกะหล่ำทรงเครื่องด้วยความรวดเร็ว
หวังหงฮัวมองอากัปกิริยาของน้องชายด้วยความประหลาดใจ
เมื่อแกงกะหล่ำทรงเครื่องมาอยู่ในถ้วยกระเบื้องบนโต๊ะอาหาร หวังหงฮัวก็ลองซดน้ำแกงดูเล็กน้อย หลังจากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกโตด้วยความตกตะลึง
“นี่มัน…”
เขาจ้องมอง “แกงจืดกะหล่ำทรงเครื่อง” ด้วยความตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“ใช่แล้วครับ”
หวังป๋อว่า “ผมไปเป็นพ่อครัวช่วยพี่ไม่ได้ก็จริง แต่กะหล่ำพวกนี้จะต้องช่วยพี่ได้แน่ ๆ ถ้าพี่นำกะหล่ำพวกนี้ไปทำเป็นเมนูในร้าน รับรองว่าต้องมีลูกค้าติดใจจนร้านแทบแตกเลยล่ะ!”
“แล้วนายไปเอากะหล่ำมาจากไหน?”
หวังหงฮัวจับแขนของหวังป๋อ สอบถามด้วยความตื่นเต้น “นายยังเหลือกะหล่ำพวกนี้อยู่อีกบ้างไหม?”
…
“นายยังเหลือกะหล่ำพวกนั้นอยู่อีกบ้างไหม?”
บ่ายวันต่อมา หวังป๋อเดินมาสอบถามซูเย่ที่กำลังนั่งรับประทานมื้อกลางวันอยู่ในโรงอาหารด้วยความเกรงใจ
การที่ต้องมาขอความช่วยเหลือจากนักศึกษาหนุ่มอีกครั้ง ทำให้หวังป๋อรู้สึกละอายแก่ใจอยู่พอสมควร เพราะความช่วยเหลือก่อนหน้านี้ที่ซูเย่มีให้ เขาก็ยังไม่ได้ตอบแทนเลยสักนิด
“คุณอยากได้อีกเหรอ?”
ซูเย่หรี่ตามองด้วยความสงสัย
“ใช่”
หวังป๋อตอบ “พอดีว่าพี่ชายของฉันเปิดร้านอาหารแล้วเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อยน่ะ ช่วงหลังยอดขายไม่ค่อยดีเหมือนตอนแรก เมื่อวานนี้ เขามาตามตัวฉันให้ไปช่วยเป็นพ่อครัว แต่ฉันไม่อยากไป ก็เลยแนะนำให้เขาลองเอากะหล่ำของนายไปทำอาหารให้ลูกค้ากินดูน่ะ”
พูดจบแล้ว พ่อครัวหนุ่มร่างอ้วนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ครั้งที่แล้วไม่ใช่เพราะฉันทำอาหารอร่อยมากขึ้นหรอก แต่มันอร่อยก็เพราะว่าฉันเอากะหล่ำของนายมาเป็นวัตถุดิบต่างหาก”
ซูเย่เข้าใจเรื่องราวโดยทันที
“ฉันเลยอยากจะมาลองถามดูว่า นายจะช่วยส่งกะหล่ำให้กับร้านของพี่ฉันได้ไหม?”
หวังป๋อถามอย่างตรงไปตรงมา
ซูเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม
ในยุคสมัยนี้ที่พลังปราณธรรมชาติหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด การทำสวนกะหล่ำวิเศษดูจะเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวเกินไปหน่อย
แต่แล้วชายหนุ่มก็นึกถึงเรื่องที่เขาอยากจะช่วยเหลือชาวบ้านในหมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนขึ้นมาทันที
ซูเย่นึกถึงพื้นที่ทุ่งข้าวโพดซึ่งถูกไฟไหม้เหล่านั้น
แล้วความคิดบางอย่างก็ปรากฏขึ้นในหัวสมอง
“ได้สิ”
ซูเย่พยักหน้าตอบตกลง