เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 72 ข่าวดี
บทที่ 72 ข่าวดี
“ไม่ได้หรอกครับ!”
ผู้เฒ่าหลี่เอาแต่ยกมือโบกสะบัดไปมา “คนอื่นเขาเช่ากันแค่ไร่ละ 500 หยวนเท่านั้น แล้วคุณหมอจะเช่าไร่ละ 1,500 หยวนได้ยังไง มันแพงเกินไปนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณตา ผมตั้งใจเช่าที่พวกนี้มาใช้ประโยชน์อยู่แล้ว”
ซูเย่พูดพร้อมกับยิ้มกว้าง
“มันสามารถเอาไปทำประโยชน์อะไรได้ด้วยหรือครับ?”
ซูเย่พยักหน้าตอบรับด้วยสีหน้าจริงจัง
ผู้เฒ่าหลี่มองหน้าซูเย่ แล้วความเหลือเชื่อที่ปรากฏขึ้นในตอนแรก ก็ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนกลายเป็นความตกตะลึง และซาบซึ้งใจ
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยครับ ถือว่าคุณหมอได้ช่วยพวกเราชาวบ้านทั้งหมู่บ้านแล้ว”
ผู้เฒ่าหลี่ถูมือของตัวเองด้วยความตื่นเต้น “ถ้าทุกคนรู้เข้า ก็จะต้องดีใจมากแน่ ๆ งั้นเดี๋ยวผมจะไปตามผู้ใหญ่บ้านมาคุยกับคุณหมอนะครับ”
หลังจากนั้น ชายชราก็วิ่งไปตามผู้ใหญ่บ้านด้วยความกระตือรือร้น
ซูเย่นั่งรออยู่ที่หน้าบ้านดังเดิม สายตาของเขาทอดมองไปยังพื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นทุ่งข้าวโพด
แผนการนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนที่หวังป๋อมาติดต่อขอซื้อกะหล่ำจากเขา
เรื่องนี้นอกจากจะเป็นการช่วยชาวบ้านในหมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนแล้ว ยังถือเป็นการช่วยกระตุ้นยอดขายร้านอาหารของหวังหงฮัวได้อีกด้วย ยิ่งร้านอาหารขายดีมากเท่าไหร่ หวังหงฮัวก็ยิ่งต้องการกะหล่ำเพิ่มมากเท่านั้น และนั่นหมายความว่าชาวบ้านก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ในเมื่อนี่เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายได้ผลประโยชน์ด้วยกันทั้งหมด
แล้วมีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่ทำล่ะ?
“คุณหมอครับ ที่คุณตาหลี่พูดออกมาเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”
ผู้ใหญ่บ้านวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาซูเย่พร้อมกับจับมือเขาด้วยความร้อนใจ “คุณหมอพูดจริงหรือเปล่าครับ? คุณหมอจะเช่าที่ที่ถูกไฟไหม้พวกนั้นจริง ๆ ใช่ไหม?”
“จริงสิครับ”
ซูเย่พยักหน้ายืนยัน
“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมาก!”
เมื่อได้รับทราบคำตอบสมความปรารถนา ผู้ใหญ่บ้านก็ยกมือของซูเย่ขึ้นไปทูนไว้เหนือศีรษะ “นอกจากคุณหมอจะมาช่วยรักษาโรคให้พวกเราแล้ว คุณหมอยังจะเช่าที่ดินของพวกเราอีก พวกเรานึกว่าปีนี้จะต้องสูญเสียรายได้ทั้งหมดไปซะแล้ว คุณหมอเป็นคนที่ช่วยชีวิตพวกเราทั้งหมู่บ้านเลยนะครับ!”
“พวกเราเป็นหนี้บุญคุณคุณหมอมากจริง ๆ”
ต่อจากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ปล่อยมือซูเย่ และยกมือตบหน้าอกตนเองด้วยความฮึกเหิม “ไม่ว่าคุณหมอต้องการอะไร ได้โปรดสั่งงานมาได้เลยครับ ไม่ว่าคุณหมอต้องการให้พวกเราชาวบ้านทำสิ่งใดตอบแทนค่าเช่าเหล่านั้น พวกเราไม่มีทางปฏิเสธเด็ดขาด”
“แต่นั่นแหละครับปัญหา”
ซูเย่พูดพร้อมกับนำเป้สะพายหลังที่หิ้วติดตัวมาด้วยวางลงบนพื้นดินตรงกลางระหว่างพวกเขา
“ปัญหาอะไรหรือครับ?”
ผู้ใหญ่บ้านกับผู้เฒ่าหลี่มองหน้าคุณหมอหนุ่มด้วยความสับสน
“ตอนนี้ผมกำลังขาดแรงงาน อยากเช่าที่พวกนี้ไว้ปลูกสวนกะหล่ำ ผมอยากจะทำสัญญาว่าจ้างชาวบ้านเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง ช่วยทำสวนกะหล่ำให้ผมหน่อยน่ะครับ”
ซูเย่ตอบ
“ไม่มีปัญหาครับ” ผู้ใหญ่บ้านรับปากอย่างว่าง่าย “ชาวบ้านทุกคนทำไร่ไถนา มีทักษะการปลูกผักผลไม้มาตั้งแต่เกิด คุณหมอไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ!”
“สัญญาจ้างงานหนึ่งเดือนครึ่ง ผมให้ค่าจ้างชาวบ้านคนละ 5,000 หยวน รวมคนแก่ และเด็กด้วย ไม่ทราบว่าพอไหวไหมครับ?”
ซูเย่ถาม
เดี๋ยวก่อนนะ?
คุณหมอพูดว่าอะไร?
ผู้ใหญ่บ้านเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
5,000 หยวนอย่างนั้นหรือ?
ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกเหมือนตนเองกำลังจะหายใจไม่ออก
เขากำลังมีความสุขจนจุกอก
คืนนี้มีข่าวดีมากมายเหลือเกิน
ตอนแรกคุณหมอหนุ่มก็บอกว่าจะเช่าที่ดินของชาวบ้าน แล้วตอนนี้ก็ยังจะว่าจ้างชาวบ้านด้วยจำนวนเงินคนละ 5,000 หยวนอีก
สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง เงินจำนวน 5,000 หยวนไม่ใช่เงินก้อนใหญ่ แต่สำหรับชาวบ้านในชุมชนแออัดเขตชานเมือง เงินจำนวนนี้มีมูลค่ามากกว่ารายได้ต่อปีของครัวเรือนสองถึงสามเท่าเลยด้วยซ้ำ!
ดังนั้นการที่ซูเย่ยื่นข้อเสนอจะจ่ายเงินจำนวนนี้ จ้างพวกเขาเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือคนแก่นั้น…
“ไหวครับ! ตกลง! คุณหมอเข้ามาดื่มน้ำชาก่อนสิครับ…”
ผู้ใหญ่บ้านรีบวิ่งเข้าไปในบ้านของผู้เฒ่าหลี่ด้วยความดีใจ ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่านี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง แต่ถึงกระนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ยังพบกาน้ำร้อน และชุดชงน้ำชาตามความต้องการ ไม่กี่นาทีต่อจากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็จัดการชงน้ำชาให้ซูเย่ด้วยความพิถีพิถัน…
“คุณหมอไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวผมจะไปคุยกับชาวบ้านให้เอง”
เมื่อน้ำร้อนเดือดได้ที่ ผู้ใหญ่บ้านก็พูดออกมาอย่างมีความสุข “เรื่องงานเพาะปลูกแบบนี้ พวกเราถนัดนัก พวกผมจะดูแลสวนกะหล่ำของคุณหมอให้ดีเลยครับ ถ้ามีใครเข้ามาก่อกวน รับรองว่ามันต้องโดนดีแน่!”
“ตกลงเมื่อวานนี้มีที่ดินถูกไฟไหม้ไปเท่าไหร่นะครับ?”
ซูเย่ถาม
“ประมาณ 571 ไร่ครับ” ผู้ใหญ่บ้านตอบ “ผมเพิ่งคำนวณความเสียหายเมื่อตอนบ่ายนี้เอง”
ซูเย่พยักหน้า หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาเปิดออก
“นี่ครับ…”
ปึกธนบัตรใบละ 100 หยวนจำนวนมากปรากฏขึ้นในสายตาของผู้ใหญ่บ้าน และผู้เฒ่าหลี่
“หืม?”
พวกเขาจ้องมองเงินที่อยู่ในกระเป๋าเป้ด้วยความพิศวง
ตลอดทั้งชีวิตของผู้ใหญ่บ้าน และผู้เฒ่าหลี่ไม่เคยมีวาสนาได้เห็นเงินจำนวนมากมายขนาดนี้มาก่อน!
คุณหมอหนุ่มเพิ่งจะพูดว่าอยากเช่าที่ดินของพวกเขา แต่กลับนำเงินออกมาให้เลยหรือ? ทำไมคุณหมอถึงได้เป็นคนดีเช่นนี้!
ยิ่งไปกว่านั้น คุณหมอยังนำเงินมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขา โดยไม่กลัวว่ามันจะถูกขโมยแต่อย่างใด!
“ในเป้ใบนี้มีเงินอยู่หนึ่งล้านหยวนครับ”
ซูเย่พูดกับผู้ใหญ่บ้านด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “จากการคำนวณของผม ที่ดิน 571 ไร่ ผมจ่ายค่าเช่าไร่ละ 1,500 หยวน ก็รวมเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 856,500 หยวน ยังเหลือเงินอยู่อีก 143,500 หยวน ให้ถือว่าเป็นเงินมัดจำค่าจ้างของชาวบ้านก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องกลัวว่าผมจะชักดาบหนี”
จากนั้น ซูเย่ก็หันหน้ามาพูดกับผู้เฒ่าหลี่ “รบกวนคุณตาช่วยเก็บเงินค่ามัดจำพวกนี้เอาไว้ให้ทุกคนด้วยนะครับ”
“แต่ว่า…”
คุณตาคนเก็บขยะเกิดความตื่นตระหนกขึ้นเล็กน้อย
“ได้เลยครับ”
ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนตอบรับแทน
“งั้นพรุ่งนี้เตรียมสัญญาให้ผมด้วยนะครับ แล้วก็รีบปรับหน้าดินให้เร็วที่สุดด้วย เดี๋ยวผมจะเอาเมล็ดพันธุ์สำหรับการเพาะปลูกมาให้”
ซูเย่กล่าว
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้ารับคำด้วยความมุ่งมั่น
ต่อให้ซูเย่ไม่บอกออกมา เขาก็ตั้งใจจะจัดเตรียมสัญญาให้เร็วที่สุดอยู่แล้ว
เพราะการเช่าที่ดินในครั้งนี้คือการช่วยเหลือชาวบ้านทุกครัวเรือน นับเป็นเรื่องเร่งด่วนที่สมควรกระทำให้เสร็จโดยเร็วที่สุด
“คุณหมอไม่ต้องเป็นห่วงครับ ใช้เวลาวันสองวันพวกเราก็ปรับหน้าดินเสร็จแล้ว”
ซูเย่พยักหน้า และยังคงจ้องมองอยู่ที่ผู้เฒ่าหลี่
“เงินมัดจำทั้งหมดต้องฝากไว้ที่คุณตาแล้วนะครับ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับคุณหมอ เงินอยู่กับผมรับรองว่าไม่หายไปไหนแน่นอน” ชายชราตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพื่อยืนยันให้อีกฝ่ายได้มั่นใจว่า คิดไม่ผิดที่ฝากเงินก้อนใหญ่เอาไว้กับเขา
ซูเย่ลุกขึ้น และอำลาผู้อาวุโสทั้งสองคน
เมื่อมองแผ่นหลังของซูเย่หายลับไปจากสายตา
ผู้ใหญ่บ้านก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื้นตันใจว่า “คุณหมอเป็นคนดีเหลือเกิน”
ต่อจากนั้นเขาก็ฝากเงินทั้งหมดไว้ที่บ้านของผู้เฒ่าหลี่ชั่วคราว ก่อนที่จะวิ่งกลับไปเรียกประชุมกรรมการหมู่บ้านอย่างเร่งด่วน
ตลอดทั้งคืนนั้น พวกเขาวุ่นวายอยู่กับการร่างสัญญาจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน
ผู้ใหญ่บ้านถึงกับเดินทางไปยังหมู่บ้านข้างเคียงกลางดึก เพื่อขอดูตัวอย่างร่างสัญญาสำหรับการเช่าที่ดิน
รุ่งเช้าวันต่อมา
“เรียนลูกบ้านผู้น่ารักทุกท่าน ผู้ใหญ่บ้านขอเรียกประชุมลูกบ้านเป็นการด่วนที่ต้นไม้ใหญ่ประจำหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านมีข่าวดีจะบอก!”
“ประชุมลูกบ้านที่ต้นไม้ใหญ่ประจำหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านมีข่าวดีมาบอก!”
เสียงของผู้ใหญ่บ้านดังผ่านโทรโข่งสามรอบติด ๆ กัน
ชาวบ้านจำนวนสองในสามของประชากรทั้งหมดเดินออกมารวมตัวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
ยังจะมีข่าวดีอะไรอีกหรือ
มีข่าวดีอะไรที่จะลบล้างความเศร้าโศกจากเหตุการณ์ไฟไหม้ได้ด้วยหรือไง?
ณ ใต้ต้นไม้ใหญ่ประจำหมู่บ้าน
ลูกบ้านเริ่มทยอยมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ สายตาของพวกเขาจ้องมองไปยังผู้ใหญ่บ้านที่มีขอบตาดำคล้ำเพราะอดหลับอดนอนทั้งคืน แต่ถึงกระนั้นผู้ใหญ่บ้านกลับมีสีหน้าสดชื่นคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ใหญ่บ้านยกโทรโข่งในมือขึ้นจ่อปาก พูดด้วยความไม่พอใจ “ทุกคนมีชีวิตชีวากันหน่อยสิ เลิกทำตัวเป็นคนอมทุกข์กันได้แล้ว”
“ตกลงผู้ใหญ่มีข่าวดีอะไรจะบอกพวกเราครับ?”
“นั่นน่ะสิ บอกว่ามีข่าวดี ไหนล่ะข่าวดี!”
ผู้ใหญ่บ้านเพิ่มระดับเสียงผ่านโทรโข่งมากขึ้น “ทุกคนเงียบ ๆ ก่อน”
“ข่าวดีอะไร?”
“ไฟไหม้ขนาดนี้ ยังจะบอกว่ามีข่าวดีอีกเหรอ?”
“ฉันไม่เหลือเงินติดตัวแล้ว นั่นแหละมั้งข่าวดี”
“เฮ้อ ข่าวดีก็คือพวกเรากำลังจะได้เงินก้อนใหญ่!”
ผู้ใหญ่บ้านยกมือข้างหนึ่งขึ้นส่งสัญญาณให้ลูกบ้านหยุดพูด
ได้ยินดังนั้น เหล่าชาวบ้านก็ถึงกับชะงักไปทันที
พวกเขากำลังจะได้รับเงินก้อนใหญ่อย่างนั้นหรือ?
นี่พวกเขาหูฝาดหรือเปล่านะ?
ผู้ใหญ่บ้านหันมาขยิบตาส่งสัญญาณกับผู้เฒ่าหลี่ ซึ่งรับช่วงต่อโดยการขยับออกมาข้างหน้าพร้อมกับกระเป๋าเป้ที่กอดอยู่แนบอก
ชายชรานำกระเป๋าเป้วางลงบนโต๊ะตรงหน้า
“โอ้โห!”
แล้วธนบัตรใบละ 100 หยวนปึกใหญ่ก็ปรากฏขึ้นต่อสายตาของทุกคน
นี่มัน…เงินก้อนใหญ่จริง ๆ ด้วย!
ผู้ใหญ่บ้านอาศัยจังหวะนี้กล่าวว่า “ทุกคนเห็นกันแล้วใช่ไหม? ข่าวดีที่ฉันอยากจะประกาศในวันนี้ก็คือ มีคนอยากจะมาขอเช่าทุ่งข้าวโพดที่ถูกไฟไหม้ของพวกเรา”
“ว่าไงนะ?”
“มีคนจะมาขอเช่าที่ที่ถูกไฟไหม้เนี่ยนะ?”
“ที่ดินโดนไฟไหม้ไปขนาดนั้น เขาจะเช่าไปทำไม ยังจะทำประโยชน์อะไรได้อีก?”
ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยถามออกมาด้วยความสงสัย
“ไม่ใช่แค่อยากเช่าที่เท่านั้นนะ แต่เขายังให้ราคาดีมากกว่าคนที่เช่าที่ในหมู่บ้านข้าง ๆ พวกเราอีกด้วย เมื่อคืนฉันคุยมาแล้ว เขาจะจ่ายให้พวกเราไร่ละ 1,500 หยวน”
กลุ่มชาวบ้านเบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
คนผู้นั้นจะเช่าที่ดินที่ถูกไฟไหม้ในราคาสูง ๆ ไปทำอะไรกัน?
“นอกจากนี้ เขายังจะจ้างพวกเราปลูกสวนกะหล่ำ สัญญาจ้างครอบคลุมเป็นเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง และเขาจะให้ค่าจ้างชาวบ้านคนละ 5,000 หยวน!”
นอกจากเช่าที่ดินแล้วยังจะจ้างงานอีกด้วยหรือ?
ค่าจ้าง 5,000 หยวนสำหรับการทำสวนกะหล่ำหนึ่งเดือนครึ่ง?
ในที่สุด แววตาที่เศร้าหมองของกลุ่มชาวบ้านก็เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
แต่ใครกันนะจะยอมจ่ายเงินมากมายขนาดนี้?
จะเป็นพวกหลอกลวงหรือเปล่า?
“ผู้ใหญ่ครับ บอกได้ไหมว่าใครเป็นคนมาขอเช่าที่ของพวกเรา?”
ชาวบ้านคนหนึ่งยกมือถาม
“นั่นสิครับ ใครเป็นคนมาเช่า ใครกันที่โง่ขนาดนั้น?”
“ใช่ พวกเราอยากรู้จริง ๆ”
หลังจากนั้นก็มีชาวบ้านอีกหลายคนส่งเสียงถามตามมา
“คนที่มาขอเช่าที่ดินพวกเราในครั้งนี้ เป็นคนที่ทุกคนก็รู้จักดีอยู่แล้ว” ผู้ใหญ่บ้านยิ้มแย้ม และอธิบายต่อ “เขาก็คือคุณหมอหนุ่มที่มาคอยตรวจรักษาโรคให้พวกเราทุกเย็นไงล่ะ พอคุณหมอเขาเห็นว่าพวกเราต้องพบเจอกับความยากลำบากจากเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อวันก่อน คุณหมอเลยอยากช่วยเหลือทุกคน เพราะฉะนั้นพวกเราจึงต้องตั้งใจทำงานตอบแทนความใจดีมีเมตตาของคุณหมอให้ดีที่สุดนะ!”
“เป็นคุณหมอเองเหรอ?”
“คุณหมอเป็นคนดีจริง ๆ!”
“ถ้าเป็นคุณหมอคนนั้น งั้นนี่ก็ไม่ใช่เรื่องโกหกแล้ว!”
“ฝากขอบคุณคุณหมอด้วยนะคะผู้ใหญ่”
ชาวบ้านจำนวนมากต่างพร้อมใจกันพูดออกมาด้วยความซาบซึ้ง
ในเมื่อคนที่จะมาขอเช่าที่ และจ้างงานพวกเขาคือคุณหมอหนุ่มผู้ใจดี ถ้าอย่างนั้นเงินก้อนใหญ่ที่มากองอยู่ตรงหน้าในขณะนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงอีกแล้ว
นับว่าคุณหมอซูเย่ช่างมีพระคุณกับพวกเขาเหลือเกิน!
“เอาล่ะ” ผู้ใหญ่บ้านยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความสงบ “ถ้าทุกคนอยากจะขอบคุณคุณหมอล่ะก็ รีบมาเซ็นชื่อในสัญญา และรับเงินไปได้แล้ว จากนี้ก็ช่วยกันปรับหน้าดิน เตรียมตัวทำสวนกะหล่ำตามคำสั่งของคุณหมอเขา”
“ได้เลยครับ! พวกเราจะตั้งใจทำให้ดีที่สุด!”
ไม่กี่นาทีต่อมา ชาวบ้านก็ยืนเข้าคิวเซ็นชื่อ และรับเงินค่าเช่าที่ดินของตนเองกลับไป
ผู้เฒ่าหลี่ยังคงเป็นคนจัดการความเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เช่นเดิม
ชาวบ้านยืนต่อแถวด้วยความตื่นเต้น เมื่อเซ็นสัญญาแล้วก็จะได้รับเงินโดยทันที พวกเขารู้สึกมีกำลังใจในการใช้ชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเดินกลับไปที่บ้าน ต่างคนต่างก็หยิบอุปกรณ์สำหรับการปรับหน้าดินมาคนละไม้ละมือ และเริ่มต้นปรับหน้าดินอย่างไม่รอช้า
เมื่อได้รับเงินค่าเช่าที่ดินแล้ว ชาวบ้านใช้เวลาเพียงครึ่งวัน การปรับหน้าดินก็ผ่านไปอย่างราบรื่น
ตอนเย็นเมื่อซูเย่กับหลี่เคอหมิงเดินทางมาตรวจคนไข้ที่หมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนตามกำหนดประจำวัน กลุ่มชาวบ้านก็จ้องมองมาที่ซูเย่ด้วยแววตาเคารพเทิดทูน
โดยเฉพาะชายเร่ร่อน
เขาทำหน้าที่เป็นยามรักษาความปลอดภัย คอยช่วยงานผู้เฒ่าหลี่ดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อยตลอดเวลา
เมื่อเห็นว่าชาวบ้านสามารถสลัดความเศร้าโศกกลับมามีชีวิตชีวาได้เพียงชั่วข้ามคืน หลี่เคอหมิงก็รู้สึกมึนงงไปหมด
“หืม?”
ทำไมทุกคนถึงกลับมามีกำลังใจรวดเร็วเช่นนี้นะ?
ตอนนั้นเอง
ผู้ใหญ่บ้านก็เดินเข้ามา
นอกจากจะยิ้มแย้มอย่างมีความสุขแล้ว ผู้ใหญ่บ้านยังชงน้ำชามาให้คุณหมอทั้งสองท่านอีกด้วย
นี่มันหมายความว่ายังไง?
หลี่เคอหมิงรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าต้องมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่เขากำลังเห็นอยู่ในขณะนี้ มันแตกต่างจากสิ่งที่ควรจะเป็นไปโดยสิ้นเชิง
สรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่?