เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 89 ผู้บงการปรากฏตัว
บทที่ 89 ผู้บงการปรากฏตัว
“ใครวะ?”
ซูชือกับจินฟานถามออกมาพร้อมกันด้วยความสงสัย
ก่อนที่ชายหนุ่มลูกคุณหนูจะอุทานออกมาเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “หรือนาย…หมายถึงคณบดีหยาง?”
ซูเย่พยักหน้า
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฝ่ายนั้นจะปล่อยข่าวไปเพื่ออะไร แต่ที่แน่ ๆ ซูเย่ได้รู้แล้วว่าอัตราการแก่งแย่งแข่งขัน และชิงดีชิงเด่นในวงการแพทย์แผนจีนนั้นมีสูงมากทีเดียว
หยางเหวินป๋อคงตั้งใจอยากจะขัดขวางเขาเป็นแน่แท้
ในเมื่อเล่นสกปรกแบบนี้ รับรองว่าได้เห็นดีกันแน่!
“เวรเอ้ย!”
ซูชือสบถด้วยความโกรธแค้น “งั้นหมายความว่าคณบดีตั้งตัวเป็นศัตรูกับนายเลยสิวะ! นายไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า”
ซูเย่ผายมือออกกว้าง เป็นสัญญาณว่าเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
แต่ในดวงตาของซูเย่เป็นประกายเย็นชาขึ้นมาแล้ว
…
ณ เขตที่อยู่อาศัยข้างมหาวิทยาลัย สนามหญ้าหน้าบ้านหลังหนึ่ง
หยางเหวินป๋อเดินเข้าไปกำลังจะกดออดที่ประตู
ทันใดนั้นก็มีใครอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาหาด้วยความเดือดดาล
“หยางเหวินป๋อ!”
หลี่เคอหมิงแทบจะพุ่งเข้าไปขยุ้มคอเสื้อของหยางเหวินป๋อด้วยความโกรธแค้น
“เมื่อคืนฉันโทรไปหาหลายสิบรอบ แต่นายไม่รับสายฉันสักครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะได้เจอหน้ากันสักที!”
หลี่เคอหมิงมองหน้าหยางเหวินป๋อที่ยืนนิ่งเฉยไม่ขัดขืนพร้อมกับถามต่อ “ตกลงนายเป็นคนปล่อยข่าวที่อาจารย์ฮั่วจะรับซูเย่เป็นลูกศิษย์ใช่ไหม?”
“ใช่ ผมเป็นคนปล่อยข่าวเองแหละ”
หยางเหวินป๋อตอบกลับมาสีหน้าเรียบเฉย เหมือนไม่เห็นว่ามันจะเป็นเรื่องสำคัญแต่อย่างใด
“เป็นนายจริง ๆ ด้วย เพราะอะไรกัน ทำไมนายถึงต้องขัดขวางซูเย่ฮะ!”
หลี่เคอหมิงยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธแค้นขึ้นมาจริง ๆ
สังเกตได้จากการที่หยางเหวินป๋อไม่ยอมรับโทรศัพท์ของเขา นี่หมายความว่าคณบดีประจําคณะแพทย์แผนจีนคงตั้งใจทำอย่างนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!
“ขัดขวาง?”
หยางเหวินป๋อระเบิดเสียงหัวเราะ ไม่มีร่องรอยของความรู้สึกผิดอยู่ในน้ำเสียงแม้แต่นิดเดียว ซ้ำยังพูดออกมาด้วยความภูมิใจเป็นนักหนาว่า “คุณน่าจะได้ยินข่าวเรื่องการแข่งขันวัดความรู้ของนักศึกษาแพทย์แผนจีนทั่วประเทศแล้วนะ การแข่งขันครั้งนี้เกี่ยวข้องกับการชิงเงินทุนมหาศาล และอาจจะเกี่ยวข้องกับการพัฒนามหาวิทยาลัยของเราในอนาคตด้วย! เพราะฉะนั้น อะไรที่จะเป็นผลดีต่อมหาวิทยาลัยของเรา ผมก็ต้องทำ!”
“นายก็เลยขัดขวางซูเย่งั้นเหรอ? รู้ตัวหรือเปล่าว่านายกำลังทำอะไรอยู่?”
หลี่เคอหมิงกัดฟันกรอดด้วยความโมโห
“นี่คือการเสียสละต่างหาก ข่าวเรื่องที่ว่าอาจารย์ฮั่วอยากรับเด็กของคุณเป็นลูกศิษย์คนใหม่ ทำให้เด็กในคณะแพทย์อยากจะพิสูจน์ตัวเองด้วยความมุ่งมั่นมากขึ้น และนี่ก็ถือว่าเป็นผลดีต่อมหาวิทยาลัยของเราไม่ใช่หรือ?”
หยางเหวินป๋อพูดด้วยความไม่สะทกสะท้าน
“แต่ก็ยังมีอีกหลายวิธีที่จะช่วยพัฒนามหาวิทยาลัยของเราได้! ทำไมนายถึงต้องใช้วิธีที่สกปรกแบบนี้ด้วย ทำไมนายถึงต้องขัดขวางซูเย่? การที่อาจารย์ฮั่วกำลังจะรับซูเย่เป็นลูกศิษย์ ไม่เห็นเกี่ยวข้องกับผลดีผลร้ายของมหาวิทยาลัยเลยสักหน่อย นายเองนั่นแหละที่จับแพะชนแกะ เอาเรื่องทุกอย่างมาผสมปนเปกันไปหมด!”
หลี่เคอหมิงตวาดกลับไปด้วยความขุ่นเคืองใจ
“แต่ไอ้หลายวิธีที่คุณว่ามาน่ะ การใช้ซูเย่เป็นเครื่องมือ มันคือวิธีที่เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดแล้ว”
หยางเหวินป๋อตอบอย่างตรงไปตรงมา
“นาย…”
หลี่เคอหมิงโกรธแค้นจนพูดอะไรไม่ออก เขาคิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าหยางเหวินป๋อจะเป็นคนหน้าด้านไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้!
แต่ในจังหวะนั้นเอง
“แอ๊ด”
ประตูบ้านพักก็ถูกเปิดออก
“พวกเธอมัวแต่ทะเลาะอะไรกันอยู่? อาจารย์รอนานแล้วนะ”
หญิงวัยกลางคนท่าทางกระฉับกระเฉงผู้หนึ่งเดินออกมาพูดกับหลี่เคอหมิง และหยางเหวินป๋อ “คราวหน้าคราวหลัง ถ้าจะทะเลาะกัน กรุณาไปทะเลาะที่อื่น”
หลี่เคอหมิงมองหน้าหยางเหวินป๋อด้วยแววตาที่ยังโกรธเคือง
“ขอโทษครับ เดี๋ยวผมขอเข้าไปก่อนก็แล้วกัน”
หลี่เคอหมิงพูดกับหญิงวัยกลางคนผู้นั้น ก่อนแทรกตัวผ่านช่องว่างระหว่างประตูเข้าไปสู่ด้านในตัวบ้าน
“ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ครับ ผมไม่นึกว่าจะมาเจอเขาที่นี่ ก็เลยทำให้คุณกับอาจารย์ฮั่วต้องเกิดความรำคาญใจ เดี๋ยวครั้งหน้าผมจะนำของขวัญมาขอโทษนะครับ”
หยางเหวินป๋อยิ้มแย้มอย่างขออภัย และรีบเดินตามหลี่เคอหมิงผ่านประตูบ้านพักเข้าไปติด ๆ
หลังประตูบานนั้นเป็นทางเดินที่ทอดนำไปสู่ห้องนั่งเล่น
หลี่เคอหมิงพบว่าอาจารย์ฮั่วกำลังนั่งชงน้ำชาอยู่ที่ชุดโซฟารับแขก เมื่อเปิดประตูเข้าไปแล้ว เขาก็ประสานมือคำนับฮั่วเหรินเซิง
“อาจารย์ครับ”
“เคอหมิงมาแล้วเหรอ”
ฮั่วเหรินเซิงพยักหน้ายิ้มแย้ม และโบกไม้โบกมือ “นั่งลงก่อนสิ ฉันเพิ่งได้ยอดชาตัวใหม่มา ลองชิมดูก่อน”
“อาจารย์ครับ”
หลี่เคอหมิงเดินเข้าไปนั่งลงตามคำสั่งอย่างว่าง่าย และรีบพูดออกมาด้วยความร้อนใจ “ซูเย่สอบผ่านใบอนุญาตของสมาคมแพทย์แผนจีนแล้วนะครับ”
“เรื่องนั้นมีคนโทรมาบอกฉันตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว และหมอนั่นก็ถามฉันด้วยว่า ฉันอยากจะรับซูเย่เป็นลูกศิษย์คนใหม่จริงหรือเปล่า” ฮั่วเหรินเซิงยังคงยิ้มอย่างอารมณ์ดี และพยักหน้ารับ…
ถึงแม้จะยังไม่เคยได้พบเจอตัวจริงของกันและกัน แต่การที่ซูเย่สามารถสอบผ่านใบอนุญาตของสมาคมแพทย์แผนจีนได้สำเร็จ ก็ทำให้ปรมาจารย์ฮั่วเหรินเซิงอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้จริง ๆ
สำหรับคนที่มีเวลาเตรียมตัวไม่ถึงหนึ่งเดือน ความสามารถระดับนี้ ต้องบอกว่าอยู่ในขั้นหมอยาอัจฉริยะขนานแท้
“งั้นเดี๋ยวผมจะให้ซูเย่มาเข้าพบอาจารย์เลยนะครับ” หลี่เคอหมิงเห็นโอกาสเหมาะจึงรีบตีเหล็กตอนยังร้อน
“กล้าดียังไง!” พลันเสียงคำรามของหยางเหวินป๋อดังขึ้นจากปากประตูระหว่างที่เขาเปิดประตูเข้ามา และจ้องมองหลี่เคอหมิงด้วยความโกรธแค้น
เพราะว่าตอนที่คณบดีหยางเดินมาถึงประตูห้องนั่งเล่นนั้น เขาก็พบว่าประตูถูกล็อคจากด้านใน โชคดีที่หญิงวัยกลางคนผู้นั้นมีกุญแจสำรอง มิฉะนั้นแล้วหยางเหวินป๋อก็คงต้องติดค้างอยู่ข้างนอก ไม่สามารถเข้ามาพูดคุยร่วมกับฮั่วเหรินเซิงได้ทันเวลา!
หลังจากนั้นหยางเหวินป๋อก็หันมาก้มศีรษะแสดงความเคารพต่อฮั่วเหรินเซิง “อาจารย์ฮั่วครับ การรับตัวซูเย่เป็นลูกศิษย์จะส่งผลเสียต่ออาจารย์มากเกินไป อาจารย์ลองคิดทบทวนดูใหม่เถอะครับ!”
“หืม?”
ฮั่วเหรินเซิงวางถ้วยน้ำชาลง และหันไปส่งยิ้มให้แก่หยางเหวินป๋ออย่างสบายใจ “การที่ฉันจะรับหรือไม่รับใครเป็นลูกศิษย์ มันคือการตัดสินใจของฉันเอง ไม่มีใครสามารถบังคับฉันได้หรอกนะ”
รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของชายชรา บ่งบอกว่าวันนี้ฮั่วเหรินเซิงอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
“แต่ซูเย่จะต้องสร้างความวุ่นวายให้แก่ชีวิตของอาจารย์แน่นอนครับ”
หยางเหวินป๋อพยายามอธิบายต่อไปด้วยความขมขื่น “เมื่อวานนี้ กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการได้ส่งหนังสือแจ้งเตือนมาทางผมว่า ปีนี้รัฐบาลได้อนุมัติงบจำนวนนับพันล้านหยวนให้แก่มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนแล้วนะครับ และเพื่อความยุติธรรมของทุกฝ่าย กระทรวงสาธารณสุขจึงจัดให้มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนทั่วประเทศ ส่งนักศึกษาเข้าไปแข่งขันสอบวัดความรู้ ยิ่งตัวแทนจากมหาวิทยาลัยไหนทำคะแนนได้สูงมากเท่าไหร่ มหาวิทยาลัยต้นสังกัดก็จะยิ่งได้รับเงินทุนมากเท่านั้น”
“ยิ่งถ้าตัวแทนของพวกเรามีสมาธิ และตั้งใจเรียนกันมากขึ้น คะแนนในการแข่งขันก็ต้องออกมาดีแน่ ๆ ครับ!”
“เธออยากให้พวกนักศึกษาแพทย์ตั้งใจเรียนกันมากขึ้น ก็เลยใช้เรื่องที่ฉันจะรับซูเย่เป็นลูกศิษย์คนใหม่ไปกระตุ้นพวกเขาสินะ?”
ฮั่วเหรินเซิงพูดพร้อมกับหัวเราะในลำคอเล็กน้อย
“อาจารย์เข้าใจถูกต้องแล้วครับ!”
หลี่เคอหมิงพูดออกมาทันที
“ช่วยไม่ได้นะ เพื่อผลดีของส่วนรวม ผมมีแต่ต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น” หยางเหวินป๋อพูดโดยไม่สะทกสะท้านต่อสายตาของฮั่วเหรินเซิงที่จ้องมองมา
“แต่แบบนี้มันเล่นสกปรกเกินไปแล้ว”
หลี่เคอหมิงว่า
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็จะทำเหมือนเดิม!”
หยางเหวินป๋อตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “และถ้าต้องตัดสินใจอีกในอนาคต หากมันเป็นเรื่องที่ส่งผลดีต่อมหาวิทยาลัยของเรา ผมก็จะทำอีกครั้ง!”
“สถานการณ์เช่นนี้ ถ้าอาจารย์ฮั่วยังดึงดันที่จะรับตัวซูเย่เป็นลูกศิษย์คนใหม่อยู่อีกละก็ เด็กของผมในคณะแพทย์แผนจีนจะต้องไม่พอใจมากแน่ ๆ ครับ แล้วมันก็จะทำให้พวกเขาหมดไฟในการพัฒนาวงการแพทย์แผนจีนต่อไป”
“ดังนั้น ผมจึงอยากขอร้องให้อาจารย์ฮั่วลองคิดทบทวนดูใหม่ ล้มเลิกความตั้งใจที่จะรับซูเย่เป็นลูกศิษย์ในตอนนี้ซะ และเปลี่ยนมาเป็นรับลูกศิษย์คนใหม่ โดยดูจากคะแนนที่ทำได้ในการแข่งขันชิงเงินทุนให้มหาวิทยาลัยของเรา ใครทำคะแนนได้สูงที่สุด ก็ให้เป็นลูกศิษย์คนใหม่ของอาจารย์ไปเลยครับ ถ้าอาจารย์ประกาศออกไปแบบนี้ ผมขอรับรองว่าพวกเด็กในคณะแพทย์แผนจีนต้องกลับมามีไฟที่จะช่วยพัฒนาวงการของพวกเราต่อไปแน่นอน!”
พูดจบ หยางเหวินป๋อก็หันมามองหน้าหลี่เคอหมิง แล้วกล่าวว่า “อีกอย่าง ถ้าซูเย่มีความสามารถจริง เขาก็ต้องเข้าร่วมในการแข่งขันชิงทุนครั้งนี้ และก็ต้องทำคะแนนได้ดีกว่าคนอื่นอยู่แล้ว”
หลี่เคอหมิงส่ายหน้า พูดว่า “แต่เขาเพิ่งเรียนอย่างจริงจังได้แค่เดือนเดียวเท่านั้น ส่วนการแข่งขันชิงทุนให้มหาวิทยาลัยอีกหนึ่งเดือนก็ถึงกำหนดแข่งแล้ว นายเองก็รู้ว่าการแข่งชิงทุนพวกนี้ คนที่เข้าร่วมอย่างน้อยต้องเรียนแพทย์แผนจีนมาไม่ต่ำกว่าสามปี แล้วอย่างนี้นายไม่คิดว่ากำลังเอาเปรียบซูเย่เกินไปหน่อยหรือไง? แบบนี้มันยุติธรรมดีแล้วหรือ?”
“ก็คุณบอกว่าเขาเป็นอัจฉริยะไม่ใช่หรือครับ?”
หยางเหวินป๋อถามกลับมาด้วยสีหน้าเหยียดหยาม
“ถึงเป็นอัจฉริยะก็ต้องใช้เวลา แต่นี่นายเล่นไม่ให้เวลาเขาเลย” หลี่เคอหมิงพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ซูเย่ยังไม่เคยเรียนเรื่องการฝังเข็ม ยังไม่เคยเรียนอีกหลายเรื่องที่พวกคณะแพทย์เรียนกัน แล้วเขาจะไปสู้กับทุกคนได้ยังไง”
“แต่ซูเย่เป็นคนที่มีความสามารถมากเลยนะครับ ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือน ก็สามารถสอบผ่านใบอนุญาตของสมาคมแพทย์แผนจีนได้สำเร็จ นี่มีเวลาเตรียมตัวตั้งหนึ่งเดือน ซ้ำยังมีอาจารย์หลี่คอยขัดเกลาทุกขั้นตอน แล้วจะมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีกหรือครับ?”
หยางเหวินป๋อพูดเหมือนเตรียมคำตอบนี้เอาไว้ตั้งแต่แรก
“การที่นายขัดขวางเขา มันก็เป็นผลดีแต่กับพวกนายเองเท่านั้น” หลี่เคอหมิงสวนกลับไปด้วยความอึดอัดใจ “นายใช้เขาเป็นเป้าความเกลียดชังของทุกคน แม้แต่ประธานนักเรียนก็เห็นซูเย่เป็นศัตรูไปแล้ว นายไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยหรือไง!”
“จะพูดอะไรก็พูดไปนะครับ ผมไม่สนใจหรอก”
หยางเหวินป๋อส่ายหน้าด้วยดวงตาเป็นประกายแวววาว “เพื่อประโยชน์ของมหาวิทยาลัย นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว!”
“ไม่ใช่ มันไม่ได้ใกล้เคียงสิ่งที่ดีที่สุดเลยสักนิด!”
หลี่เคอหมิงโต้แย้งกลับไปทันที “ซูเย่ต้องพยายามทุกอย่างด้วยตัวเองมาตลอด แล้วทำไมนายถึงต้องมาทำลายความพยายามของเขาด้วย? นายอิจฉาซูเย่ที่อาจารย์ฮั่วกำลังจะรับเขาเป็นลูกศิษย์ใช่ไหมล่ะ นายก็เลยหาทางขัดขวางเขาให้ได้ทุกวิถีทาง! ฉันเองก็ไม่ได้เป็นคนที่มีคุณธรรมสูงส่งอะไรหรอกนะ แต่ฉันไม่คิดเลยว่าคณบดีของคณะแพทย์แผนจีนจะมีจิตใจสกปรกถึงขนาดนี้!”
พูดจบแล้ว หลี่เคอหมิงก็หันมากล่าวกับปรมาจารย์ฮั่วเหรินเซิงด้วยความเหนื่อยใจ “อาจารย์ครับ ซูเย่เป็นเด็กดีมากนะครับ แล้วเขาก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์มากด้วย นับดูในชีวิตของผม ยังไม่เคยเจอเด็กคนไหนมีความสามารถมากเท่าเขามาก่อน”
“อาจารย์อาจจะยังไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ ซูเย่ได้เคยช่วยเหลือคนเก็บขยะไว้โดยบังเอิญ แถมเขายังมอบเงินให้คนเก็บขยะคนนั้นอีก 50,000 หยวนด้วย”
“นอกจากนั้น เขายังไปตรวจหาโรคให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนโดยไม่คิดเงิน ซ้ำยังจ่ายเงินเป็นล้านหยวน เพื่อช่วยเช่าที่ดินจากชาวบ้านที่ถูกไฟไหม้!”
“ผมมั่นใจว่าเขาไม่ใช่พวกลูกคุณหนูเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อแน่นอน แต่เขาเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่เอาจริงเอาจัง และมีความสามารถ คนแบบนี้เราต้องสนับสนุนเขานะครับ!”
“โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเขาไม่สามารถพาตัวเองเข้ามาสู่วงการแพทย์แผนจีนได้สำเร็จ นั่นก็นับเป็นความเสียหายใหญ่หลวงที่จะเกิดขึ้นต่อวงการแพทย์แผนจีนแล้ว!”
พูดมาถึงตรงนี้
หลี่เคอหมิงก็หันหน้ากลับมามองหยางเหวินป๋อ และถามอย่างฉุนเฉียว “รู้สึกละอายใจบ้างไหมที่นายขัดขวางความสำเร็จของคนดีขนาดนี้?”
ในหัวใจของหยางเหวินป๋อกำลังตกตะลึง
ในดวงตาของฮั่วเหรินเซิงเป็นประกายวาวโรจน์
นักศึกษาคนหนึ่งมอบเงินให้กับคนเก็บขยะ 50,000 หยวน และยังควักกระเป๋าเช่าที่ดินจากชาวบ้านที่ถูกไฟไหม้อีกนับล้านหยวนอย่างนั้นหรือ?
นี่คือเรื่องราวอะไรกัน? ซูเย่เป็นคนประเภทไหนกันแน่?
เมื่อเจอคำถามจากหลี่เคอหมิง
หยางเหวินป๋อก็ได้แต่เงียบไป
เขาไม่คิดจริง ๆ ว่าซูเย่จะเป็นคนดีสมบูรณ์แบบขนาดนี้ มิหนำซ้ำยังจ่ายเงินก้อนใหญ่ได้โดยไม่มีปัญหาอีกด้วย
“แต่ผมก็ยังคัดค้านอยู่ดี”
หลังจากเงียบไปอึดใจใหญ่ หยางเหวินป๋อก็พูดออกมาในที่สุด
ทันใดนั้น ฮั่วเหรินเซิงยิ้มออกมา
เขายกกาน้ำชาขึ้นเทน้ำชาใส่ถ้วย ถ้วยแรกส่งให้หลี่เคอหมิง ถ้วยต่อไปส่งให้หยางเหวินป๋อ
ในขณะที่ส่งถ้วยน้ำชาให้กับหยางเหวินป๋อ ชายชราก็ถามเขาว่า
“เธอยืนยันใช่ไหมว่าทุกอย่างที่เธอทำลงไปนี้ ก็เพื่อผลดีของมหาวิทยาลัย?”