เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 101 ซูเย่ นายกล้ารับคำท้าหรือไม่
บทที่ 101 ซูเย่ นายกล้ารับคำท้าหรือไม่?
‘การศึกษาทดลองประสิทธิภาพของการฝังเข็มสำหรับผู้ป่วยไมเกรน’
‘การทดลองนี้มีอาสาสมัครทั้งหมด 302 คน ระหว่างการทดลอง ผมสุ่มแบ่งพวกเขาออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้รับการรักษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการฝังเข็ม อีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มควบคุมที่ไม่ได้รับการรักษาเลย และกลุ่มสุดท้ายได้รับการฝังเข็มหลอกโดยให้ฝังเข็มนอกจุดฝังเข็ม’
‘ในระหว่างการทดลอง ผู้ป่วยไม่ทราบว่าตัวเองรักษาในกลุ่มใด และพวกเขาจะบันทึกอาการไมเกรนของพวกเขาเป็นประจำทุกวัน ผู้เชี่ยวชาญที่บันทึกข้อมูลก็ไม่ทราบว่าพวกเขากำลังอ่านบันทึกของผู้ป่วยกลุ่มใด’
‘นี่เป็นการทดลองแบบอำพรางสองฝ่าย*[1]!’
‘จุดประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยทางจิตวิทยาที่ทำให้เกิดความเบี่ยงเบนในผลลัพธ์และมาตรฐานการประเมินของการทดลอง’
‘การทดลองแสดงให้เห็นว่า 52% ของผู้ป่วยที่ได้รับการฝังเข็มมีผลอย่างมาก’
‘และกลุ่มควบคุมมีเพียง 15% แต่สิ่งที่น่าสนใจคือกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการฝังเข็มหลอกมีผลถึง 54%! จะเห็นได้ว่าการฝังเข็มไม่ว่าจะจริงหรือหลอกนั้นไม่มีผลต่อการรักษา’
‘สรุปการฝังเข็มได้ผลจริง ทว่าเหตุผลไม่ใช่ทฤษฎีจุดฝังเข็ม แต่อาจเป็นผลทางจิตใจของผู้ป่วย หรือก็คือการกระตุ้นฝังเข็มมีผลไม่เฉพาะเจาะจงต่อร่างกาย เช่น การกระตุ้นร่างกายให้หลั่งยาแก้ปวด ฮอร์โมน เป็นต้น’
‘ผลการทดลอง การฝังเข็มเป็นเพียงยาหลอก ไม่ได้ผล!’
และด้านท้ายมีรายชื่ออาสาสมัครจำนวน 302 คนที่เข้าร่วมในการทดลอง รวมทั้งหมายเลขประจำตัวประชาชนที่ซ่อนไว้สองสามหลัก
หลี่จื้อหงแสดงความคิดเห็นไว้ใต้โพสต์ของตัวเอง ‘แพทย์แผนจีนท่านใดที่ไม่พอใจสามารถมาท้าทายการทดลองฝังเข็มแบบอำพรางทั้งสองฝ่ายด้วยกันได้!’
เนื่องจากบัญชีของเขามีการรับรองจากเวยป๋อ และเขายังเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ฮวาเซียงเก๋ออีกด้วย เวยป๋อของเขาจึงมีผู้ติดตามจำนวนมาก และคนพวกนั้นต่างก็เป็นผู้ที่ไม่เชื่อในแพทย์แผนจีน
เมื่อเวยป๋อนี้ถูกโพสต์ออกไปได้ไม่นาน ความคิดเห็นแรกของเขาในช่องแสดงความคิดเห็นก็ถูกกดถูกใจและแสดงความคิดเห็นจากผู้ติดตามหลายคน
‘ข้อมูลการทดลองจริง มีหลักฐาน น่าเชื่อถือ!’
‘สมแล้วที่เป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ฮวาเซียงเก๋อ คุณหลี่ยอดเยี่ยมมาก’
‘ฉันพูดไปนานแล้วว่ายาจีนมันปลอมและไร้ประโยชน์ แต่บางคนก็ไม่เชื่อ! พ่อของฉันเป็นแฟนยาจีนและเขาไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด ตอนนี้ฉันต้องเอาโพสต์นี้ไปให้เขาอ่าน!’
‘ไม่นานมานี้ มีรายการวาไรตี้ยาจีนได้รับความนิยม หน่วยงานราชการดันรายการนี้ด้วยเพื่อเป็นการส่งเสริมการแพทย์แผนจีน ตอนนี้หน้าแตกเลย 5555’
‘ข้อมูลการทดลองพิสูจน์ทุกอย่าง คงไม่มีใครเชื่อรายการนั่นหรอกใช่ไหม เรียนแพทย์จีนมาแค่ครึ่งปี ฝังเข็มรักษาผู้ป่วยได้งั้นเหรอ ขำตายล่ะ!’
‘มันก็แค่รายการวาไรตี้ อย่าซีเรียสมาก!’
‘อันดับหนึ่งในรายการอนาคตแพทย์แผนจีน เขารักษาอัมพาตครึ่งซีกด้วยการฝังเข็มในรายการ เขาคงเป็นแพทย์อัจฉริยะจริง ๆ แต่ฉันไม่รู้ว่าแพทย์อัจฉริยะซูเย่คนนี้จะกล้ายอมรับความท้าทายนี้หรือไม่’
ในตอนนี้คอมเมนท์ต่าง ๆ ล้วนพาดพิงไปถึงตัวซูเย่ในเวลาไม่นาน
หัวข้อ #การทดลองพิสูจน์ว่าการฝังเข็มไม่ได้ผล ก็พุ่งทะยานสู่หัวข้อการค้นหายอดนิยมอันดับที่สิบทันที
ชาวเน็ตต่างเข้าร่วมมาแสดงความคิดเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากดูข้อมูลการทดลองแล้ว ทุกคนก็แสดงความคิดเห็นกัน และส่วนใหญ่เป็นคำพูดที่ทำให้ซูเย่ก้าวออกมายอมรับการท้าทาย
เมื่อเห็นคอมเมนท์เหล่านี้ แฟนคลับของซูเย่ก็เริ่มอยู่ไม่สุขทันที
‘อย่าลากไปเกี่ยวจะได้ไหม?’
‘ทำไมซูเย่ถึงต้องมีส่วนร่วมในทุกเรื่องเลย เรื่องนี้เกี่ยวกับเขายังไง เขายังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าเขาต้องการท้าทายจริง ๆ นู่นจ้า ไปท้าทายเหล่าปรมาจารย์ในวงการแพทย์แผนจีนนู้น ให้เด็กมหา’ลัยไปหมายความว่ายังไง?’
‘ถูกต้อง อย่ามาลามปามกันนะ ฉันว่าการทดลองนี้มีบางอย่างผิดปกติ’
แฟนคลับของซูเย่เชื่อว่าซูเย่มีความสามารถ แต่ก็รู้สึกว่าซูเย่ยังเด็กเกินไป
ในตอนนี้ หลี่จื้อหงเจ้าของโพสต์เวยป๋อเจ้าปัญหา ก็กำลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
เมื่อเห็นว่าตัวเองสร้างคำค้นหายอดนิยมได้สำเร็จ ก็รู้สึกค่อนข้างพอใจ
เขาอ่านความคิดเห็นต่าง ๆ ในเวยป๋อของเขา และชื่อซูเย่ก็ปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในฐานะที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ เขายังได้ดูรายการที่ซูเย่ไปออกด้วย แต่ก็ดูเล่น ๆ เพื่อความขำขันเท่านั้นละนะ
เขารู้สึกว่าแพทย์แผนจีนถูกทำให้ดูเหมือนยาวิเศษมากเกินไป และการทดลองของเขาได้ดำเนินการมานานแล้ว ก่อนที่รายการนี้จะเริ่มถ่ายทำอีกด้วยซ้ำ
ในตอนแรกเขาก็อยากใช้ซูเย่เพื่อสร้างกระแส แต่หลังจากคิดดูแล้ว มันดูเหมือนเป็นการกลั่นแกล้งคนที่เด็กกว่ามากเกินไป แล้วอาจจะมีปัญหาตามมา หากจะหาใครสักคนมาท้าทายก็ควรจะเป็นคนที่ได้รับการยกย่องนับถือ
ดังนั้นจึงพับความคิดที่จะเกาะกระแสของซูเย่เก็บไป
แต่คิดไม่ถึงว่าผู้คนจำนวนมากจะพูดถึงซูเย่ และทุกคนต้องการเห็นซูเย่ยอมรับคำท้า
เขาดูบนเวยป๋อ หลี่จื้อหงพลันคิดถึงชายวัยกลางคนที่สัญญาว่าจะให้เงินสองล้านเหรียญแก่เขา คำขอของบุคคลนั้นก็คือทำให้เรื่องนี้เป็นจุดสนใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าเขาท้าทายซูเย่ก็น่าจะทำให้ได้รับกระแสตอบกลับอย่างล้นหลามแน่นอน
“งั้นเอาเลยแล้วกัน!”
ในขณะนี้หลี่จื้อหงไม่คิดอีกต่อไปแล้วว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งเด็กอายุน้อยกว่าหรือไม่
ตอนนี้เขาได้โพสต์ข้อมูลไปแล้ว งั้นก็ทำให้สุดไปเลยดีกว่า!
‘@ซูเย่ คุณคือที่หนึ่งจากรายการอนาคตแพทย์แผนจีน ในรายการคุณใช้การฝังเข็มรักษาผู้ป่วย และผลลัพธ์ก็ดีมาก ผมสงสัยว่าคุณกล้ายอมรับคำท้านี้ไหม #การทดลองพิสูจน์การฝังเข็มไม่ได้ผล# #ยาจีนยาหลอก’
ขณะโพสต์หลี่จื้อหงก็ไม่ลืมที่จะแนบภาพซูเย่ในคือรับรางวัลจากรายการ
ครั้งนี้ เรื่องบานปลายขึ้นหนักกว่าเดิมตามที่เขาต้องการแล้ว!!
……
ซูเย่เดินออกจากห้องฝึก ซื้อของขวัญจากซูเปอร์มาร์เก็ตบริเวณใกล้เคียง โดยมีปลายทางเป็นบ้านพ่อแม่ของหวังห่าว
ห้อง 201 อาคาร 3 ชุมชนหยวนซี หมู่บ้านหยวนซี เขตตะวันตก เมืองจี้หยาง
เขากดเรียกรถผ่านโทรศัพท์มือถือ เมื่อมาถึง ซูเย่พบว่านี่เป็นหมู่บ้านในเมืองในฝั่งเมืองเก่า เนื่องจากพื้นที่ทางเขตตะวันตกของเมืองยังไม่ได้รับการพัฒนา จึงมีคนอาศัยอยู่ไม่มากนัก
เมื่อเดินหาอยู่ครู่หนึ่ง ซูเย่ถึงได้เจอบ้านพ่อแม่ของหวังห่าว
ตั้งอยู่บริเวณสุดขอบของหมู่บ้านที่เชื่อมต่อกับชานเมือง มีอาคารสูงไม่กี่แห่งที่อยู่รอบ ๆ ซึ่งทั้งหมดเป็นอาคารเก่าประมาณสี่ชั้น
พ่อแม่ของหวังห่าวอาศัยอยู่บนชั้นสอง
ซูเย่เคาะประตูทันที
“นั่นใคร?”
มีเสียงที่ฟังดูเข้มงวดดังออกมา มันฟังดูเหมือนเสียงของชายหนุ่ม
“สวัสดีครับ ผมคือเพื่อนของหวังห่าว”
ซูเย่เอ่ยตอบ
“หวังห่าว?”
น้ำเสียงที่เปี่ยมความสงสัยดังตอบกลับมาจากหลังประตู
หลังจากนั้น ประตูก็ถูกเปิดออก
ผู้ชายที่ดูค่อนข้างคล้ายกับหวังห่าว แต่มีหนวดเคราบนใบหน้า ดูเหมือนว่ายังไม่ตื่นดี ยืนอยู่ที่หน้าประตู เขาเหลือบมองที่ซูเย่ด้วยท่าทางไม่พอใจ
เมื่อเขาเห็นถุงของขวัญที่ซูเย่ถืออยู่ เขาก็ก้าวขาไปด้านข้างเล็กน้อย
“เข้ามาสิ”
“ปิดประตูด้วย”
พูดเสร็จก็หันหลังเดินกลับไป
ในตอนนี้ ผู้หญิงอายุประมาณห้าสิบก้าวออกมาและยื่นนมหนึ่งแก้วให้ชายหนุ่มด้วยรอยยิ้ม
“เสี่ยวเหวิน นี่เพื่อนลูกรึ?”
ผู้หญิงคนนั้นถาม
จากนั้นเธอก็รีบพูดขึ้น “ฉันขอโทษด้วยนะ ฉันไม่รู้ว่าเพื่อนของเสี่ยวเหวินจะมา เข้ามานั่งก่อนสิ เดี๋ยวฉันจะทำอาหารเช้าให้คุณ”
“ขอบคุณครับคุณป้า”
ซูเย่ยิ้มและพยักหน้า
“จะทำอาหารเช้าไปทำไม”
ชายหนุ่มจิบนมร้อนพลางกล่าว “เขาไม่ใช่เพื่อนของผม เป็นเพื่อนของหวังห่าว”
“โอ้ เพื่อนของเสี่ยวห่าวหรอกเหรอ”
หญิงชราคนนั้นพยักหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ หายไป เธอชี้ไปที่โซฟาในห้อง “นั่งลงก่อนสิ”
ดวงตาของซูเย่หรี่ลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าท่าทีของพวกเขาจะเปลี่ยนไป
“หวังห่าวเป็นคนขอให้ผมมาเยี่ยมคนที่บ้านน่ะครับ พอดีว่าเขากำลังง่วนอยู่กับงาน”
ซูเย่นั่งลงพร้อมกับวางของขวัญที่เขานำมาลงบนโต๊ะ และพูดกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “นี่คือผลไม้และผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพที่ซื้อให้คุณป้าโดยเฉพาะ”
“เสี่ยวห่าวซื้อมันมาเหรอ?”
มารดาของหวังห่าวเหลือบมอง หยิบของขวัญจากมือของซูเย่ และพูดกับชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ “เสี่ยวเหวิน แม่จะเอาของพวกนี้ไว้ในห้องของลูกนะ จะกินตอนไหนก็เรียกแม่ เดี๋ยวแม่มาทำให้”
“อย่าเพิ่งยุ่งเลยแม่ คุยกับเขาเถอะว่ามาทำไมกันแน่”
ชายหนุ่มวางนมครึ่งแก้วที่เหลือลงบนโต๊ะ มองที่ซูเย่แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หวังห่าวให้คุณมาทำอะไร เขาไม่ได้กลับมานานแค่ไหนแล้ว มาทีก็มีของมาแค่นี้น่ะเหรอ เขายังสนใจบ้านหลังนี้อยู่อีกเหรอ”
“คุณคือ?”
ซูเย่เอ่ยถาม
“ฉันเป็นพี่ชายของเขา หวังเหวิน”
ชายหนุ่มมองซูเย่อย่างไม่พอใจและเอ่ยถาม “ทำไม มันไม่ได้บอกว่ามีพี่ชายรึไง จะทำเป็นว่าฉันไม่มีตัวตนอยู่รึไง?”
“อ้อ ผมคิดว่ามีเพียงลุงและป้าเท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่นี่”
ซูเย่กล่าวอย่างใจเย็น
“คุณพูดเรื่องอะไร?”
ใบหน้าของหวังเหวินเคร่งขรึมลง “นี่คือบ้านของฉัน จะมีแค่พ่อกับแม่อยู่ได้ยังไง คุณกับหวังห่าวคิดว่าฉันไม่มีตัวตนจริง ๆ รึไง”
อะไรวะ?
ซูเย่งุนงงเล็กน้อย และกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”
“แล้วคุณหมายความว่ายังไง”
หวังเหวินเดินเข้าไปใกล้เพื่อกดดัน “ทำไมล่ะ มันเป็นแค่ตำรวจตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง คิดจะจับฉันรึไง?”
“พอได้แล้ว”
แม่ของหวังห่าวเดินเข้ามาพร้อมกับพูดอย่างโกรธเคือง “คุณไปเถอะ กลับไปบอกหวังห่าว อย่ากลับมาสร้างปัญหาให้ที่บ้านอีก ไม่ว่ายังไงครอบครัวของเราจะไม่มีวันสงบสุขในที่ที่มีมันอยู่ มันได้ดิบได้ดีแล้ว ไม่สนเรื่องครอบครัวของเราแล้ว”
“ฮึ”
หวังเหวินเค้นเสียงอย่างเย็นชาตามด้วยประโยคที่พูดอย่างประชดประชัน “ไม่รู้จักมีความกตัญญูเลย ตัวเองไม่กลับมาเองแต่ให้เพื่อนมาแทน หรือว่ามันสละชีพตายไปแล้วละ?”
“พวกที่ทำงานราชการ ถ้าสละชีพก็ควรได้เงินชดเชยใช่ไหม”
“ค่าชดเชยเท่าไหร่? ค่าปลอบขวัญเท่าไหร่?”
เมื่อพูดถึงเรื่องเงิน หวังเหวินก็กล่าวด้วยดวงตาที่หมายมาด ท่าทางของเขาดูไม่สนใจเลยว่าหวังห่าวจะเป็นหรือตาย
“คุณอยากให้น้องชายของตัวเองสละชีพงั้นเหรอ?”
ใบหน้าของซูเย่เคร่งขรึมลงหลายส่วน และมองหน้าอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
[1] Double-blinded experiment) คือการที่ผู้เข้าร่วมการวิจัยหรือผู้ทดลองไม่ทราบว่าใครได้รับการรักษาเป็นพิเศษ ขั้นตอนนี้จะใช้เพื่อป้องกันความเอนเอียงที่เป็นอัตวิสัยบางครั้งโดยไม่รู้ตัว