เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 11 การพบหน้ากันของสองพี่น้องตระกูลไป๋และหลี่มู่เสวี่ย
- Home
- เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]
- บทที่ 11 การพบหน้ากันของสองพี่น้องตระกูลไป๋และหลี่มู่เสวี่ย
บทที่ 11 การพบหน้ากันของสองพี่น้องตระกูลไป๋และหลี่มู่เสวี่ย
เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ?
เจ้าเวรกรรรม?
ซู่เย่คือเทพเจ้าเวรกรรมผู้ยิ่งใหญ่แห่งเกม Fantasy Dream งั้นเหรอ?
ทุกคนอึ้งค้าง แล้วมองไปยังซูเย่
ตอนนี้เกม Fantasy Dream ได้เข้าถึงวัยรุ่นแทบทุกคน ใครบ้างไม่เคยเล่น ใครบ้างไม่อยากรู้เกี่ยวกับเทพผู้ยิ่งใหญ่คนนั้น
แต่ตอนนี้ ‘เจ้าเวรกรรม’ ที่ถูกขนานนามว่าเทพผู้ยิ่งใหญ่อันดับสองในเกมคือเพื่อนร่วมชั้นของพวกเขาเอง?
ซูเย่เด็กเนิร์ด ไม่ใช่ว่าเอาแต่ขยันเรียนทุกวัน ไม่สนใจเกมงั้นเหรอ เขาไปมีฝีมือการเล่นขั้นเทพแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
หลี่มู่เสวี่ยมองไปทางซูเย่ เมื่อลู่เย่เห็นดังนั้น ร่างเขาราวถูกแช่แข็ง ใบหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด
ทำไมไม่ว่าจะที่ไหนก็มีแต่คนรู้จักซูเย่?
ในเวลาไม่นาน กระดาษและปากกาก็ถูกส่งมา
เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในคนหนึ่งหมื่นคนที่ติดตามตัวเอง ซูเย่จึงเซ็นชื่อให้ก่อน แล้วเอ่ยถาม
“เกิดอะไรขึ้น”
“ไม่มีอะไรไม่มีอะไร ผมดื่มเยอะไปหน่อย”
อีกฝ่ายส่ายหน้าแล้วโบกมือไปมา ริมฝีปากฉีกยิ้มแหะๆ
“ผมผิดเอง ขอโทษนะครับ ขอโทษด้วย เพื่อเป็นการขอโทษคืนนี้ผมจ่ายบิลให้ท่านเทพเอง”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปพูดกับเพื่อนของลู่เย่ทันที “ฉันจัดการบิลของพวกเขาเอง! มีเครื่องดื่มอะไรดีๆ เอามาให้หมด!”
ลู่เย่ตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนี้ และความโกรธรุนแรงก็ฉายขึ้นในดวงตาของเขา นี่มันเดจาวูชัดๆ!
แม่งเอ้ย! ตอนกินข้าวถูกแย่งซีนไปก็แล้วไปเถอะ เพราะยังไงเฉินเซียนเยว่ก็เป็นคนที่ไม่ควรมีเรื่องด้วย แล้วยังช่วยประหยัดเงินไปหลายหมื่น
แต่นี่แค่ร้องคาราโอเกะจะสักกี่บาทกันวะ! ไอ้คนพวกนี้นี่! ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่อยากเสียหน้าต่อหน้าหลี่มู่เสวี่ยติดๆ กันแบบนี้ ถ้าครั้งนี้ยังถูกแย่งซีนไปอีก เขาที่เป็นคนชวนทุกคนมาก็คงกลายเป็นตัวตลกน่ะสิ!
“วันนี้เพื่อนร่วมชั้นเขารวมตัวกัน ฉันเลี้ยงเอง นี่เป็นเรื่องที่ตกลงกันไว้แล้ว ไม่รบกวนพวกนายหรอก”
ลู่เย่ก้าวออกมา กล่าวขณะปั้นหน้ายิ้ม
“แล้วนี่เป็นใครวะ”
คนก่อเรื่องที่เมื่อกี้ยิ้มแหะๆ อยู่หน้าซูเย่ หันศีรษะมาจ้องเขม็งไปทางลู่เย่ทันที “ฉันเลี้ยงไอดอลของฉันให้ร้องเพลงกินเหล้า เกี่ยวไรกับแก บิลวันนี้ของไอดอลฉัน ฉันจ่ายเอง ถ้ายังจะมาแย่ง เดี๋ยวปั๊ดเหนี่ยว!”
ใบหน้าของลู่เย่แข็งค้าง กำหมัดแน่น เขาเห็นประกายเย็นเยียบพาดผ่านในสายตาของอีกฝ่ายจริงๆ
เพื่อนของเขารีบเข้ามารั้งแขน ลู่เย่สูดหายใจลึกหนึ่งเฮือก พยายามดับไฟความโกรธในอก
“พอได้แล้ว”
ซูเย่รั้งแขนของคู่กรณีเอาไว้ ผู้ฝึกยุทธ์ไม่สามารถใช้พลังปราณต่อคนธรรมดาได้ และยิ่งไปกว่านั้นเขาต้องปกป้องเพื่อนของเขา
“ได้ ท่านเทพบอกว่าพอก็พอ”
คนหนุ่มที่ถูกซูเย่รั้งแขนเอาไว้ยิ้มแหะๆ ให้ซูเย่ บรรยากาศพลันผ่อนคลายลง และเนื่องจากสัมผัสได้ถึงพลังที่รั้งแขนของตัวเองอยู่ ชายคนนั้นจึงถามขึ้นเสียงเบา
“ท่านเทพ ฉันอยากรู้ว่าทำไมนายถึงเก่งขนาดนี้?”
“นายกลับตัวเป็นคนดีเมื่อไรแล้วฉันจะบอก”
ซูเย่เอ่ยขึ้นขณะมองไปที่ชายหนุ่ม
“ฮะ?” ชายคนนั้นผงะไป
ทุกคนที่ได้ยินก็อึ้งค้าง
กลับตัวเป็นคนดี?
ชายหนุ่มยิ้มขื่น มองไปทางซูเย่อย่างกระอักกระอ่วน เมื่อสัมผัสได้ถึงประกายในสายตาของซูเย่ ชายคนนั้นพลันพยักหน้าหงึกๆ “ได้ครับๆ”
สิ่งที่เห็นตอนนี้ทำให้ทุกคนต้องเบิกตาค้าง รวมไปถึงเพื่อนของชายคนนั้น และเพื่อนของลู่เย่
ทำไมต่อหน้าเจ้าเวรกรรมก็ว่าง่ายขึ้นมาเลยละ? นี่คือหัวโจกที่เขารู้จักอยู่รึเปล่า
ความไม่พอใจของลู่เย่เพิ่มขึ้น ไม่เห็นแก่หน้าเขาแต่ให้หน้าซูเย่ขนาดนี้ มองเขาเป็นตัวอะไรกัน พลันสาวเท้าเข้าไปในห้องทันที พยายามกดความไม่พอใจไว้จนจบ
เมื่องานเลี้ยงรุ่นจบลง ซูเย่จึงเรียกรถที่หน้าร้านแล้วบอกลากับเพื่อนๆ ขึ้นรถเพื่อกลับบ้าน
ลู่เย่อยากรั้งหลี่มู่เสวี่ยไว้แล้วไปส่งเธอเอง แต่หลี่มู่เสวี่ยเดินจากไปอย่างเย็นชา ลู่เย่จึงเตะกองหิมะบนพื้นอย่างอดไม่ได้
ซูเย่ ทั้งหมดนี่เป็นเพราะแก!
…
“ซูเย่”
เมื่อลงรถที่หน้าหมู่บ้าน ซูเย่พลันได้ยินเสียงตะโกนขึ้น เงาคนที่คุ้นเคยเดินลงจากรถที่อยู่ไม่ไกลนัก ขวางอยู่เบื้องหน้า
หลี่มู่เสวี่ย
“ซูเย่ ขอโทษนะ”
เมื่อเดินมาถึงเบื้องหน้าของซูเย่เธอก็กล่าวเสียงเบา “นายยกโทษให้ฉันได้ไหม”
“อืม”
ซูเย่พยักหน้าอย่างเฉยชา “ฉันยกโทษให้เธอ มีเรื่องอื่นอีกไหม”
หลี่มู่เสวี่ยผงะ เงยหน้ามองซูเย่
“ไม่ ฉันรู้ว่าตอนนี้นายยังโกรธอยู่ ตอนนั้นฉันอยากสอบต่อโทมากจริงๆ เลยทำแบบนั้นไป”
“นายก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ ตอนนี้ฉันสอบโทได้แล้ว นายก็ได้เรียนคณะสมุนไพรจีน ผลลัพธ์นี้ทุกคนก็มีความสุขดีไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันหวังว่านายจะยกโทษให้ฉันจริงๆ”
หลี่มู่เสวี่ยขอร้องอ้อนวอนด้วยสีหน้าจริงจัง
ซูเย่ยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ส่องประกายเจิดจ้า คำพูดนี้ผ่านการกลั่นกรองมาแล้วสินะ…
ทำไมเขาถึงเรียนคณะสมุนไพรจีนงั้นเหรอ? เพราะเขาไม่สามารถเรียนแพทย์แผนปัจจุบันต่อได้แล้วยังไงละ!
เดิมเขาเป็นนักศึกษาแพทย์แผนตะวันตก สาขาเวชศาสตร์คลินิก ที่เรียนระดับปริญญาตรีโทเอกต่อกัน และเขาเขียนบทความตอนปริญญาโทสำหรับการสำเร็จการศึกษาแล้วเสียด้วย
แต่ยังไม่ทันได้เผยแพร่ ก็ถูกแฟนเก่าคนนี้ของเขาเอาไปเผยแพร่เองโดยพลการ แล้วหลังจากนั้นด้วยความไม่รู้ เขาได้เผยแพร่ออกไปอีก ทำให้กลายเป็นว่าชายหนุ่มลอกงานของเธอ จนตัวเขาถูกถอดใบปริญญาโท ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องต่อปริญญาเอก
เขาใช้ฐานะนักศึกษาปริญญาตรีสอบเข้าคณะสมุนไพรจีน ไม่ใช่ปริญญาโท ส่วนหลี่มู่เสวี่ยที่เผยแพร่บทความถูกรับรองเข้าเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตู!
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้ชื่อเสียงของซูเย่ถูกทำลายย่อยยับ กลายเป็นตัวตลกที่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะ
ไม่เพียงเสียปริญญาโทไปเท่านั้น แต่ความตั้งใจที่จะเรียนแพทย์แผนปัจจุบันของเขาก็สูญสิ้น
ซูเย่ไม่ได้อธิบายในขณะนั้น แต่หันไปเรียนแพทย์แผนจีนแทน
แบบนี้เรียกว่าไม่เสียหายงั้นเหรอ?
ถึงแม้ว่าในใจเขายังมีร่องรอยความโกรธอยู่ แต่ซูเย่ไม่ต้องการขุดคุ้ยเรื่องราวเก่าๆ อีกต่อไป ตอนนี้เขาและหลี่มู่เสวี่ยกลายเป็นคนที่อยู่คนละโลกกันแล้ว
“พอเถอะ ฉันให้อภัย” ซูเย่พยักหน้า ก่อนจะถามต่อ “ยังมีเรื่องอะไรอีกไหม?”
“ฉัน…”
หลี่มู่เสวี่ยดูเหมือนยังอยากพูดต่อ แต่กลับพูดอะไรไม่ออก ภาพที่เธอจินตนาการไว้ไม่ใช่แบบนี้ ซูเย่ไม่ควรที่จะเฉยชาต่อเธอเช่นนี้ เขาควรที่จะมีอารมณ์เดือดดาล ถามซักไซ้ไล่เลียง หรืออย่างน้อยก็ควรที่จะโมโหเธอ
เธอคิดเอาไว้แล้วว่าจะอธิบายยังไง แต่ทุกคำที่เธอพูดดูเหมือนจะไร้ผล
ในยามนี้ พลันมีแสงหน้ารถส่องมา
เอี๊ยด…
รถคันหนึ่งแล่นผ่าน ก่อนจะหยุดลงด้านข้าง
“ซูเย่?”
กระจกข้างเลื่อนลง เสียงที่ระคนไปด้วยความประหลาดใจดังลอดออกมา
ซูเย่หันศีรษะไปมอง พบว่าหญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งกำลังจ้องมองตัวเองอยู่ และที่นั่งด้านข้างคนขับก็มีหญิงสาวที่หน้าตาเหมือนกันนั่งอยู่และมองที่เขา นั่นคือสองพี่น้องไป๋จือหราน ไป๋จือเหยียน…
“ทำไมพวกเธอมาอยู่ที่นี่”
ซูเย่เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ มองไปที่ทั้งสองคนแล้วมองดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว
ทำไมสองพี่น้องถึงมาปรากฏตัวที่นี่?
“นายจริงๆ ด้วย!”
ไป๋จือเหยียนเดินลงจากรถก้าวเข้ามา “ตอนที่พี่บอก ฉันยังไม่เชื่อเลย ไม่คิดว่าจะเจอนายที่นี่จริงๆ”
“นั่นบ้านของฉันเอง”
ซูเย่ชี้ไปยังบ้านของตัวเอง แล้วชี้ไปที่รถของสองพี่น้อง
“แล้วนี่… พวกเธอมาทำไม?”
“นายก็อยู่ที่นี่เหรอ?”
ไป๋จือเหยียนเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“บังเอิญจริง คุณปู่ของฉันก็อยู่ที่นี่ ทำไมเมื่อก่อนมาแล้วไม่เคยเจอนายเลยละ?”
“เมื่อก่อนฉันเป็นเด็กเนิร์ดน่ะ วันวันอยู่แต่บ้านอ่านหนังสือ”
ซูเย่ยิ้มขณะเอ่ยตอบ
หลี่มู่เสวี่ยมองไปยังสองสาวที่ปรากฏกายอย่างกะทันหัน พวกเขาสนิทกันงั้นเหรอ พวกเขาเป็นอะไรกันแน่?
เธอได้แต่แอบอิจฉาอยู่ลึกๆ ในใจ
สองคนนี้สวยมากจริงๆ!
“คนนี้คือ?” ไป๋จื่อหรานที่เพิ่งลงจากรถมองไปทางหลี่มู่เสวี่ย แล้วเอ่ยถาม
“เพื่อนสมัยมัธยมต้น” ซูเย่ตอบ
“สวัสดี ฉันคือแฟนเก่าของซูเย่” หลี่มู่เสวี่ยเอ่ยขึ้นพลางมองไปที่สองพี่น้องตระกูลไป๋
เมื่อได้ยินดังนั้นสองพี่น้องก็เข้าใจทันที
“โอ๊ะ ดูไม่ออกเลยว่าลูกพี่ซูจะยังเป็นคนที่ตัดบัวยังเหลือใยกับแฟนเก่า!” ไป๋จือเหยียนมองไปที่ซูเย่อย่างติดตลก
ซูเย่ยิ้ม “กลับไปฉันจะตัดบัวให้ดูว่ายังเหลือใยอยู่ไหม”
“พวกนายคุยกันต่อเถอะ คุณปู่ยังรอพวกเราอยู่ ไปก่อนนะ”
ไป๋จือหรานเอ่ยยิ้มๆ ในตอนที่กำลังจะดึงแขนน้องสาวให้เดินออกมา พลันหยุดฝีเท้าลง หันศีรษะกลับมามองยังซูเย่ “จริงสิ คุณปู่ของพวกเราร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ไว้นายมีเวลาช่วยมาดูให้หน่อยได้ไหม”
“ได้สิ เพื่อนบ้านกันนี่”
ซูเย่พยักหน้ายิ้มๆ “แต่ไม่ต้องรอวันอื่นหรอก วันนี้เลยก็ได้”
“ถ้าไม่รบกวนมากเกินไป ขอบคุณนะ”
ซูเย่ก้าวไปข้างหน้า เดินตามรถเข้าไปในหมู่บ้าน
เมื่อเห็นดังนั้น หลี่มู่เสวี่ยก็ได้แต่อึ้งอยู่ที่เดิมด้วยใบหน้าที่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ราวกับว่าไม่ได้สนใจ แต่ก็มีอารมณ์โกรธแวบผ่าน ดูเหมือนปล่อยวาง แต่ก็เหมือนว่ารู้สึกผิดหวัง ความรู้สึกแบบนี้ทำให้เธอรู้สึกยากที่จะยอมรับ
สามปีในมหาวิทยาลัยเธอจับทางซูเย่ได้แม่นยำ แต่เดิมคิดว่าครั้งนี้ก็เหมือนกัน คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้
เมื่อคิดถึงเรื่องในวันนี้ แล้วยังมีเพื่อนสองคนของซูเย่ที่สวยกว่าตัวเอง ไม่เจอกันเพียงแค่หนึ่งปีเท่านั้น แต่ความรู้สึกที่ซูเย่มีต่อเธอกลับเหมือนกับถูกกั้นไว้คนละโลก!
“ซูเย่!”
ใบหน้าของหลี่มู่เสวี่ยยากจะอธิบาย มองซูเย่หายลับไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน แล้วหันกายจากไป
อีกด้านหนึ่ง ซูเย่มาถึงบ้านคุณปู่ของสองพี่น้องไป๋ พวกเขาไม่ได้พูดผิดจริงๆ บ้านปู่ของพวกเธออยู่ห่างจากบ้านของซูเย่ไปไม่กี่หลังเท่านั้น
“ขอบคุณที่ช่วยพาออกมา”
ซูเย่เอ่ย
“ไม่เป็นไร”
ไป๋จือหรานกล่าว “เห็นว่านายดูกระอักกระอ่วนใจ ก็เลยช่วยไปงั้นแหละ แต่คุณปู่ของฉันไม่ค่อยสบายจริงๆ เพราะงั้นเลยอยากขอให้อัจฉริยะหนึ่งในสามของมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยางช่วยตรวจดูให้หน่อย”
“ได้เลย” ซูเย่กล่าว
“พ่อหนุ่มคนนี้คือ?”
เมื่อเปิดประตู คุณปู่คุณย่าของสองพี่น้องมองไปยังซูเย่ ก่อนจะถามอย่างฉงน
“คุณปู่คะ นี่คือเพื่อนของหนู เขาเรียนแพทย์แผนจีน หนูเลยขอให้เขาช่วยมาดูอาการปู่”
ไป๋จือเหยียนแนะนำอย่างยิ้มแย้ม
“สวัสดีพ่อหนุ่ม”
คุณปู่พยักหน้ายิ้มแย้ม กล่าวเชิญชวนเข้ามาในบ้าน “เข้ามากันเร็ว”
“พ่อหนุ่มเรียนแพทย์จีนรึ”
เมื่อเดินเข้าประตู คุณปู่ก็จ้องซูเย่เขม็ง กล่าวยิ้มตาหยี “เป็นเพื่อนกับหลานสาวฉัน… อื้มๆ หน้าตาก็ดูไม่ขี้เหร่เท่าไหร่ ”
ซูเย่ “…”
การที่เขาเรียนหมอกับหน้าตาของเขามันเกี่ยวกันยังไง?
“แค่นี้?”
ไป๋จือหรานส่งเสียงฮึฮะ “คุณปู่คะ นานแค่ไหนแล้วที่ปู่ไม่ได้เห็นผู้ชายหล่อ รูปลักษณ์ของเขาถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยคนธรรมดาทั่วไปอีกนะ”
“ในสายตาของน้องสาวฉัน คนที่มีรูปลักษณ์สูงกว่าค่าเฉลี่ยคนธรรมดาดูเหมือนจะมีนายคนเดียวในตอนนี้”
ไป๋จือหรานพูดขึ้นเสริมทันที
ซูเย่ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย “ดึกมาแล้ว ฉันรีบตรวจร่างกายให้คุณปู่ดีกว่า จะได้ไม่รบกวนเวลาพักคุณปู่คุณย่าด้วย”
“ได้ แต่ฉันจะไม่บอกอะไรทั้งนั้นนะ พ่อหนุ่มดูเอาเองเถอะ”
คุณปู่กล่าวขึ้นพร้อมยิ้มมุมปาก
ซูเย่ยิ้มรับ นี่คือจะทดสอบเขาสินะ
ทุกวันนี้หลายๆ คนมักไม่ให้ข้อมูลอะไรตอนไปรับการตรวจกับแพทย์แผนจีน และขอให้หมอไม่ถามอาการ เพียงแค่วินิจฉัยอาการของตนเอง เพื่อตัดสินความสามารถของแพทย์คนนั้น การใช้วิธีนี้ไม่ผิด แต่การถามในการวินิจฉัยสี่วิถีก็จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ไป
แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก บางครั้งการตรวจดูอย่างเดียวโดยไม่ถามตอบก็แม่นยำกว่า ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร