เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 32 การวินิจฉัยสี่วิถีที่เร็วที่สุด
บทที่ 32 การวินิจฉัยสี่วิถีที่เร็วที่สุด
“ตามนั้นเลยครับ”
ซูเย่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เพราะที่ผมพูดมันคือความจริง”
“นักศึกษาซูเย่ของเราปากร้ายไม่เบา”
โปรดิวเซอร์ยกนิ้วโป้งให้ซูเย่จากหลังกล้อง
อีกทางด้านหนึ่ง หวังจี้เชาก็กำลังให้สัมภาษณ์อยู่เช่นกัน
“วันพรุ่งนี้ก็จะเริ่มการบันทึกตอนที่สามของรายการแล้ว ซึ่งเป็นการสอบครั้งที่สามของการแข่งขันแพทย์แผนจีนด้วย คุณถูกซูเย่กดไว้ในสองตอนแรก อันที่จริงความสามารถของคุณกับซูเย่ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ในการสอบครั้งที่สาม คุณจะเอาชนะซูเย่ได้ไหม?”
โปรดิวเซอร์ถามอย่างไร้อารมณ์ คำถามคมยิ่งกว่ามีดเสียอีก
“แน่นอนครับ!”
หวังจี้เชาตอบทันทีโดยไม่ลังเล
“ตอนนี้คุณยังไม่รู้ว่าจะแข่งขันอะไร แต่คุณมั่นใจว่าจะชนะได้งั้นเหรอ?”
โปรดิวเซอร์ถามอีกครั้ง และทันทีที่เขาถามออกมา ใบหน้าของหวังจี้เชาก็เริ่มบิดเบี้ยวน่าเกลียด
นี่มันคำถามอะไรวะเนี่ย!
โปรดิวเซอร์รอคำตอบจากหวังจี้เชา
“ความสามารถจะบอกทุกอย่างเอง!”
หวังจี้เชาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างจริงจัง
“ความสามารถที่ไม่เคยชนะซูเย่ได้เลย สามารถบ่งบอกถึงความมั่นใจที่จะชนะซูเย่ได้?” โปรดิวเซอร์ยังคงสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม
หวังจี้เชา “…”
นี่เป็นซูเย่ปลอมตัวมาหรือเปล่าวะ!
ในยามนี้สมองของเขามีเงาของซูเย่ปรากฏขึ้นมา
“วันพรุ่งนี้ ซูเย่ นายรอดูฉันได้เลย!!”
……
เช้าวันถัดมา เวลาเก้าโมง ทุกคนรวมตัวกันที่บริเวณหน้าโรงแรม แล้วขึ้นรถบัสที่ทางรายการจัดไว้
สิบนาทีที่ต่อมา รถบัสหยุดลงที่เขตชานเมืองตี้ตู รอบบริเวณเป็นสนามกว้าง ดูเหมือนสถานที่เช่าชั่วคราว พื้นที่นี้กว้างใหญ่มาก มีอาคารขนาดใหญ่บริเวณจุดศูนย์ ในอาคารกลางแบ่งเป็นห้อง 6 ห้อง ที่หน้าประตูแต่ละห้องติดกระดาษสีที่ต่างกันเอาไว้
รถจอดอยู่ที่ทางเข้า กล้องที่ปรับมุมได้หลายตัวได้ถูกติดตั้งไว้ทุกด้านแล้ว
เมื่อทุกคนลงจากรถ พวกเขาก็ไปรวมตัวกันที่ทางเข้า
“ยินดีต้อนรับทุกคนสู่สนามสอบของเราวันนี้”
พิธีกรยืนต่อหน้าทุกคนแล้วกล่าวต้อนรับ “ที่นี่คือสถานที่เข้าร่วมในการสอบครั้งที่สามในวันนี้ หลังจากการคัดเลือกสองรอบแรก ตอนนี้เหลือผู้เข้าแข่งขันอีก 30 คน ต่อไปทุกคนจะถูกแบ่งออกเป็นหกกลุ่ม ห้าคนต่อหนึ่งกลุ่ม”
“การสอบวันนี้คือ การวินิจฉัยสี่วิถี”
เมื่อเขาพูดจบ ผู้เข้าสอบสามสิบคนพลันยิ้มในใจ ที่จริงพวกเขาเดาได้ตั้งนานแล้ว รายการแพทย์จีนมีอะไรให้ทำไม่เยอะมากนักหรอก หลังจากทดสอบทฤษฎีและจำแนกสมุนไพรแล้ว จะมีอะไรที่สามารถเอามาสอบได้อีก นอกจากการวินิจฉัยสี่วิถี?
การวินิจฉัยสี่วิถีถือเป็นการสอบภาคบังคับสำหรับแพทย์แผนจีน!
“ตอนนี้เราจะจับฉลากเพื่อแบ่งกลุ่ม”
ตามที่พิธีกรประกาศ ทีมงานก็เดินขึ้นมาพร้อมกล่องทันที
“ในกล่องมีกระดาษสีหกสี แต่ละสีมีห้าใบ และสีเดียวกันจะถูกจัดเป็นกลุ่มเดียวกัน”
ขณะพูด ทุกคนก็ได้จับสลากเรียบร้อยแล้ว ซูเย่ได้สีแดง ชายหนุ่มจึงเดินไปรวมกลุ่มกับผู้เข้าแข่งขันอีกสี่คนจากมหาวิทยาลัยอื่นที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
“อันดับต่อไป แต่ละกลุ่มจะทำการวินิจฉัยสี่วิถีให้ผู้ป่วยอาสาสองคนตามลำดับ ก่อนสิ้นสุดการตรวจ ต้องจดกระบวนการทั้งหมดของการวินิจฉัยสี่วิถี และระบุโรคของผู้ป่วย ไม่จำเป็นต้องเขียนเทียบยา”
หลังจากพิธีกรพูดจบ เขาก็เอ่ยถาม“ทุกคนเข้าใจแล้วใช่ไหม”
“เข้าใจครับ”
ทุกคนพยักหน้า
ไม่ต้องออกเทียบยาก็ถือว่าไม่ได้ยากมากนัก
แต่ว่า มันง่ายขนาดนั้นจริงเหรอ?
แค่การวินิจฉัยสี่วิถีและระบุโรค?
ทุกคนเคยถูกทีมงานของรายการหลอกไปครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกหวาดระแวงเป็นพิเศษ
“อันดับต่อไป ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจะต้องไปยังห้องทดสอบของตนเองตามสีที่กำหนดไว้และเตรียมรับการทดสอบ”
ขณะพูด พิธีกรก็ถอยไปอีกด้านหนึ่ง เปิดทางให้ทุกคนเดินไปยังห้องที่หน้าประตูติดสีเดียวสีที่พวกเขาได้
ภายใต้การจัดการของทีมงาน การสอบประเมินเริ่มทันที!
ในฐานะที่เป็นคนแรกของกลุ่มสีแดง ซูเย่เดินเข้าไปในห้องสอบทันที
เมื่อเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป ซูเย่เหลือบมองไปรอบๆ เขาพบว่าในห้องมีผู้ป่วยนั่งติดกัน 2 คน คนไข้แต่ละคนมีโต๊ะตรวจวินิจฉัยอยู่เบื้องหน้า ดังนั้นชายหนุ่มจึงวางกระดาษและปากกาไว้บนโต๊ะตรวจ
ทั่วทั้งห้องมีกล้องจำนวนมากติดตั้งอยู่ ครอบคลุมเกือบทุกมุมที่สามารถถ่ายได้ ดูเหมือนว่าจะไม่มีทีมงานมารบกวนในห้อง แต่พวกเขาจะควบคุมและสังเกตการณ์จากระยะไกลแทน
“สวัสดีครับ”
ซู่เย่เดินเข้าไปนั่งด้านหน้าผู้ป่วยคนแรก แล้วเริ่มซักประวัติผู้ป่วยทันที
“ป่วยเป็นอะไรมาครับ”
“ไอ”
ผู้ป่วยคือชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบ ตอนที่เขาเห็นซูเย่เดินเข้ามาแววตาเขาก็พลันมีความสงสัยเล็กน้อย
“มีอาการอื่นร่วมด้วยไหมครับ”
ซูเย่หยิบปากกาขึ้นมาจดระหว่างที่ซักประวัติ
“ไอกับมีเสมหะ แล้วก็เจ็บหน้าอกเป็นมาเกือบเดือนแล้ว หนึ่งเดือนก่อนเริ่มไอ แล้วก็มีเสมหะเล็กน้อย ต่อมาก็เริ่มมีไข้”
“มีน้ำมูกด้วยไหมครับ”
“ไม่มี”
“ก่อนหน้านี้ได้ทานยาอะไรไหมครับ”
“ก่อนหน้านี้กินยาที่หมอให้ไป เรียกว่าอะไรนะ… อ้อ ตำรับยาลิ่วจฺวินจื่อ แล้วเพิ่มซูเกิ่งกับชวนผู่ ต่อมาไอหนักยิ่งกว่าเดิม มีบางครั้งที่ไอหนักมากจนเจ็บไปถึงหน้าอกและท้องน้อยเลย”
“เสมหะมีลักษณะเป็นแบบไหนครับ”ฃ
“สีเหลืองๆ เหนียวหนืด”
“มีอาการคันในลำคอบ้างไหมครับ”
“ใช่ๆ รู้สึกคอแห้งแล้วก็คันด้วย”
“อุจจาระปัสสาวะปกติดีไหมครับ”
“อุจจาระแข็ง ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม”
……
ซูเย่พยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเอ่ย “อ้าปากหน่อยครับ”
เมื่อดูลิ้นเสร็จก็เอ่ย “ยื่นแขนให้จับชีพจรหน่อยครับ”
ในเวลาไม่นานซูเย่ก็จับชีพจรเสร็จ
เขาเริ่มทำการจดบันทึกเวชระเบียนทันที
เพศชาย อายุ 42 ปี อาการ ไอ เป็นระยะเวลาหนึ่งเดือน
ก่อนหน้านี้กินยาตำรับลิ่วจฺวินจื่อ ประกอบกับซูเกิ่งและชวนผู่
ลิ้นสีแดง มีสีเหลืองเล็กน้อย
ชีพจรปกติ
วิเคราะห์อาการ… ผู้ป่วยหนึ่งเดือนก่อนเริ่มไอ มีเสมหะเล็กน้อย เป็นไข้ ไม่มีน้ำมูก
วินิจฉัยโรค… เสมหะอุดกั้นปอด
ในส่วนของวิเคราะห์อาการและโรคซูเย่เขียนไว้อย่างละเอียด หลังจากที่เขียนเสร็จ ซูเย่ก็ค้อมหัวขอบคุณผู้ป่วยอย่างมีมารยาท แล้วจึงเดินไปหาผู้ป่วยคนถัดไป
ในยามนี้ ในห้องที่ไม่ได้ติดป้ายสี มีอาจารย์สิบคนที่เชิญมาโดยคณะผู้จัดกำลังดูจอภาพ พวกเขาคอยให้คะแนนผู้เข้าแข่งขัน และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเป็นกลาง อาจารย์ทั้งสิบคนนี้จึงไม่ใช่อาจารย์ในมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนที่เข้าร่วมกันแข่งขัน แต่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียง
“นักศึกษาคนนี้ไม่ได้เลวเลย เขาเร็วมาก ถามตรงจุดอย่างแม่นยำ และสังเกตอาการอย่างละเอียด อาการเล็กน้อยก็ไม่ปล่อยผ่านเลย เขาเข้มงวดมาก”
อาจารย์คนหนึ่งชี้ไปที่ซูเย่บนจอมอนิเตอร์และพูดด้วยรอยยิ้ม คนอื่นๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย ดวงตาที่พวกเขามองไปยังซูเย่ฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
พวกเขาได้ดูรายการอนาคตการแพทย์แผนจีน มันเยี่ยมมากที่ได้เห็นซูเย่ในรายการ และตอนนี้พวกเขาก็ได้โอกาสมาสังเกตอย่างใกล้ชิดและพบว่าอีกฝ่ายช่างยอดเยี่ยมจริงๆ!
นักศึกษาคนหนึ่งสามารถซักประวัติคนไข้ได้เหมือนหมอจีนรักษาคนมาหลายปี ตั้งแต่การซักประวัติ การวินิจฉัยชีพจร การวิเคราะห์อาการ ทุกขั้นตอนละเอียดรอบคอบ
นักศึกษาคนนี้อนาคตไกลแน่นอน!
ผู้ป่วยคนที่สอง เป็นผู้หญิงวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบ
“ไม่สบายตรงไหนครับ” ซูเย่นั่งลงหน้าโต๊ะแล้วเริ่มซักประวัติ
“แค่กแค่ก…”
ทันทีที่ซูเย่นั่งลง ผู้ป่วยก็เริ่มไออย่างรุนแรง ขณะที่ไอก็หันศีรษะไปอีกด้านหนึ่งทันที และเอากระดาษทิชชูปิดปากปิดจมูก หลังจากนั้นก็เอาทิชชูทิ้งถังขยะที่ทีมงานเตรียมไว้
“หมอคะ ฉันก็ไอเหมือนกัน”
ผู้ป่วยสูดหายใจลึก ตบหน้าอกเบาๆ เมื่อการสงบแล้วก็เริ่มพูด “เป็นมาเดือนกว่าแล้ว”
ซูเย่พยักหน้าเข้าใจ
“มีอาการแบบนี้หลายครั้งแล้วใช่ไหมครับ” ซูเย่เอ่ยถาม
“เห้อ.. เป็นซ้ำๆ มายี่สิบปีแล้วค่ะ ทุกครั้งที่ป่วยจะมีอาการช่วงหนึ่ง” ผู้ป่วยถอนหายใจพลางเอ่ยตอบ
“ไอแบบเมื่อครู่นี้ถือว่าไอหนักมากแล้วใช่ไหมครับ” ซูเย่ถามอีกครั้ง
“ใช่ค่ะ” ผู้ป่วยพยักหน้าทันที
“ทานอาหารได้ไหมครับ”
“กินได้ไม่ค่อยเยอะ”
“ปัสสาวะอุจจาระปกติไหมครับ”
“บางที่ก็ท้องผูก ปัสสาวะปกติดี”
……
ซูเย่มองสำรวจขณะเอ่ยถาม แล้วจดบันทึก
เพศหญิง อายุ 54 ปี
วิเคราะห์อาการ… ไอ หอบหืด มีเสมหะเยอะแต่ไม่บ่อย ระหว่างที่ไอรุนแรงไม่มีเสียงแหบ ครั้งนี้เป็นมาเดือนกว่าแล้ว มีอาการไอรุนแรง หายใจลำบาก อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และ อุจจาระแข็ง ลิ้นสีซีด มีรอยฟัน มีสีออกขาว ชีพจรช้า
การวินิจฉัย… ภาวะพร่องชี่ของปอดพร่องและอาการเสมหะคั่งค้าง
หลังจากที่บันทึกเวชระเบียนอย่างละเอียดแล้ว ซูเย่ก็ลุกขึ้นยืน พยักหน้าเบาๆ ให้ผู้ป่วย จากนั้นจึงออกจากห้องตรวจ
ด้านนอก เมื่อเห็นซูเย่ออกมา ทั้ง 4 คนที่กำลังเข้าแถวรอการสอบต่างตกตะลึง เขาออกมาในห้านาที?
หรือว่าของกลุ่มของเราจะง่ายมาก?
เมื่อคนในกลุ่มเดียวกันเห็นซูเย่ออกมา คนที่สองก็ลุกขึ้นทันที แล้วก้าวเข้าห้องสอบโดยไม่ลังเลเลย
“ถ้ามันง่าย บางทีความเร็วของฉันอาจจะแซงซูเย่!”
ผลก็คือ หลังจากที่เข้าไปได้เพียงนาทีเดียว เขาก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งซูเย่ในใจ
“ซูเย่ไอ้โรคจิต!”
เดิมที สมาชิกในทีมคนอื่นๆ แอบปรึกษากันว่าจะแข่งขันกับซูเย่ เพราะการวินิจฉัยสี่วิถีเป็นจุดแข็งของพวกเขา!
แต่เมื่อเข้าไปในห้องสอบพวกเขาต่างรู้สึกทุกข์ระทม…
หลังการทดสอบ ไม่เพียงแต่กลุ่มสีแดงเท่านั้น แต่ยังไม่มีใครในกลุ่มใดสามารถทำลายสถิติเวลาของซูเย่ได้
หวังจี้เชาในเวลานี้ก็ยังจนปัญญา แต่เดิมเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและออกมาภายในหกนาที
แต่หลังจากออกมา เขากลับได้รับรู้ว่าซูเย่สอบเสร็จภายในห้านาที อารมณ์ของเขาจึงเปลี่ยนเป็นหดหู่ทันที และดูเหมือนว่าเขาจะรู้สึกได้ว่าโปรดิวเซอร์ในกลุ่มผู้ชมด้านหน้ากำลังมองเขาอย่างสงสัย
มอง!
มองหาพ่อง!
หลังจากที่หวังจี้เชาออกมาและรู้ว่าซูเย่ซักประวัติผู้ป่วยสองคนในห้านาที เขาก็มองซูเย่อย่างจนปัญญา
“ทุกคนมารวมตัวทางนี้”
เมื่อพิธีกรเรียกทุกคนมารวมกันอีกครั้ง
ในเวลานี้ ทุกคนมาถึงอีกฟากหนึ่งของอาคาร ที่นี่ไม่มีห้องแยก มีแต่โถงขนาดใหญ่มาก และเวทีที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ติดตั้งไว้แล้ว
“การประเมินครั้งแรกกำลังจะสิ้นสุดลง แต่ทุกคนคงไม่คิดว่าการประเมินของวันนี้จะจบลงง่ายๆ แบบนี้หรอกใช่ไหมครับ?” พิธีกรยิ้มและเดินขึ้นไปบนเวที
เมื่อผู้เข้าแข่งขันทั้งหมดได้ฟัง พวกเขาก็ยิ้มเย็นในใจทันที
ก็ว่าอยู่มันจะง่ายขนาดนี้ได้ยังไง!
ชอบหลอกแบบนี้อยู่เรื่อย มีอะไรก็บอกตรงๆ ไม่ได้หรือยังไง?
ทุกคนก็เป็นคนเข้าใจอะไรง่าย มีอะไรพูดมาทีเดียวมันจะตายหรือไง?
“อันที่จริง การประเมินในตอนนี้เป็นเพียงการประเมินความสามารถโดยรวมของทุกคนในการวินิจฉัยสี่วิถี แต่สิ่งที่กำลังจะตามมาคือไฮไลท์ของวันนี้!”
เสียงของพิธีกรเพิ่งจบลง บนหน้าจอใหญ่บนเวทีพลันสว่างขึ้น ทุกคนหันศีรษะไปมอง เห็นแค่เพียงห้องขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ โดยมีผู้ป่วยหลายร้อยคนนั่งอยู่ในนั้น และผู้ป่วยแต่ละรายมีสติกเกอร์หมายเลขบนเสื้อของพวกเขา
“สิ่งที่คุณเห็นคือสถานการณ์ภายในห้องโถงแห่งนี้ และสิ่งที่คุณต้องทำคือไปตรวจโดยการมองด้วยตาเท่านั้น สิ่งที่ต้องทำคือการสังเกตผิวลิ้นของผู้ป่วย จากผู้ป่วยทั้งหมดหนึ่งร้อยราย ค้นหาผู้ป่วยที่ป่วยตรงตามโรคที่กำหนดและเขียนหมายเลขของผู้ป่วยลงในกระดาษคำตอบ!”
“สำหรับการประเมินนี้ทุกคนมีเวลา 15 นาที!”
“ส่วนจะต้องหาโรคอะไร ทีมงานจะบอกหน้าประตู”
“อะไรนะ?!”
“ให้วินิจฉัยโดยการดูลิ้นของผู้ป่วยร้อยคนในสิบห้านาที นี่จงใจฆ่าเราหรือเปล่า?”
ผู้เข้าแข่งขัน 30 คนแทบจะกลายเป็นคนเสียสติทันทีหลังจากได้ยินกฎ