เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 34 ไอเดียพิสดารของรายการ
บทที่ 34 ไอเดียพิสดารของรายการ
อะไรนะ???
นาฬิกาจับเวลาไม่ได้พัง?
ซูเย่สอบเสร็จแล้ว?
ผู้สอบที่เหลือ 19 ในพื้นที่รอสอบต่างรู้สึกตกตะลึง
“บ้าจริง”
“เป็นไปไม่ได้
เป็นไปไม่ได้!”
“15 นาทีไล่ดูลิ้นของผู้ป่วยร้อยคนยังแทบจะไม่ทันเลย
5 นาทีจะเป็นไปได้ยังไง?”
“ซูเย่ใช้วิธีอะไร
ถ้าไล่ดูแบบปกติคงไม่เร็วขนาดนี้”
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังตกใจ
ทุกคนต่างมีความคิดมากมายผุดขึ้นมา ทว่าพวกเขาก็ยังอยากรู้ว่าซูเย่ทำได้ยังไง
แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงพวกเขาก็คิดไม่ออก
ในตอนนี้เอง
ซูเย่เดินออกมาจากสนามสอบไปยังห้องรับรอง ทันทีที่เปิดประตูเดินเข้าไป
สายตาทุกคู่ก็จับจ้องมาที่เขาทันที
พรึ่บ——
สายตาทุกคู่ล็อกเป้าหมายไว้ที่ร่างของซูเย่
ลวี่อวิ๋นเผิงยืนขึ้นมา ก้าวไปหาซูเย่อย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยถาม “นายใช้เวลาแค่ห้านาทีก็สอบเสร็จจริง ๆ งั้นเหรอ”
“อืม”
ซูเย่พยักหน้า
“นายทำได้ยังไง”
ลวี่อวิ๋นเผิงรีบเอ่ยถามทันที
คำถามนี้ราวกับเป็นตัวแทนของคนทั้งห้อง!
หวังจี้เชาก็จ้องเขม็งไปที่ซู่เย่
เพื่อรอฟังคำตอบ
“ใช้สมองก็ทำได้แล้ว”
ซูเย่ตอบยิ้ม ๆ
“หมายความว่าไง?”
ลวี่อวิ๋นเผิงผงะไป
“ก็ไม่มีอะไรยากนี่
ก่อนเข้าไปในห้อง จะมีคนบอกว่าเราต้องหาโรคอะไรใช่ไหมล่ะ?”
ซูเย่เอ่ยตอบ “หลังจากที่รู้ว่าเราต้องหาโรคอะไร เราก็ต้องคิดถึงลักษณะอาการใกล้เคียงที่จะปรากฏบนใบหน้าก่อนไม่ใช่เหรอ”
“ใครเป็นคนบอกว่าต้องดูลิ้นอย่างเดียว”
“แค่ต้องคัดกรองผู้ป่วยโดยใช้สายตาก็สามารถหาผู้ป่วยที่มีลักษณะอาการตรงกับโรคที่เราต้องหา
จัดให้เป็นกลุ่มเดียวกัน แล้วตัดคนอื่นที่ไม่เข้าข่ายออกไป
แล้วก็ค่อยไปไล่ดูลิ้นของคนที่เราจัดเอาไว้ตอนแรก แค่นี้ก็เสร็จแล้วไง”
ทันทีที่พูดจบ
ซูเย่ก็เดินไปนั่งตรงที่ว่าง ตอนนี้หมดเรื่องของเขาแล้ว แต่สีหน้าของคนอื่น ๆ
ในห้องรับรองต่างตกตะลึง
ที่เขาพูดก็ไม่ผิดนี่!
สามารถใช้สายตาตัดกลุ่มคนที่ไม่เข้าข่ายออกไปก่อน
วิธีที่ง่ายแบบนี้ทำไมเขาถึงคิดไม่ออกกัน!!
ภายในชั่วพริบตา
สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวน่าเกลียดทันที
พวกเขาควรจะคิดได้สิ!
นี่พวกเขารีบร้อนเกินไปหรือโง่เกินไปงั้นเหรอ?
ชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาของทุกคนที่มองไปยังซูเย่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความหดหู่ใจ
“ไม่จริง!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงคนโต้แย้งขึ้นมา “ต่อให้ทำตามวิธีที่บอกก็ทำไม่ได้ มีคนไข้เป็นร้อยในนั้น
นายใช้เวลาแค่ห้านาที ยังไงก็เป็นไปไม่ได้”
ทุกคนคำนวณอย่างระมัดระวัง
มันเป็นความจริงที่ไม่สามารถใช้เวลาเพียงแค่นั้นในการสอบได้
ดวงตาของทุกคนจดจ่อไปที่ซูเย่อีกครั้ง
“คัดกรองรอบแรกสามนาที
อีกสองนาทีสำหรับการตรวจลิ้นผู้ป่วย เวลาห้านาทีพอดี”
ซูเย่พูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเขาพูดออกมา
สายตาของทุกคนในห้องรับรองพลันจ้องไปที่ซูเย่ราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาด
คัดกรองผู้ป่วยร้อยคนในสามนาที?
เป็นไปได้อย่างไร?
ในกลุ่มคน
หวังจี้เชาสูดหายใจเข้าลึก ๆ
แม้ว่าเขาจะคิดว่าการคัดกรองผู้ป่วยหลายร้อยคนในสามนาทีนั้นยาก
แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น…
วิธีการที่ซูเย่ใช้จึงถือเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบในการรับมือกับการสอบแบบนี้
“ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึง”
เมื่อมองไปที่ซูเย่
หวังจี้เชาถามตัวเองและไตร่ตรองอย่างจริงจัง
“เห้อ
ดูเหมือนว่าฉันจะกังวลเกินไปและอยากจะเอาชนะเขามากเกินไป เลยไม่ทันได้คิด”
“ต่อไปไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับการสอบรูปแบบใดก็ตาม
เราไม่สามารถเข้าร่วมการสอบเพื่อเอาชัยชนะโดยสุ่มสี่สุ่มห้าอีกต่อไป
เราจะต้องใช้สมองให้มาก ใช้ความคิดและปัญญาให้เกิดประโยชน์”
“ไม่อย่างนั้น…ก็จะเหมือนคนโง่!”
แม้ว่าซูเย่จะทำให้ทุกคนตกใจเป็นอย่างมากแต่การประเมินก็ยังคงดำเนินต่อไป
และเมื่อรอจนสอบครบทุกคนก็เป็นเวลาเย็นแล้ว
สถิติการนับถอยหลังบนหน้าจอขนาดใหญ่
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าซูเย่อยู่อันดับแรก …เวลา 5 นาทีที่ไม่มีใครสั่นคลอนได้!!
ทุกคนที่เสร็จสิ้นการสอบทีหลัง
หลังจากที่พวกเขาได้รู้วิธีที่ซูเย่ใช้ พวกเขาก็อดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้
มันเป็นวิธีที่ใครใครต่างคิดไม่ถึง
แต่เมื่อรู้ก็พบว่ามันเป็นวิธีพื้นฐานง่าย ๆ ที่พวกเขามองข้ามไป
“ทำไมฉันถึงคิดไม่ถึงกันนะ”
“ฉันประมาทเกินไปแล้ว
ทำไมฉันไม่คิดใช้วิธีนี้ก่อนสอบล่ะเนี่ย”
“ถ้าใช้วิธีนี้
แม้ว่าเวลาจะไม่เร็วเท่าซูเย่ แต่คงสอบเสร็จได้เร็วกว่าเดิมอย่างแน่นอน”
“ซูเย่
นี่เขามองการสอบเป็นการแข่งเชาวน์ปัญญาไปแล้วใช่ไหม?”
“ดูเหมือนว่าฉันจะต้องใช้สมองให้มากขึ้นสักหน่อย”
ทุกคนยิ้มอย่างขมขื่นพลางคิดในใจ
แม้ว่าพวกเขาจะมีความตั้งใจที่จะโต้กลับเสมอมา
แต่ตอนนี้พวกเขารู้สึกว่ามันค่อนข้างยากลำบากไปหน่อย
คะแนนของซูเย่ในสามครั้งนี้มันดีเกินไป
และทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่ามีภูเขาที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ขวางอยู่เบื้องหน้าของพวกเขา
เมื่อสอบเสร็จแล้ว
ทุกคนก็มารวมตัวกัน
“การสอบของวันนี้จบลงเท่านี้”
พิธีกรยิ้มพลางเอ่ยบอกผู้เข้าแข่งขันทั้งสามสิบคน “คืนนี้ทุกคนพักผ่อนให้เพียงพอ พรุ่งนี้เวลาแปดโมงเช้า
ทีมงานรายการจะประกาศผลการสอบ ตอนนั้นจาก 30 คนจะเหลือเพียง 20
คน”
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้น
ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเล็กน้อย แม้ว่าทุกคนจะสามารถเห็นการจัดอันดับบนหน้าจอขนาดใหญ่ได้
แต่ก็เป็นการจัดอันดับเวลา ไม่ใช่คะแนนที่ได้
ดังนั้นความสนใจของทุกคนจึงไม่ได้อยู่ที่อันดับเวลา
แต่พวกเขากำลังอธิษฐานโดยหวังว่าคำตอบของตัวเองจะถูกต้องเพื่อให้ได้คะแนนสูงขึ้นอย่างน้อยก็เพื่อที่จะเข้ารอบถัดไป
การอัดรายการสิ้นสุดลง
ทุกคนนั่งรสบัสกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม
……
แปดโมงเช้าวันถัดมา
รสบัสของรายการมาหยุดที่หน้าทางเข้าโรงแรมอีกครั้ง
รอจนทุกคนขึ้นรถ
ก็ออกเดินทางไปยังสถานที่สอบแห่งเดิมอีกครั้ง
ทุกคนมองไปที่ทีมงานอย่างฉงนใจทันที
ไม่ใช่บอกว่าจะประกาศคะแนนเหรอ?
ทำไมต้องถ่อมาถึงที่นี่ด้วย?
“ทุกคนเข้าไปข้างในกันก่อน
ไปที่โซนรอสอบของเมื่อวาน” ทีมงานเดินเข้ามาบอกทุกคน
หลังจากที่ทุกคนเดินเข้าไปนั่งในโซนรอสอบเรียบร้อยแล้ว
พิธีกรก็เดินยิ้มตาหยีมาแต่ไกล
เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นพลันรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ค่อยจะดีนัก
รายการคงไม่ได้มีความคิดพิสดารอะไรมาอีกใช่ไหม?
“ขอประกาศกับทุกคนด้วยความยินดีอย่างยิ่ง
เพราะการสอบครั้งที่สามของพวกเรายังไม่จบลง!”
พิธีกรยิ้มไปถึงดวงตา
แล้วกล่าวทันที
“วันนี้พวกเราจะสอบกันต่อ”
ทุกคน “…”
รายการหลอกคน หลอกจนติดเป็นนิสัยแล้วสินะ
แต่ทุกคนมีปฏิกิริยาตอบสนองที่แตกต่างกันในเวลานี้
คนที่รู้สึกว่าตัวเองทำได้ดีในการสอบเมื่อวานนี้ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ส่วนคนที่รู้สึกว่าสอบได้ไม่ดี ตาพลันเป็นประกาย พวกเขาอาจมีโอกาสแก้มือ!
“คราวนี้ให้พวกเรามาสอบโดยไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้าใช่หรือไม่”
ผู้เข้าแข่งขันเอ่ยถามอย่างเบื่อหน่าย
“ฮ่าฮ่า ถูกต้อง!”
พิธีกรหัวเราะแล้วประกาศ “เราได้ประเมินการวินิจฉัยสี่วิถีโดยรวมและการวินิจฉัยโดยการมองด้วยสายตาแล้ว
วันนี้การสอบที่สำคัญอีกรายการหนึ่งของการวินิจฉัยสี่วิถี
การวินิจฉัยโดยการจับชีพจร!”
ทุกคนตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น
ร่องรอยของความเสียใจฉายแววในดวงตาของพวกเขาเล็กน้อย เขาควรที่จะคิดได้เกี่ยวกับเรื่องนี้
การวินิจฉัยสี่วิถีจะสอบแค่การวินิจฉัยโดยการมองด้วยสายตาได้ยังไง
มันต้องมีการจับชีพจรด้วย!
“เหตุผลที่ผมไม่ได้บอกทุกคนล่วงหน้าก็คือการป้องกันไม่ให้ทุกคนใช้ประโยชน์จากเวลาที่เหลือเพื่อหาข้อมูลเสริม
ส่งผลให้พักผ่อนได้ไม่ดีและอาจทำให้สอบได้ไม่ดี”
ทุกคน “…”
ที่เขาพูดก็น่าฟังดีหรอก
แต่สรุปง่าย ๆ ก็แค่กลัวทุกคนจะเตรียมตัวล่วงหน้าไม่ใช่หรือ?
“ทุกคนโปรดดูที่หน้าจอ”
พิธีกรเอ่ยบอก
ห้องขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนหน้าจอทันที
มีผู้หญิง 100 คนในชุดเครื่องแบบสีขาวที่เหมือนกัน นั่งบนเก้าอี้นั่งรออยู่ในห้อง
พิธีกรที่เห็นแบบนั้นจึงกล่าวต่อ “มีอาสาสมัครร้อยคนที่นี่
สิ่งที่คุณต้องทำคือตรวจชีพจรของพวกเธอเพื่อหาผู้ที่กำลังตั้งครรภ์”
“กำหนดเวลา 30
นาที”
อะไรนะ!?
หลังจากได้ยินผู้เข้าแข่งขันทั้ง
30 คนก็ตื่นตกใจทันที
ตกใจยิ่งการกว่าสอบก่อนหน้านี้อีก!
การสอบครั้งก่อนแค่ 15 นาทียังพอไหว แต่ครั้งนี้ตอนจับชีพจรต้องสงบนิ่งและต้องใช้เวลา
จะจับชีพจรร้อยคนใน 30 นาทีได้ยังไง
ที่สำคัญคือยังต้องหาคนที่กำลังตั้งครรภ์!
ยากไปแล้ว!
“เวลามันไม่พอหรอก”
“เวลาน้อยเกินไปแล้ว”
“เวลาสามสิบนาที
จะทำได้ยังไง?”
“ทำไมทีมงานถึงทำแบบนี้อยู่เสมอ
นี่คือการสอบหรือบังคับให้เราทำลายขีดจำกัดของตัวเอง”
“อย่าว่าแต่ร้อยคนเลย
ต่อให้มี 90 คน เวลา 30 นาทีเฉลี่ยออกมาแล้วใช้เวลาหนึ่งนาทีต้องตรวจได้สามคน
ใครจะไปทำได้กัน”
“การวินิจฉัยโดยการจับชีพจรของแพทย์แผนจีน
เป็นวิธีการที่ต้องใช้สมาธิอย่างสูง
มหาวิทยาลัยสอนให้จับชีพจรผู้ป่วยเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งนาทีต่อคน
แต่รายการให้เราจับชีพจรหนึ่งคนในเวลา 20 วินาทีโดยไม่มีเวลาให้หยุดพัก
จะเป็นไปได้ยังไง”
“ไม่ไหวแล้ว
นี่มันยากเกินไป!”
“ไม่ใช่ว่ายาก
แต่การกำหนดเวลาแค่นี้มันไม่สมเหตุสมผล”
ทุกคนต่างส่งเสียงประท้วง
“เมื่อวานพวกคุณก็พูดแบบนี้”
พิธีกรเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “คุณยังคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหาคนป่วยตามอาการที่กำหนดโดยการตรวจลิ้นผู้ป่วยคนร้อยคนในเวลา
15 นาที แต่สุดท้ายเป็นอย่างไร พวกคุณก็ทำได้นี่ครับ”
ขณะพูดก็มองไปทางซูเย่
ซูเย่ผงะไป มองผมทำไม
ผมเกี่ยวอะไรด้วย..
เมื่อทุกคนได้ยินดังนั้นดวงตาพลันเป็นประกาย
ไม่แน่ว่าอาจจะมีทางลัดอะไรก็ได้
เมื่อวานซูเย่ก็หาทางลัดในการสอบที่ใช้เวลาแค่ห้านาทีได้นี่น่า
ทุกคนพลันเริ่มใช้สมองคบคิดหาวิธีลัดทันที บางทีอาจจะได้วิธีดี ๆ
มาใช้ในการสอบก็ได้!
เมื่อพิธีกรเห็นทุกคนตกสู่ห้วงความคิด
ก็รีบพูดขึ้นทันที “การสอบวันนี้ก็ใช้การเรียงลำดับเหมือนเมื่อวาน”
“และเพราะเวลาสอบวันนี้ค่อนข้างนาน
ผมจึงไม่ขอรบกวนเวลาของทุกคนแล้ว แต่ผมขอเน้นย้ำหนึ่งเรื่อง
ไม่สามารถซักประวัติได้ อย่างเช่น
ไม่สามารถถามได้ว่าคนที่ไม่มีประจำเดือนมามากกว่าครึ่งเดือนช่วยยกมือขึ้นอะไรแบบนั้น”
ทุกคนมุ่นคิ้วทันที
เพราะพวกเขาคิดที่จะทำแบบนั้นจริงๆ
ทีมงานทำเกินไปแล้ว!
“การสอบเริ่มได้”
“หมายเลขหนึ่ง
เชิญเข้าสนามสอบ”
เมื่อพูดจบ
ลู่จวิ้นที่เป็นหมายเลขหนึ่งก็เดินออกมาจากกลุ่มคน เดินเข้าไปในห้องสอบทันที
นอกจากสิ่งที่ต้องสอบในวันนี้แล้ว
ขั้นตอนทุกอย่างเหมือนกับเมื่อวานทุกประการ
หน้าจอขนาดใหญ่ในพื้นที่รอสอบยังแสดงเวลานับถอยหลังทันทีที่ลู่จวิ้นเข้าไปในห้องสอบ
แต่เวลาเปลี่ยนจากการนับถอยหลัง 15 นาทีเป็น 30 นาที
สามสิบนาที
เมื่อเวลานับถอยหลังหมดลง
ลู่จวิ้นเดินออกจากห้องสอบด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปความข่มขื่น เธอใช้เวลา 30 นาทีในการจับชีพจรอาสาสมัครทั้งหมด 100 คนในห้องสอบ
มันมีวิธีลัดซะที่ไหนละ?
เป็นไปไม่ได้ที่จะคัดกรองสตรีมีครรภ์โดยการใช้สายตามองดู
อาสาสมัครที่ทีมงานหามามีทั้งคนผอม คนท้วม คนรูปร่างอ้วนที่ทำให้มองดูแล้วสับสนได้
เมื่อเห็นว่าลู่จวิ้นใช้เวลาสามสิบนาที
ทุกคนพลันตระหนักได้ว่าพวกเขาดูเหมือนจะถูกหลอกโดยทีมงานอีกแล้ว
มันมีวิธีลัดที่ไหนกัน!
นี่มันต้องเดินดูทีละคนทีละคนชัด ๆ!
อันดับต่อไป หมายเลขสอง
หมายเลขสาม หมายเลขสี่ ทุกคนต่างใช้เวลาในการสอบ 30 นาทีเต็ม
แต่ถึงจะใช้เวลา 30 นาทีเต็มก็ยังไม่มีใครสามารถจับชีพจรครบร้อยคนได้เลย
แม้แต่ลวี่อวิ๋นเผิงยังใช้เวลาถึง
29 นาที แต่ในตอนที่ทุกคนกำลังรู้สึกว่าการสอบครั้งนี้มียากกว่าที่จินตนาการไว้
นักศึกษาคนที่แปดจากมหาวิทยาลัยแพทย์ซีเป่ยกลับใช้เวลาเพียง 28 นาทีในการสอบ
ผลลัพธ์นี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจ
ไม่มีใครคาดถึงว่ายังคงมีคนเก่งหลบซ่อนตัวอยู่ในหมู่พวกเขา
ดูเหมือนว่าจุดแข็งของคนคนนี้…
คือการตรวจชีพจร!
ในเวลาไม่นานการสอบก็ดำเนินไปถึงคนที่สิบ
หวังจี้เชา
หวังจี้เชาสูดหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือกเพื่อผ่อนคลาย
แล้วเดินเข้าสนามสอบอย่างสงบนิ่ง ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของทุกคน
เขาใช้เวลาในการสอบ 25 นาที แล้วเดินออกมา
ผลลัพธ์นี้ทำให้ทุกคนรู้สึกตกตะลึง
โดยเฉพาะคนที่สอบเสร็จแล้ว
เวลามันเทียบจะไม่พอ
แต่หวังจี้เชาสอบเสร็จภายใน 25 นาที เขาทำได้ยังไง?
ในระหว่างที่ทุกคนกำลังตกตะลึง
ซูเย่ก็ก้าวเท้าเข้าไปในสนามสอบ