เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 42 ค้นพบสมุนไพรวิเศษโดยไม่คาดคิด
บทที่ 42 ค้นพบสมุนไพรวิเศษโดยไม่คาดคิด
“เกิดอะไรขึ้น?”
คุณหมอประจำหมู่บ้านผู้นั่งยองๆ อยู่ข้างกล่องยาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนและกวาดตามองคนแปลกหน้าที่ปรากฏตัวอยู่เต็มห้อง
“เราเป็นหมอจากในเมืองที่จะมาตรวจคนไข้ฟรีที่นี่ครับ” ผู้กำกับรีบเข้ามาอธิบาย “ผมได้แจ้งกับทางผู้ใหญ่บ้านเอาไว้แล้ว”
นั่นเองคุณหมอชราถึงได้นึกออก…
ปรากฏว่าเป็นกลุ่มคุณหมอจากในตัวเมืองที่จะมาเปิดคลินิกสนามตรวจโรคให้ชาวบ้านฟรีๆ นี่เอง ยังอายุน้อยกันอยู่เลย!
หลังจากนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็เข้ามายืนยันสิ่งที่ผู้กำกับพูด
แต่ถึงกระนั้น คุณหมอประจำหมู่บ้านก็ยังไม่แน่ใจและต้องเข้าไปตรวจสอบอาการคนไข้ด้วยตนเอง
เมื่อมั่นใจดีว่าทุกคนปลอดภัยแล้ว คุณหมอถึงได้เบาใจ
ซูเย่เดินเข้าไปหาคุณหมอชราและมองยาจากตะวันตกในมือของท่าน ซึ่งมันเป็นยาแก้ปวดชนิดหนึ่ง
ชายหนุ่มพูดกับคุณหมอประจำหมู่บ้านว่า “ตอนนี้คนไข้อาการไม่น่าเป็นห่วงแล้วครับ อีกไม่นานทุกคนคงฟื้นตัวดี ส่วนยาพวกนี้เก็บเอาไปให้คนที่มีอาการเล็กน้อยดีกว่าครับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น
คุณหมอประจำหมู่บ้านก็รีบแจกจ่ายยาแก้ปวดทันที
หลังจากแจกยาเสร็จแล้ว คุณหมอชราก็เดินกลับมาถามซูเย่ด้วยความสงสัย
“คุณหมอหนุ่ม คุณรักษาทุกคนได้ยังไง?”
“ผมใช้วิธีการฝังเข็มน่ะครับ”
“อย่าบอกนะว่าคุณเป็นแพทย์แผนจีน?”
คุณหมอประจำหมู่บ้านเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ เขานึกว่าคณะหมอจากในเมืองที่จะมาตรวจชาวบ้านในวันนี้จะเป็นแพทย์แผนปัจจุบันเสียอีก ไม่เห็นผู้ใหญ่บ้านบอกเลยว่าเป็นแพทย์แผนจีน
“ใช่แล้วครับ” ซูเย่พยักหน้า
“แพทย์แผนจีนนี่แหละดีที่สุดแล้ว” ชายชราถอนหายใจออกมา “อย่าทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ เหมือนผมเลย รักษาแบบแพทย์แผนตะวันตกก็ไม่เก่ง รักษาแบบแพทย์แผนจีนก็ไม่ได้เรื่อง ถ้าวันนี้คุณหมอไม่มาช่วยฝังเข็มให้ชาวบ้าน เรื่องคงบานปลายไปมากกว่านี้แน่ๆ”
“คุณลุงหมอถ่อมตัวเกินไปแล้วครับ”
ซูเย่ยิ้มตอบกลับไปอย่างสุภาพ
ในเวลาเดียวกันนี้
ผู้เข้าแข่งขันอีกเก้าคนก็เดินเข้ามา
“ฉันตรวจดูแล้ว อาการคนไข้ทุกคนคงที่ดี แต่พิษยังอยู่ในร่างกาย”
ซูเย่เงียบไปเล็กน้อย ก่อนพูดต่อ “ฉันว่าพวกเรามาเขียนใบสั่งยาร่วมกันดีกว่า หลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว จะได้ช่วยชาวบ้านขับพิษให้เร็วที่สุด พวกนายว่าไง?”
เมื่อถามออกไป
ผู้เข้าแข่งขันอีกเก้าคนก็พยักหน้า
นี่คือวิธีที่ดี
ดวงตาของผู้กำกับจ้าวเป็นประกายวาวโรจน์และรีบสะกิดให้ตากล้องถ่ายภาพเอาไว้
หวังจี้เชาพูดขึ้นมาเป็นคนแรกว่า “ผักกาดน้ำเล็ก 10 กรัม”
ลู่จวิ้นรับช่วงต่อ “โป่งรากสน 15 กรัม”
ลวี่อวิ๋นเผิงกล่าวเสริม “โฮ่วผู่ 10 กรัม”
…
เมื่อได้ยินคุณหมอหนุ่มสาวเหล่านี้บอกชื่อสมุนไพรจีนออกมาอย่างคล่องแคล่ว
คุณหมอชราประจำหมู่บ้านก็มีดวงตาเป็นประกายแวววาว
นี่คือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ถึงเขาจะมีความรู้เกี่ยวกับแพทย์แผนจีนเพียงเล็กน้อย และไม่ทราบเลยว่าชื่อสมุนไพรที่ถูกกล่าวถึงแต่ละตัวนั้นมีสรรพคุณอย่างไรบ้าง แต่มันก็ฟังดูน่าเชื่อถือเหลือเกิน
“ฉันขอเพิ่มเก่อเกินอีก 15 กรัมก็แล้วกัน” เมื่อทุกคนระบุตัวยาครบถ้วนแล้ว ซูเย่ถึงได้เพิ่มตัวยาสำคัญสำหรับการแก้อาการท้องเสียเข้ามา
กลุ่มผู้เข้าแข่งขันหันมองหน้ากันและหัวเราะร่วนด้วยความคึกคักแจ่มใส
เพียงเท่านี้คนไข้ก็ปลอดภัยแล้ว ทุกคนลืมเรื่องราวการแข่งขันไปชั่วคราว สมาธิของพวกเขาในขณะนี้อยู่ที่การรักษาคนไข้เท่านั้น
ทันใดนั้น
ทีมงานก็นำรถเข็นบรรจุสมุนไพรจีนมากมายเข้ามาในบ้านพัก
เมื่อเห็นว่าพวกของซูเย่แก้ไขสถานการณ์และรักษาอาการคนไข้จนปลอดภัยดีแล้ว คณะแพทย์แผนจีนอาวุโสซึ่งเดินทางมาเป็นผู้คุมสอบในรถยนต์ที่ขับตามมาด้านหลังก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
“รถของทีมงานคันอื่นๆ เพิ่งมาถึง ตอนนี้ทุกคนกำลังรออยู่ครับ”
ผู้ช่วยผู้กำกับคนหนึ่งเดินเข้ามาแจ้ง
หลังจากนั้น
จ้าวเหมียนจึงเป็นผู้จัดการทุกอย่าง
ทีมงานวิ่งวุ่นนำสมุนไพรจากใบสั่งยาของผู้เข้าแข่งขันมาต้มเป็นยาเพื่อให้ชาวบ้านรับประทาน
หลังรับประทานยาต้มเหล่านั้นเข้าไปเพียงครู่เดียว ชาวบ้านที่อาหารเป็นพิษอย่างหนักหน่วงก่อนหน้านี้ ก็ฟื้นตัวขึ้นเป็นอย่างดี
เมื่อเห็นเช่นนี้
ผู้เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงก็ถึงกับโล่งใจ
ถ้าไม่ใช่เพราะพวกของซูเย่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้ทันเวลา งานเฉลิมฉลองแห่งความสุขของพวกเขาคงกลายเป็นงานเศร้าเสียแล้ว
หลังจากนั้น ทางพ่อครัวคนใหม่ก็ถูกตามตัวมาให้ทำอาหารเลี้ยงรับรองทีมงานและกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน
ทีมงานแอบให้เงินเจ้าของบ้าน แต่เจ้าของบ้านไม่ยอมรับ
จ้าวเหมียนนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็ตัดสินใจว่าค่อยนำเงินก้อนนี้ไปสร้างประโยชน์ให้แก่หมู่บ้านในทางอื่นก็แล้วกัน
ผู้ใหญ่บ้านคอยเดินดูอาการของคนป่วยที่ไม่หนักมาก จากนั้นจึงหันมาขอบคุณพวกของซูเย่และทีมงานครั้งแล้วครั้งเล่า
แม้แต่ชาวบ้านที่ไม่ได้รู้เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็ยังมาต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น
ทีมงานค้นหาที่พักพบเจออย่างรวดเร็วและวางแผนจะเริ่มเปิดคลินิกสนามสำหรับการตรวจโรคฟรีในวันพรุ่งนี้
และเนื่องจากที่นี่เป็นหมู่บ้านห่างไกลตัวเมือง หมู่บ้านแห่งนี้จึงไม่มีโรงแรมหรือบ้านพักสำหรับการรองรับนักท่องเที่ยวโดยตรง เพราะฉะนั้น ทีมงานและกลุ่มผู้เข้าแข่งขันจึงต้องเข้าพักในบ้านร้างภายในหมู่บ้าน ซึ่งบ้านแต่ละหลังก็ได้รับการทำความสะอาดเป็นอย่างดีมาก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ทางทีมงานมีจำนวนคนเยอะเกินไป บางส่วนจึงต้องแยกย้ายไปนอนอยู่บนรถบัส
เมื่อได้บ้านพักของตนเองแล้ว ซูเย่ก็เก็บกระเป๋าเดินทางและนั่งลงพักผ่อน
เมื่อสักครู่ตอนที่รักษาคนไข้ เขาใช้พลังลมปราณไปจำนวนมาก นี่จึงเป็นโอกาสที่เขาจะได้ดูดซับพลังคืนกลับมาบ้าง
“เอ๋?”
แต่ระหว่างที่กำลังนั่งดูดซับพลังจากรอบกายอยู่นั้นเอง ซูเย่พลันลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของปราณธรรมชาติ มีบางอย่างผิดปกติ!
หรือจะมีสมุนไพรวิเศษอยู่แถวนี้?
หัวใจเต้นรัว
ชายหนุ่มหยุดการดูดซับพลัง ก่อนเปิดประตูเดินออกไปจากบ้านพัก
“รับซื้อของเก่า ของเสีย ของไม่ใช้งานจ้า ซื้อง่ายจ่ายสะดวก พ่อค้าใจดี แล้วก็ให้ราคาดีด้วยจ้า!”
ขณะที่ซูเย่ออกเดินหาที่มาของพลังปราณธรรมชาติ
จังหวะนั้น รถตู้คันหนึ่งเคลื่อนที่อย่างช้าๆ ไปตามถนนในหมู่บ้าน เสียงประกาศดังผ่านโทรโข่งที่ติดอยู่ด้านหน้าของรถยนต์
“พ่อค้า พ่อค้า”
ฉับพลันนั้น ชาวบ้านคนหนึ่งวิ่งออกมาตะโกนเรียกรถตู้ ในมือของเขาหิ้วตะกร้าใบใหญ่มาด้วย
รถตู้หยุดลง
ซูเย่ชำเลืองมองสิ่งของที่อยู่ในตะกร้าใบนั้นจากระยะไกล แล้วเขาก็ต้องชะงักกึก ก่อนยิ้มกว้างและเดินเข้าไปยืนดูอยู่ห่างๆ
“ของพวกนี้ขายได้ไหมครับ?”
ชาวบ้านหนุ่มถามพร้อมกับชี้มือลงไปยังตะกร้าที่ใส่ถ้วยชามกระทะผุพังเต็มไปหมด
“ไหนขอดูหน่อยสิ”
คนรับซื้อของเก่าปิดโทรโข่ง กระโดดลงจากรถ และหยิบถ้วยชามที่อยู่ในตะกร้าขึ้นมาตรวจดูทีละใบ
เมื่อเห็นชามกระเบื้องเคลือบใบหนึ่ง ดวงตาของคนรับซื้อของเก่าก็เบิกโต
“ของพวกนี้ขายไม่ค่อยได้ราคาหรอก”
หลังจากตรวจสอบจนครบถ้วนแล้ว เขาก็แจ้งต่อชาวบ้านคนนั้นว่า “ผมให้ชิ้นละ 10 หยวน เต็มที่ได้แค่นี้”
พูดพร้อมกับทำท่าจะควักเงิน
“เดี๋ยวก่อน” ชาวบ้านคนนั้นร้องลั่น รีบลากตะกร้าของตนเองกลับมาจากอีกฝ่าย และหยิบชามกระเบื้องเคลือบใบหนึ่งขึ้นมาจากในตะกร้า ก่อนพูดว่า “ของอย่างอื่นผมขายให้ชิ้นละ 10 หยวน แต่ชามใบนี้ไม่ได้เด็ดขาด พวกมันเป็นของเก่าแก่ตกทอดมาจากรุ่นปู่ของผม”
คนรับซื้อของเก่าขมวดคิ้ว
คิดไม่ถึงเลยจริงๆ
ชาวบ้านคนนี้รู้ดีว่าชามใบนั้นเป็นของดี
“ดูออกด้วยสินะ?” คนรับซื้อของเก่าหัวเราะหึๆ “ก็ได้ งั้นเอาอย่างนี้ ของในตะกร้าผมจะซื้อชิ้นละ 10 หยวน ส่วนชามที่อยู่ในมือคุณ ผมจะขอซื้อแยกต่างหาก 500 หยวน ราคานี้ตกลงไหม?”
500 หยวน?
ชายหนุ่มเจ้าของชามได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอุทานออกมาด้วยความดีใจ
500 หยวนถือเป็นเงินมหาศาลสำหรับผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้
หัวใจของชาวบ้านหนุ่มพองโตทันที
ในขณะที่กำลังจะยอมขาย
“เดี๋ยวก่อนครับ”
ซูเย่ที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ตลอดพลันยิ้มกว้างและส่งเสียงแทรกขึ้นมา
ชายทั้งสองคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว
เมื่อเห็นว่าเป็นซูเย่ ชาวบ้านหนุ่มที่ถือชามกระเบื้องเคลือบอยู่ในมือก็โบกมือทักทายซูเย่ด้วยความประหลาดใจ
“คุณหมอซูมาทำอะไรตรงนี้ครับ”
ซูเย่ยิ้มตอบกลับไป
คนรับซื้อของเก่าใช้สายตาสำรวจมองซูเย่ตั้งแต่หัวจรดเท้าและทำหน้านิ่วคิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป”
“หรือว่าจะเป็นพวกเล่นของเก่าเหมือนกัน?”
คนรับซื้อของเก่าได้แต่คิดแล้วก็สงสัย ก่อนจะส่งเสียงเร่งเร้าชาวบ้านหนุ่มว่า “ตกลงราคานี้คุณจะขายไหม ไม่ขายผมจะได้รีบไป ยังมีคนจากหมู่บ้านอื่นรอผมอยู่อีกเยอะ”
“ขายสิขาย” ชาวบ้านหนุ่มรีบส่งชามกระเบื้องเคลือบให้ทันที
แต่แล้วซูเย่กลับเดินเข้ามาแทรกกลาง
“ผมให้ 50,000 หยวน”
ซูเย่พูดออกมาโดยไม่ลังเล
ชามใบนี้มีราคาถึง 50,000 หยวน!!
ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของชามตกใจจนเกือบจะเป็นลม เขามองหน้าซูเย่ด้วยความตกตะลึง
คุณหมอพูดอะไรออกมา?
นี่เขาหูฝาดไปเองหรือเปล่า
“50,000 หยวนเนี่ยนะ?”
คนรับซื้อของเก่าระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน “พ่อหนุ่ม คุณเล่นอะไรอยู่ ชามใบเดียวเนี่ยนะราคา 50,000 หยวน?”
“คุณคงเป็นคนจากในเมืองใช่ไหม?”
“คุณรู้หรือเปล่าว่ามาก่อนย่อมได้ก่อน? อย่ามาปั่นราคาก่อกวนคนอื่นเลย”
คนรับซื้อของเก่าพูดออกมารัวๆ ใส่หน้าซูเย่
“600 หยวนละกัน ผมเพิ่มให้อีกร้อยนึง”
เมื่อเห็นซูเย่ไม่สนใจตนเอง คนรับซื้อของเก่าก็หันไปเจรจากับเจ้าของชามต่อ “ตกลงจะขายหรือไม่ขาย?”
600 หยวน?
ชายหนุ่มเจ้าของชามยิ้มกว้าง
600 หยวนคือเงินที่มากมายมหาศาลสำหรับเขา!
“งั้นผมให้ 70,000 หยวน”
ซูเย่ยังคงยิ้มอย่างอบอุ่น
คนรับซื้อของเก่าใบหน้ากระตุก หันกลับมามองหน้าซูเย่ด้วยแววตาโกรธแค้น
เจ้าเด็กคนนี้ดูเหมือนจะตั้งใจมาก่อกวนเขาจริงๆ หมอนี่ไม่รู้หรือไงนะว่าวิถีคนค้าขายควรทำอย่างไร?
“สรุปคุณจะขายให้ใคร? ถ้าไม่ขายผมจะได้ไป อย่าไปฟังเขาปั่นราคาเลย คุณคิดหรือว่าเขาจะมีปัญญาเอาเงิน 70,000 มาให้คุณได้!”
คนขายของเก่าพูดกับเจ้าของชามต่อไป
ชาวบ้านหนุ่มผู้นั้นหันมามองหน้าซูเย่ด้วยความลังเล เขารู้สึกว่าซูเย่มาจากในตัวเมือง คงไม่มีเหตุผลที่จะมาปั่นราคาเล่นๆ หรอกกระมัง?
ซูเย่ยิ้มและพยักหน้าตอบกลับไป
ชาวบ้านหนุ่มนิ่งคิดเล็กน้อย ก็ให้คำตอบกับคนรับซื้อของเก่าว่า “ชามใบนี้ผมไม่ขาย ส่วนของอย่างอื่นผมขายชิ้นละ 10 หยวนตามเดิม”
“เฮอะ!” คนรับซื้อของเก่าหันมามองหน้าซูเย่ด้วยความอาฆาตแค้น ก่อนพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ผมไม่ซื้อแล้ว”
หลังจากนั้น เขาก็กระโดดขึ้นรถตู้ เปิดโทรโข่งและขับจากไป
เมื่อเห็นคนรับซื้อของเก่าไปแล้ว ชาวบ้านหนุ่มจึงหันมามองหน้าซูเย่และก้มมองชามกระเบื้องเคลือบในมือด้วยความพิศวง
ชามใบนี้มีราคา 70,000 หยวนจริงๆ หรือ?
“ชามใบนี้เป็นวัตถุโบราณครับ”
ซูเย่พูดพร้อมกับยิ้มกว้าง “เอาไปขายได้ 70,000 – 80,000 หยวนเป็นอย่างต่ำ ในเมืองมีพ่อค้ารับซื้อวัตถุโบราณอยู่มาก ได้ราคาไม่น้อยไปกว่านี้หรอกครับ”
“หรือถ้าคุณไม่เชื่อผม คุณจะขายให้ผม 1,000 หยวนก็ได้ เดี๋ยวผมจ่ายเงินสดให้เลย”
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร” เมื่อชาวบ้านหนุ่มได้ยินว่าชามกระเบื้องเคลือบใบนี้เป็นวัตถุโบราณ เขาก็รีบตอบออกมาด้วยความตื้นตันใจ “คุณหมอเป็นคนดี ผมเชื่อคุณหมอ ว่าแต่ชามใบนี้ขายได้ราคาแน่นะครับ?”
“อย่างน้อย 70,000 หยวนต้องได้แน่ๆ ครับ”
ซูเย่พยักหน้า
“พูดจริงนะครับ?”
ชาวบ้านหนุ่มอุทานด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะถือชามกระเบื้องเคลือบในมือด้วยความระมัดระวังยิ่งชีพ “ชามใบนี้ส่งทอดกันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษของบ้านผม ปกติมันวางทิ้งไว้บนหิ้งบูชาตลอด คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นของเก่าแก่ขนาดนี้ ผมเติบโตมาพร้อมกับชามใบนี้ ชักจะทำใจขายไม่ลงแล้วสิครับ”
“งั้นก็ไม่ต้องขายครับ นี่คือของดี เก็บเอาไว้เถอะ”
ซูเย่ยังคงพูดด้วยสีหน้าแจ่มใส
เขาทิ้งเบอร์ติดต่อเอาไว้ให้แก่ชาวบ้านหนุ่มผู้นั้น ก่อนจะเดินตรงไปยังส่วนท้ายของหมู่บ้าน
ตำแหน่งที่มีพลังปราณธรรมชาติลอยออกมานั้นอยู่บนเขตภูเขาสูง ห่างจากท้ายหมู่บ้านไม่ถึง 500 เมตร
ซูเย่ตัดสินใจเดินขึ้นเขา
เขาเดินขึ้นไปได้ครึ่งทาง
ซูเย่ก็หยุดชะงักและสำรวจมองภูมิประเทศโดยรอบ
แล้วเขาก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย “ซ้ายมังกรฟ้า ขวาพยัคฆ์ขาว ล่างหงส์เพลิง บนเต่าคะนอง ฮวงจุ้ยดีขนาดนี้ ต้องเป็นสุสานของใครสักคนแน่!”
หลังจากพูดจบ ชายหนุ่มก็ตั้งสมาธิและเดินหาที่มาของพลังปราณธรรมชาติต่อไป
เขาเดินมาถึงบริเวณเชิงเขาแห่งหนึ่ง
“เปิดผนึกดวงตาที่สาม!”
ซูเย่ระเบิดเสียงคำรามอยู่ในใจ แล้วดวงตาที่สามบนหน้าผากของเขาก็เปิดกว้าง
ชายหนุ่มมองเห็นอย่างชัดเจนว่าด้านหลังโขดหินบริเวณเนินเขาตรงหน้า กำลังมีพลังปราณธรรมชาติลอยขึ้นมา
ซูเย่เดินเข้าไปเขี่ยกองหิมะออก
ใต้กองหิมะเป็นสมุนไพรต้นหนึ่ง
สมุนไพรต้นนี้ดูดซับพลังปราณธรรมชาติเอาไว้อย่างหนาแน่น
“คิดไม่ถึงเลยนะว่านอกจากดูดซับสารอาหารจากดินจากน้ำแล้ว ยังดูดซับพลังปราณธรรมชาติในอากาศอีกด้วย!”
ซูเย่มีดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์
เขาเอื้อมมือออกไปถอนสมุนไพรต้นนั้นขึ้นมา
โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ชายหนุ่มยัดสมุนไพรใส่ปาก
เมื่อสมุนไพรวิเศษตกถึงท้อง มันก็เปลี่ยนเป็นพลังลมปราณ ไหลเวียนไปตามเส้นลมปราณในร่างกาย
ซูเย่หลับตาลงทันที
เขาโคจรกระแสพลังนั้นไปยังจุดที่ตนเองทะลวงไม่สำเร็จ
เส้นลมปราณบริเวณลำไส้ใหญ่!
เพียงไม่กี่อึดใจ เส้นลมปราณบริเวณนั้นก็เปิดตัวได้ถึงครึ่งทาง
ซูเย่ลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้ง
สมุนไพรวิเศษหนึ่งต้นสามารถทะลวงจุดลมปราณได้ครึ่งทางย่อมถือว่าเป็นเรื่องดี
“การเดินทางเที่ยวนี้คุ้มค่าแล้ว”
ซูเย่ยิ้มด้วยความพอใจ ก่อนจะเดินกลับลงไปที่หมู่บ้าน
ปรากฏว่า
เมื่อกลับไปถึงในหมู่บ้าน เขาก็พบว่ามีชาวบ้านจำนวนมากมายืนรอกันอยู่หน้าบ้านพักของตนเอง
ในมือของทุกคนต่างก็ถือสิ่งของเก่าแก่มาด้วยหลายชิ้น
เมื่อชาวบ้านกลุ่มนั้นเห็นซูเย่
ดวงตาก็ลุกวาวขึ้นมาทันที
“คุณหมอซูกลับมาแล้ว!”