เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 43 งานสัมมนาวัตถุโบราณ
บทที่ 43 งานสัมมนาวัตถุโบราณ
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ?”
ซูเย่มองกลุ่มชาวบ้านด้วยความสงสัย
“เราได้ยินคนแซ่หลี่บอกว่าคุณหมอดูของเก่าเป็นน่ะสิ ทุกคนก็เลยอยากจะให้คุณหมอช่วยดูของให้หน่อย”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งถือหม้อใบหนึ่งอยู่ในมือ สีหน้าเต็มไปด้วยความหวัง
ซูเย่กวาดตามองทุกคน
กลุ่มชาวบ้านพยักหน้าให้เขาด้วยความกระตือรือร้น
พวกเขาได้ยินเรื่องราวจากคนแซ่หลี่แล้วว่าชามกระเบื้องเคลือบของเขามีราคาถึง 70,000 หยวน!
ต่อให้ในหมู่บ้านจะไม่มีใครอื่นมีของเก่าที่ราคาสูงถึง 70,000 หยวน แต่ขอแค่สัก 50,000 หรือ 60,000 หยวน ก็ถือเป็นเงินมหาศาลสำหรับพวกเขาแล้ว!
“มีอะไรกันครับ?”
เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น
ปรากฏว่าเป็นจ้าวเหมียน
ซูเย่หันหน้ากลับไปมองและพบว่าผู้กำกับรายการกำลังเดินตรงเข้ามาพร้อมกับทีมงาน
เดิมที จ้าวเหมียนวางแผนจะเก็บฟุตเทจการสัมภาษณ์ชาวบ้านในคืนก่อนเปิดคลินิกตรวจโรคฟรีวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเขาจึงคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบเห็นภาพของซูเย่ยืนคุยอยู่กับกลุ่มชาวบ้านมากมายถึงเพียงนี้
แต่ที่สำคัญก็คือชาวบ้านทุกคนหิ้วของมาพะรุงพะรังอีกด้วย
เมื่อเห็นดังนั้น
จ้าวเหมียนกับทีมงานก็หันมองหน้ากัน สีหน้าเปลี่ยนไป คงไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นหรอกใช่ไหม?
“เห็นว่าคุณหมอซูเขาดูของเก่าเป็นน่ะครับ พวกเราก็เลยเอาของเก่าเก็บในบ้านมาให้คุณหมอช่วยตรวจดูหน่อย”
ชายวัยกลางคนคนเดิมอธิบายต่อกลุ่มทีมงาน “นี่พวกเรารบกวนการถ่ายทำหรือเปล่าครับ? ถ้างั้นเดี๋ยวผมบอกให้ทุกคนกลับบ้านไปก่อนก็ได้ เอาไว้คุณหมอซูมีเวลาว่างเมื่อไหร่ พวกเราค่อยกลับมา”
พูดจบ ชายวัยกลางคนก็ทำท่าจะโบกมือให้ชาวบ้านแยกย้ายสลายตัว
“ไม่รบกวนหรอกครับ”
ซูเย่โบกไม้โบกมือด้วยท่าทีสบายใจ
นี่คือหมู่บ้านที่ยากจนมาก ซูเย่ย่อมยินดีช่วยดูของเก่าให้ทุกคนอยู่แล้ว เพราะมันจะทำให้ชาวบ้านมีเงินเพิ่มมากขึ้น
เมื่อกลุ่มชาวบ้านได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็ยิ้มออกมาทันที
“ดูของเก่าเนี่ยนะ?”
จ้าวเหมียนมองหน้าซูเย่ด้วยความเหลือเชื่อ “นี่คุณดูของเก่าเป็นด้วยเหรอ?”
“ก็พอได้ครับ”
ซูเย่ตอบกลับไป…
ผู้กำกับจ้าวเหมียนพยักหน้าหงึกหงักและกล่าวว่า “งั้นก็รีบช่วยดูให้ชาวบ้านเถอะ ทุกคนอุตส่าห์มารวมตัวกันแล้ว อย่าให้พวกเขาต้องกลับบ้านพร้อมกับความผิดหวัง”
หลังจากนั้น จ้าวเหมียนก็รีบส่งสัญญาณให้ทีมงานเตรียมตัวบันทึกภาพทันที
เมื่อได้รับสัญญาณจากผู้กำกับใหญ่ ตากล้องก็เริ่มทำงานของตนเองอย่างรวดเร็ว
จ้าวเหมียนพยักหน้าด้วยความพอใจ
กลุ่มชาวบ้านยืนรอด้วยความตื่นเต้นขณะที่ซูเย่เดินเข้าไปยกโต๊ะตัวหนึ่งจากในบ้านออกมาตั้งที่หน้าบ้านและนั่งลง
“ต่อแถวเข้ามาทีละคนนะครับ”
ซูเย่พูดกับชาวบ้าน
กลุ่มชาวบ้านรีบยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ
“คุณหมอซู ช่วยดูหม้อทองแดงใบนี้ให้ผมหน่อยสิครับ”
ชายวัยกลางคนที่พูดคุยกับซูเย่เป็นคนแรกวางหม้อทองแดงใบหนึ่งลงบนโต๊ะและชี้ไปยังลวดลายบนตัวหม้อ “มีลายมังกรเก้าหัวด้วยครับ น่าจะเป็นของเก่าพอสมควร ดีไม่ดีอาจเป็นของในวังก็ได้”
“แค่มีมังกรก็ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นของในวังหรอกครับ” ซูเย่ไม่รู้ว่าตนเองควรหัวเราะหรือร้องไห้มากกว่ากัน เขามองหม้อทองแดงตรงหน้าและอธิบายว่า “นี่ไม่ใช่หม้อปรุงยาครับ แต่มันคือกระถางธูป”
“หมายความว่าไม่ใช่ของเก่าเหรอครับ?”
ซูเย่ส่ายหน้าตอบกลับไปว่า “ไม่ใช่ของเก่าครับ”
“แล้วมันอายุประมาณสักกี่ปีกัน?”
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วนิ่วหน้า
“ไม่เกินสามปีครับ”
ซูเย่พยักหน้าด้วยความมั่นใจ
“ฮื่อ ผมก็นึกว่าเป็นของเก่าซะอีก น่าเสียดายจริงๆ” ชายวัยกลางคนทำปากยื่น ก่อนจะหยิบของชิ้นเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋า และมันก็คือตุ๊กตาเสือที่มีสนิมขึ้นเขรอะตัวหนึ่ง
“แล้วอันนี้ล่ะครับ?”
ซูเย่รับไปดูก็ถึงกับเบิกตาโต
นี่ไม่ใช่ของธรรมดา
มันเป็นรูปปั้นเสือตัวหนึ่งนอนอยู่บนบัลลังก์ ดวงตาดุร้าย หูกลม จมูกสั้น
บนตัวมีสนิมเกาะสีแดงเขรอะ
บริเวณสันหลังของตัวเสือและบริเวณชายโครงด้านขวามือมีตราประทับ บ่งบอกถึงช่วงยุคสมัยที่มันถูกสร้างขึ้นมา แต่สัญลักษณ์นั้นเลือนรางเต็มที
ซูเย่พลิกไปพลิกมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยิ้มออกมา พูดว่า “ยินดีด้วยครับ นี่คือเครื่องรางของนายทหารในยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ถือว่าเป็นของโบราณชิ้นหนึ่ง”
“เป็นของโบราณใช่ไหมครับ!” ชายวัยกลางคนอุทานออกมาด้วยความตกใจ ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ
จ้าวเหมียนก็กำลังเบิกตาโตอยู่เช่นกัน เพราะเขาคิดไม่ถึงว่าซูเย่จะดูของเก่าเป็นจริงๆ
กลุ่มชาวบ้านที่ยืนรวมตัวอยู่โดยรอบร้องอุทานออกมาด้วยความดีใจ คุณหมอซูคนนี้มีฝีมือด้านการดูของเก่าจริงๆ ด้วย
“เอาไปขายได้เท่าไหร่ครับ?” ชายวัยกลางคนรีบถามออกมาโดยเร็ว
กลุ่มชาวบ้านกางหูรอรับฟัง
“ประมาณ 150,000 หยวนครับ”
ซูเย่ตอบ
อื้อหือ!
แพงมาก!
กลุ่มชาวบ้านตกตะลึงให้กับราคา 150,000 หยวน!
พวกเขายิ่งจ้องมองซูเย่ด้วยความกระตือรือร้นและอยากจะให้คุณหมอหนุ่มช่วยตรวจดูของเก่าจากในบ้านของตนเองบ้าง
“ขอบคุณมากครับคุณหมอ ขอบคุณมาก!” ชายวัยกลางคนรีบรับเครื่องรางเก่าแก่กลับคืนไป ถือมันไว้ในมือมั่นและวิ่งกลับบ้านไปประกาศข่าวดีให้ครอบครัวของตนเองรับทราบด้วยความตื่นเต้น
“คุณหมอซู ช่วยดูให้ผมด้วยครับ!”
ชาวบ้านคนที่สองเดินเข้ามาตามคิว
ซูเย่ช่วยชาวบ้านตรวจสอบของเก่าต่อไป
ขณะนี้ หน้าบ้านพักของเขาแทบจะกลายเป็นงานสัมมนาวัตถุโบราณไปเสียแล้ว
ไม่เพียงซูเย่จะสามารถตีราคาวัตถุโบราณให้ชาวบ้านได้เท่านั้น แต่เขายังสามารถอธิบายเหตุผลได้อย่างชัดเจน และเมื่อพบเจอของโบราณล้ำค่า ชายหนุ่มก็จะบอกชาวบ้านว่าของชิ้นนี้ควรขายได้ในราคาไม่ต่ำกว่าเท่าไหร่ และจะสามารถนำมันไปขายได้ที่ไหนบ้างอีกด้วย
ช่างน่าประหลาดใจ
สิ่งที่อยู่ในมือชาวบ้านกลุ่มนี้มีแต่วัตถุโบราณของแท้
ซูเย่ใช้เวลาคิดทบทวนอยู่ครู่ใหญ่ ก็นึกได้ว่าที่นี่เคยเป็นเขตปกครองของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก
“คุณหมอบอกว่าของฉันเป็นของโบราณแหละ ฮ่าฮ่า”
“ของฉันก็เป็นของโบราณเหมือนกัน โชคดีนะเนี่ยไม่เอาไปทิ้ง ไม่งั้นคงอดได้เงินแน่”
“ฉันดูทีวีเห็นเขาบอกว่าของโบราณราคาดีมากเลยนะ ทีนี้แหละพวกเราจะได้รวยกันแล้ว”
“คุณหมอซูเก่งที่สุดเลยครับ!”
กลุ่มชาวบ้านรีบขอบคุณซูเย่อย่างมีความสุข
ในเวลาเดียวกันนี้
เมื่อเห็นซูเย่สามารถแยกแยะประเภทของวัตถุโบราณได้อย่างชำนาญ จ้าวเหมียนและทีมงานก็ถึงกับตกตะลึง
จ้าวเหมียนนึกว่าซูเย่จะมีความรู้เพียงเล็กน้อย
แต่ที่ไหนได้ ชายหนุ่มกลับมีความสามารถในระดับเดียวกับผู้เชี่ยวชาญ!
“เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ เขารู้เยอะขนาดนี้ได้ยังไงกันนะ?”
จ้าวเหมียนได้แต่คิดกับตัวเอง “นอกจากรู้เรื่องบทกวีจีนโบราณแล้ว ยังมีความสามารถเรื่องแพทย์แผนจีนเป็นเลิศ แล้วนี่กลับมีความชำนาญเรื่องวัตถุโบราณอีก ถ้าเอาภาพพวกนี้ไปออกอากาศ รับรองว่าเรตติ้งกระฉูดแน่ๆ”
“อย่างนี้ต้องสั่งให้ทีมตัดต่อเน้นซูเย่เป็นพิเศษสักหน่อย”
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้
จ้าวเหมียนก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
พวกของหวังจี้เชา ลวี่อวิ๋นเผิง ลู่จวิ้นและผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ เมื่อรับทราบข่าวนี้ พวกเขาก็อยู่ในอาการตกตะลึงไม่ต่างกัน
หลังได้รับฟังว่าซูเย่มีความสามารถเรื่องการระบุวัตถุโบราณ สีหน้าของผู้เข้าแข่งขันทั้งเก้าคนก็แสดงออกถึงความเหลือเชื่อ
นอกจากเก่งกาจเรื่องแพทย์แผนจีนแล้ว หมอนี่ยังมีความรู้เรื่องวัตถุโบราณอีกด้วยเหรอ?
“เขาเรียนมหาลัยแพทย์แผนจีนไม่ใช่หรือไง? แล้วทำไมถึงมีความรู้เรื่องวัตถุโบราณได้อีก?”
“ตกลงหมอนี่เรียนอะไรกันแน่?”
หลายคนได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
“มีที่น่าทึ่งกว่านี้อีกนะ”
ลวี่อวิ๋นเผิงยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น “เขาดังมากในมหาลัยของเรา นอกจากท่องจำตำราแพทย์แผนจีนได้ทุกเล่มแล้ว เขายังเล่นพิณผีผาเก่งอีกด้วย พวกนายเคยดูคลิปที่แชร์กันในเน็ตหลังรายการ ‘ชุมนุมวิชาการ’ ออกอากาศก่อนหน้านี้หรือยัง?”
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนส่ายหน้า
ระหว่างเตรียมตัวเข้าร่วมการแข่งขัน พวกเขาไม่มีเวลาไปดูคลิปของซูเย่หรอก
“เขามีทักษะในการเล่นพิณผีผาเก่งมาก ขนาดอาจารย์จากสถาบันดนตรียังไม่อยากเชื่อ นอกจากนี้ ซูเย่ยังถูกเชิญให้ขึ้นไปเป็นวิทยากรในงานสัมมนาของสถาบันดนตรีอีกด้วย”
ลวี่อวิ๋นเผิงเล่าประวัติของซูเย่ให้ทุกคนฟังอย่างคร่าวๆ
เมื่อกลุ่มผู้เข้าแข่งขันได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ได้แต่ขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ซูเย่เก่งขนาดนี้เลยหรือ?
แล้วพวกเขาก็ต้องหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดค้นหาข้อมูล
แน่นอนว่าทุกคนต้องพบเจอคลิปการเล่นพิณผีผาของซูเย่
และพวกเขาก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ซูเย่ยังวาดรูปเก่งอย่างหาตัวจับยาก
เมื่อมาประกอบกับความสามารถด้านวัตถุโบราณนี้อีก
ดูเหมือนว่าหมอนี่ชักจะรู้มากเกินไปหน่อยแล้ว…
พวกของหวังจี้เชาและเด็กจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูพลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้อีกครั้ง
ซูเย่ยังมีความรู้เกี่ยวกับการแพทย์แผนตะวันตกด้วยนี่นา…
“หมอนี่มันใช่คนไหมเนี่ย!”
หวังจี้เชาได้แต่สบถคำหยาบอยู่ในใจ
“คนอะไรจะรู้เยอะรู้มากขนาดนี้?”
“ถ้าซูเย่จะคว้าตำแหน่งผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้ก็คงไม่แปลก!”
หวังจี้เชาชำเลืองมองไปที่ซูเย่บนหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะหมุนตัวและเดินออกมา
เขาอยากจะกลับไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการตรวจคนไข้ในวันพรุ่งนี้
หวังจี้เชาไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด
คนที่ศึกษาแพทย์แผนจีนได้เพียงครึ่งปี จะมาตรวจโรคคนไข้ชนะเขาได้อย่างไร!!
เมื่อผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ดูคลิปวีดีโอจบ พวกเขาก็แยกย้ายกันไปเตรียมตัวเช่นกัน
หลังพระอาทิตย์ตก ซูเย่ก็ตรวจดูวัตถุโบราณให้ชาวบ้านเสร็จสิ้น
กลุ่มชาวบ้านกลับไปอย่างตื่นเต้นและมีความหวัง
หากสิ่งที่คุณหมอซูพูดเป็นความจริง พวกเขาก็กำลังจะได้เงินมากมายมหาศาล
วันพรุ่งนี้ทุกคนจะนำของไปขายในตัวเมือง!
…
เที่ยงคืน
ซูเย่ลืมตาตื่น
เขาลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงและได้แต่คิดถึงเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายอยู่ในหัวใจ
ที่นี่เคยเป็นเขตแดนของราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ในอดีตเจริญรุ่งเรือง การที่ราชวงศ์จะเลือกก่อสร้างเมืองที่ไหนสักที่ ก็ต้องเลือกจากพื้นที่ที่มีพลังปราณธรรมชาติมากที่สุด
สมุนไพรวิเศษที่เขาพบเจอคือหลักฐานซึ่งยืนยันเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี
“บางทีอาจจะมีสมุนไพรวิเศษต้นอื่นๆ อยู่บนภูเขาอีกก็ได้”
คิดได้ดังนี้ซูเย่ก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากบ้านพัก
เขาเดินขึ้นเขาอย่างรวดเร็ว กวาดสายตาตำรวจมองรอบบริเวณ แต่ก็ไม่พบอะไร
“สงสัยเราจะคิดมากเกินไป”
ซูเย่ยิ้มปลอบใจตัวเอง กำลังจะหันหลังกลับ
แต่เดินออกมาได้ไม่ไกล
ชายหนุ่มก็เห็นแสงไฟวอมแวมมาจากพื้นที่ในภูเขาซึ่งตนเองไปสำรวจมาเมื่อตอนบ่าย
ดูเหมือนจะเป็นแสงไฟฉาย
หลังจากคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย ซูเย่ก็ขมวดคิ้วและรีบเดินกลับเข้าไปในภูเขาทันที
ชายหนุ่มขึ้นไปจนถึงยอดเขา
ซูเย่กวาดตามองเบื้องล่าง และเห็นจุดที่มีแสงสว่างอยู่สามจุด
ปรากฏคนสองคนยืนอยู่ข้างหลุมบนพื้นดิน
ในขณะนี้
เชือกไนลอนสีดำเส้นหนึ่งถูกหย่อนลงไปในหลุมดิน ปลายด้านหนึ่งของเชือกผูกติดอยู่กับหินก้อนใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ห่างออกไป
นอกจากนี้ยังมีชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ อยู่ข้างหลุมดิน ดวงตาจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก
“พวกโจรขุดสุสานสินะ?”
เมื่อเห็นชายฉกรรจ์ทั้งสามคนนี้ ดวงตาของซูเย่ก็เป็นประกายเย็นชา ตั้งแต่ที่เห็นแสงไฟฉาย เขาเองก็นึกถึงเรื่องนี้อยู่แล้ว
แสดงว่าในภูเขาลูกนี้มีสุสานใหญ่ซ่อนอยู่จริงๆ
“การขุดสุสาน ถือเป็นการรบกวนคนตาย ขัดต่อกฎสวรรค์ ปล่อยผ่านไปไม่ได้เด็ดขาด”
ร่างของซูเย่เคลื่อนไหววูบ
เขาทิ้งตัวลงไปยืนอยู่ตรงหน้าชายฉกรรจ์ทั้งสามคนและเตะพวกมันกระเด็นไปคนละทาง
ชายฉกรรจ์สลบเหมือดทันที
ซูเย่ชำเลืองมองไปที่หน้าจอโน๊ตบุ๊ค
บนจอกำลังแสดงภาพของชายฉกรรจ์อีกคนหนึ่งซึ่งอยู่ในหลุมดิน และกำลังจะเตรียมตัวขุดผนังสุสานใต้ดิน
ซูเย่เดินไปยืนข้างอุโมงค์โจร ก้มตัวลงกระชากเชือกไนลอนและสาวมันกลับขึ้นมา
ปรากฏชายฉกรรจ์อีกสองคนถูกลากตัวขึ้นมาจากในหลุมใต้ดิน
“ผลั่ก!”
ซูเย่โยนพวกมันกระแทกพื้นดิน
ซูเย่พบว่าหนึ่งในสองโจรขุดสุสานคือคนรับซื้อของเก่าเมื่อตอนบ่ายนี่เอง
ดูเหมือนว่ารถตู้ที่พวกคนกลุ่มนี้ใช้จะเป็นพาหนะสำหรับการเก็บอุปกรณ์ขุดสุสาน ส่วนการรับซื้อของเก่าเป็นเพียงฉากหน้าบังตาผู้คนเท่านั้น
โจรขุดสุสานทั้งสองคนได้แต่งเงยหน้ามองซูเย่ด้วยความตกใจ
หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็กัดฟันกรอด ลุกขึ้นพุ่งเข้ามาหาซูเย่ด้วยความโกรธแค้น
แต่ปรากฏว่า
ซูเย่สะบัดมือเพียงสองที ชายฉกรรจ์ทั้งสองคนก็หมุนคว้างและสลบเหมือดไปโดยเร็ว
เมื่อสำรวจดูรอบบริเวณ ซูเย่ก็พบเข้ากับรถตู้ที่คนทั้งห้าขับเข้ามาจอดซ่อนอยู่ไม่ห่าง เขาใช้เชือกไนลอนซึ่งเป็นอุปกรณ์ในการโรยตัวลงไปขุดสุสานจับมัดโจรกลุ่มนี้เอาไว้ในรถตู้ของพวกมันเอง
แล้วซูเย่ก็ขับรถตู้กลับไปที่หมู่บ้าน ก่อนที่เขาจแวะจอดข้างทางและจับโจรขุดสุสานมัดติดไว้กับเสาโทรศัพท์ต้นหนึ่ง
เมื่อรู้ดีว่าถึงอย่างไรโจรขุดสุสานกลุ่มนี้ก็คงไม่หนาวตาย ซูเย่จึงกลับบ้านไปนอนหลับพักผ่อนอย่างมีความสุข
ไม่นานหลังจากนั้น
กลุ่มโจรขุดสุสานก็ตื่นขึ้นมาเพราะอากาศที่หนาวเย็น พวกเขาพบว่าตนเองถูกจับมัดติดอยู่กับเสาโทรศัพท์ แต่ไม่กล้าส่งเสียงร้อง เพราะกลัวจะถูกเปิดเผยตัวตน
พวกเขาได้แต่กระซิบปรึกษาหาทางออกกันอย่างเงียบๆ
แต่อย่างไรก็ตาม ซูเย่มัดไว้แน่นมากเกินไป ไม่ว่าจะลองวิธีการไหน พวกเขาก็ไม่สามารถแก้มัดเชือกได้เลย
นั่นทำให้โจรขุดสุสานทั้งห้าแทบจะบ้าคลั่งแล้ว
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หกโมงเช้าวันต่อมา
ชาวบ้านกำลังจะเดินไปรวมตัวกันที่จุดนัดหมาย
“เอ๊ะ?”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
“ทำไมถึงมีคนถูกจับมัดอยู่ตรงนี้?”
เมื่อเห็นชายหนุ่มห้าคนถูกจับมัดอยู่กับเสาโทรศัพท์ กลุ่มชาวบ้านก็รีบเข้ามามุงดูด้วยความสงสัย พวกเขาล้วนแสดงสีหน้าประหลาดใจ ไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
“นั่นมันคนรับซื้อของเก่าเมื่อวานนี้ไม่ใช่เหรอ?”
คนแซ่หลี่พูดออกมา
เมื่อวานนี้ เขาเกือบจะขายของดีให้แก่คนรับซื้อของเก่าคนนี้ไปแล้ว เมื่อเห็นอีกฝ่ายถูกจับมัดติดกับเสาโทรศัพท์ จึงต้องถามด้วยความประหลาดใจ “ใครจับคุณมามัดไว้ตรงนี้?”
“อย่าเพิ่งถามอะไรเลย รีบช่วยแก้มัดให้ผมก่อน”
คนรับซื้อของเก่าพูดด้วยความร้อนรน